หากมียารักษาโรคเสียใจในภายหลัง ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมจะไปซื้อมาหนึ่งเม็ดแน่ๆ ไม่สิ ซื้อกลับมาหนึ่งขวด จากนั้นจะกินให้หมดเกลี้ยงเลยทันที
หลังจากคำพูดของเขาเมื่อสามวันก่อน มี่เอ๋อร์ก็เอาอกเอาใจเขาเป็นอย่างยิ่ง เย็นวันนั้น ก็ปรนนิบัติอาบน้ำให้เขาด้วยตัวเอง…เรื่องที่ผิดปกติเช่นนี้นับเป็นครั้งแรก มี่เอ๋อร์นั้นเป็นคนขี้อายมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรซั่งกวนเจวี๋ยก็อาบน้ำด้วยตัวเองอยู่เรื่อยมา เรื่องนี้สำหรับซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว นับเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง หนึ่งคือมี่เอ๋อร์ร้อนตัว ดังนั้นจึงอยากแสดงท่าทีที่ดีต่อเขา แต่ความจริงแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนผิด เขาไม่ควรเชื่อว่ามี่เอ๋อร์นั้นร้อนตัว ยิ่งไม่ควรให้คนที่มีความเจ้าคิดเจ้าแค้นมาควบคุมเอาได้
ซั่งกวนเจวี๋ยเดินเข้าไปในอ่างอาบน้ำท่ามกลางใบหน้าเปื้อนยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์…ก่อนที่จะลงอ่างอาบน้ำ เขายังคงคิดอยู่ว่าต้องทำอย่างไรมี่เอ๋อร์ถึงจะยอมอาบน้ำกับเขา เขาได้คาดหวังเรื่องที่จะอาบน้ำร่วมกันมานานแล้ว! แต่ชั่วพริบตาที่ก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ ความคิดนั้นก็สูญสลายหายไปราวกับควันทันที ก็เหมือนกับแมวที่น่าสงสารถูกไฟเผาหาง กระตุกขึ้นมาก่อนจะรีบถลาออกมาจากอ่างทันที ยามที่ตั้งสติได้ เท้าก็ถูกลวกจนแดงก่ำไปหมดแล้ว หากลวกอีกสักหน่อยคงจะสุกแล้วเป็นแน่
“สามี?” ใบหน้าของมี่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความงุนงง ทว่ากลับลอบกลั้นหัวเราะจนท้องแทบจะเป็นตะคริว อ่างอาบน้ำนี้ยังไม่ได้เติมน้ำเย็นลงไป จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลกอันใด แม้จะไม่ได้ยินเสียงหมูร้องราวกับโดนเชือดอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่สามารถเห็นซั่งกวนเจวี๋ยที่มักจะสุขุม อดใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นมาไม่ได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
“มี่เอ๋อร์ ไฉนน้ำจึงร้อนขนาดนี้?” ซั่งกวนเจวี๋ยสงสัยเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมากว่าอยากจะลวกตัวเองให้สุกจนขนร่วงเลยหรือไม่ แต่ขนบนตัวเขาก็ไม่ใช่จะมีมากเสียหน่อย!
“ร้อนมากหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งทำเป็นไม่รู้ ยื่นมือเตรียมจะวัดอุณหภูมิน้ำ ด้านซั่งกวนเจวี๋ยก็รีบพุ่งเข้ามาทันที ขวางนางไว้ ทำใจให้นางถูกลวกไปด้วยไม่ได้
“ร้อนมากจริงๆ ให้คนเข้ามาเติมน้ำเย็นหน่อยเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อไปชั่วขณะว่ามี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นคำพูดวันนั้นของตัวเองไปกระตุ้นโทสะมี่เอ๋อร์เข้า อย่างไรให้นางได้คลายความโกรธลงหน่อยก็เป็นเรื่องดี
“สามีมารออยู่ในห้องสักพักเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้ารับ จากนั้นก็ออกไปหาคนมาเติมน้ำเย็นอย่างมีความสุข…พอนางเปิดประตู จื่อหลัวที่กลั้นยิ้มก็พาพวกสาวใช้เข้ามา ไม่นานนักก็เติมน้ำเย็นลงไปสองในสามส่วนของน้ำในอ่าง มี่เอ๋อร์วัดอุณหภูมิดูเล็กน้อย อืม เย็นพอแล้ว พยักหน้าส่งให้จื่อหลัว รอพวกนางปิดประตูออกไปด้านนอกแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามี น้ำเย็นแล้ว ท่านยังไม่รีบมาอาบอีก”
ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังใช้มือวัดอุณหภูมิน้ำก็ลังเลไปเล็กน้อย เมื่อก้าวลงไปในอ่าง ก็อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้…แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่ก้าวเท้าลงไปในน้ำเย็นโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เหลือทนเช่นกัน!
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามีจะชอบอาบน้ำแบบเย็นสบาย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้น้ำเย็นราดให้ทั่วร่างของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างสุขใจ ทำเป็นเพิกเฉยไม่เห็นขนที่ลุกชันขึ้นตามผิวหนังของเขา จากนั้นก็ใช้แรงที่เหมาะสมขัดหลังให้ซั่งกวนเจวี๋ย ในที่สุดซั่งกวนเจวี๋ยก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ แอบชำเลืองมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กลับพบใบหน้าที่อ่อนโยนของนาง กำลังขัดหลังให้เขาด้วยความตั้งใจ ความคิดเล็กคิดน้อยของตัวเองจึงกลายเป็นความละอายใจทันที…บางทีที่ตัวเองถูกน้ำร้อนลวกอาจจะเป็นเรื่องที่มี่เอ๋อร์ไม่คาดคิดจริงๆ กระมัง!
“แรงเช่นนี้พอดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายรู้สึกถึงสายตาจากซั่งกวนเจวี๋ย ก็ส่งยิ้มให้เขา เผยความน่าหลงใหลทั้งสั่นคลอนจิตใจ ยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยจึงเพิ่งสังเกตว่ามี่เอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจแต่งหางตาให้ต่ำลงอีกแล้ว ดวงตาที่สวยหยาดเยิ้มเช่นนี้ ทำให้จิตใจสั่นไหวจริงๆ กระทั่งอุณหภูมิน้ำที่เย็นนั้นก็ไม่ได้รับไม่ไหวถึงเพียงนั้นแล้ว
“ดีมากแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ หลังจากนั้นเรื่องทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดความผิดพลาดอันใดอีก เขาอาบน้ำเสร็จ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ช่วยใส่ชุดคลุมให้เขา หลังจากนั้นก็ถูกนางกล่อมให้กลับไปที่ห้องก่อน ให้นอนรอนางอยู่ที่เตียง
ไม่นานนักเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อาบน้ำเสร็จ ก่อนจะยกน้ำแกงเม็ดบัวสองถ้วยที่เตรียมไว้นานแล้วกลับห้อง พวกสาวใช้ที่รออยู่ตรงหน้าประตูก็…แยกย้ายกันไป มี่เอ๋อร์จัดชุดคลุมอย่างระมัดระวัง…เผยเนินอกออกมาเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างแฝงไปด้วยความเย้ายวน หากจะล่อลวงคนก็ต้องใช้ความงามให้มากหน่อย คล้อยหลังก็เดินเข้าไปในห้องด้วยท่วงท่าที่ดึงดูดสายตา
เห็นภรรยาที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ยั่วยวนเดินเข้ามาใกล้ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้ตาลุกวาว แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายนั้นร้อนรุ่มขึ้นมา…เขาเปิดผ้าห่มออกทันที หนึ่งคือคลายความร้อน สองคือต้อนรับภรรยาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีท่าทางเย้ายวนเช่นนี้มาก่อน มี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน หลบเขาอย่างคล่องแคล่ว วางน้ำแกงเม็ดบัวไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะโถมเข้าสู่อ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเร่าร้อน ทั้งสองคนแลกจุมพิตที่ดุเดือดขึ้นมาทันที
“เจวี๋ย ข้าอยากให้หมิงเอ๋อร์มีน้องสาวน้องชายเพิ่มมาเป็นเพื่อนเล่นสักคน ไม่อย่างนั้นในอนาคตเขาอาจจะเหงาได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ย แววตาสองข้างของนางเต็มไปด้วยความปรารถนา ใบหน้าแดงปลั่ง ร่างกายก็ร้อนรุ่มอย่างไวต่อสัมผัส ทั้งยังอ่อนยวบอย่างเหลือเชื่อ
“ล้วนแต่ฟังเจ้า” ซั่งกวนเจวี๋ยตีตราประทับบนผิวกายของนางด้วยรอยจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิวของนางนั้นบอบบางจนถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการ ขอเพียงแค่ลงน้ำหนักหน่อย ก็หลงเหลือรอยสีชมพูจางๆ ไว้แล้ว
“พวกเราดื่มน้ำแกงเม็ดบัวก่อนแล้วค่อย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างขวยเขิน ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ก่อนจะยกน้ำแกงเม็ดบัวที่อยู่ข้างหัวเตียงมาส่งให้มี่เอ๋อร์หนึ่งถ้วย ส่วนตัวเขาเองก็ทำราวกับกินข้าวต้ม ไม่รั้งรอให้มี่เอ๋อร์ดื่มสักคำสองคำ เขาก็ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวหมดแล้ว และมี่เอ๋อร์ก็คล้ายว่าไม่อยากอาหารเท่าใด หลังจากดื่มไปคำสองคำก็วางถ้วยไว้บนโต๊ะ รอซั่งกวนเจวี๋ยกินเสร็จแล้ว ก็รับถ้วยเปล่ากลับมา ก่อนจะวางไว้ที่ที่ไกลหน่อย
มี่เอ๋อร์ต้องกังวลว่าเขาจะหุนหันพลันแล่นจนทำถ้วยตกแตกเป็นแน่! ซั่งกวนเจวี๋ยคิดอย่างนั้น ก่อนจะมองแผ่นหลังที่น่าหลงใหลของมี่เอ๋อร์ จู่ๆ เขาก็พบว่าความปรารถนาที่เดือดพล่านขึ้นมาของตัวเองกลับสูญสลายหายไปในพริบตา…เร็วยิ่งกว่าตอนมาเสียอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อ้อยอิ่งเล็กน้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่ายาที่ใส่ลงในน้ำแกงเม็ดบัวออกฤทธิ์ (นางเองก็ดื่มเช่นกัน ย่อมสัมผัสได้ว่ายาออกฤทธิ์แล้วหรือยัง) ก็หมุนกายกลับมา ส่งยิ้มที่น่าหลงใหลให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่เผยท่าทีตกใจและทำอะไรไม่ถูกอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะถอดชุดคลุมอาบน้ำอยู่ตรงนั้น เผยให้เห็นชุดชั้นในที่แนบไปกับเรือนร่างเพรียวบาง ส่งสายตาเย้ายวนไปให้ซั่งกวนเจวี๋ย ก่อนจะค่อยๆ เดินทอดกายเข้าไปใกล้เขา
ซั่งกวนเจวี๋ยร้องไห้ไม่ออก เดิมทียังรู้สึกเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ทั้งตื่นตัวอย่างถึงที่สุด เหตุใดจู่ๆ ตัวเองจึงเปลี่ยนเป็นจิตใจสงบนิ่งเช่นนี้ได้เล่า?
“เจวี๋ย แบบนี้ข้าดูดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเป็นมองข้ามสีหน้าที่ดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ ของเขา ก่อนจะหมุนไปหมุนมา อวดเรือนร่างที่เปลือยเปล่างดงามของตัวเอง
“ดูดีมาก!” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะร้องไห้ เขาทอดสายตาออกไปเห็นสองถ้วยนั้น เขากล้าใช้สมองของตัวเองพนัน ในนั้นย่อมมียาเป็นแน่ อีกทั้งเป็นยาที่ทำให้คนหมดอารมณ์ เขาแทบจะร้องไห้…นี่เขาลืมไปได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคุณหนูสุรา ก็ไม่อาจจะรังแกได้ง่ายๆ อีกแล้ว ก่อนหน้านี้มี่เอ๋อร์อ่อนโยนถึงขนาดนั้น เอาอกเอาใจถึงเพียงนั้น เขาผิดไปแล้วยังไม่พอหรือ?
“เช่นนั้นท่านยังไม่เข้ามากอดข้าอีก?” มี่เอ๋อร์ส่งสายตาเพริ้งพราย ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นจนใจ หยัดกายขึ้นไปกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทว่ากลับไม่มีความปรารถนาแม้แต่น้อย
“เจวี๋ย…” มี่เอ๋อร์ร้องอย่างอ่อนระทวย ส่งมือเข้าไปในกางเกงที่เปิดออกครึ่งหนึ่งของเขา เท้าก็ลูบไล้ไปที่ขาของเขาอย่างซุกซน สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ดับมอดของเขา ก็ลอบหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ
“พวกเรารีบนอนพักผ่อนกันดีกว่าเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ วางมี่เอ๋อร์ลงบนเตียง จากนั้นก็ดับไฟนอนด้วยความรวดเร็ว ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มดีใจที่ปิดไม่มิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยสิ้นเชิง
กลางดึก ซั่งกวนเจวี๋ยสะดุ้งตื่นเพราะความหนาว…แต่ไหนแต่ไรภรรยาตัวน้อยก็ไม่เคยแย่งผ้าห่มไปจากเขามาก่อน อีกทั้งยัง ‘ฝันถึงผ้าห่มอย่างแทบเป็นแทบตาย’ ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะอย่างจนใจ ค่อยๆ หยัดกายขึ้น ไปเอาผ้าห่มอีกผืนหนึ่งในตู้ออกมา
วันต่อมา ซั่งกวนเจวี๋ยก็ระวังแล้วระวังอีก ยังคงไม่รู้ว่าจะถูกเล่นงานเมื่อใดอีก เผชิญหน้ากับมี่เอ๋อร์ที่ยั่วยวน เขาก็ทำได้เพียงคลุมโปงนอนหลับไป จากนั้นนอนถึงค่อนคืนก็ถูกมี่เอ๋อร์เบียดจนตกเตียง…สวรรค์ยังรู้ว่ามี่เอ๋อร์นั้นนอนอย่างเรียบร้อยมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็อิงแอบเขาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น ไม่อาจแย่งผ้าห่มจากเขา ทั้งไม่อาจเบียดตนอย่างแรง หากกล่าวว่านางไม่ได้ตั้งใจ ให้ตายอย่างไรซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นดวงตาสองข้างที่หลับสนิท(แกล้ง)ทั้งใบหน้าที่ดูบริสุทธิ์ไร้พิษสง(ก็ยังคงแกล้ง)ของภรรยา ซั่งกวนเจวี๋ยก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ เท่านั้น อย่างไรรอนางคลายโทสะแล้วค่อยพูดดีกว่า!
ดังนั้นคืนวันนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยที่น่าสงสาร หลังจากถูกเบียดจนตกเตียงเป็นครั้งที่สามก็รับรู้ถึงความรู้สึกพวกสาวใช้ที่คอยเฝ้าเวรตอนกลางคืนทันที…ปูที่นอน นอนอยู่ด้านหน้าเตียง
วันที่สาม เห็นภรรยาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ถอนหายใจ เตรียมที่จะเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน และก็เป็นยามนี้ โม่เซียงส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อย่างมีลับลมคมใน จึงเปิดออกต่อหน้ามี่เอ๋อร์ ในนั้นเป็นตัวอักษรที่คุ้นตา(ครั้งนี้แม้แต่ตัวอักษรก็ไม่คิดปิดบัง) เป็นประโยคที่เรียบง่ายและคุ้นเคย ‘คุณชายขลุ่ย ยามอู่สามเค่อพรุ่งนี้มาพบกันที่โรงสุรารินกลิ่นปทุม โม่จิ้ง’
เขาสามารถปฏิเสธได้หรือ? เขามองภรรยาที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ อย่างระมัดระวัง คล้ายหลังก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของนาง “มีเรื่องอันใดหรือ?”
“คือว่า…” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกว่าหากตัวเองยอมรับตอนนี้ อาจจะถูกทำโทษเป็นเวลานานแน่ๆ จึงกล่าวอย่างอ้อมแอ้ม “คุณหนูสุรานัดข้าไปพบที่รินกลิ่นปทุม มี่เอ๋อร์ เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าเชื่อใจท่าน!” มี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน หวานจนทำให้ดวงตาของซั่งกวนเจวี๋ยสั่นพร่า ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้มี่เอ๋อร์จะทำอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยย้อนถาม
“พรุ่งนี้ดูเหมือนข้าจะนัดคนไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่า!” สองวันมานี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกแล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะเป็นแน่ วันนั้นที่เขาพูดก็เพื่อหยั่งเชิงตัวเอง ดังนั้นหลายวันนี้จึงปล่อยให้ตัวเองเล่นงานอย่างไม่คัดค้านอะไร นางจึงตัดสินใจจะนัดเขาออกไปวันพรุ่งนี้ เพื่อพูดคุยกันดีๆ
“หากเขาไม่ไปเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างหวั่นเกรง
“ข้าก็จะคลายกล้ามเนื้อให้เขาอย่างดีๆ ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวานกว่าเดิม แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจอย่างถึงที่สุด สิ่งใดที่เรียกว่าก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวกลายเป็นความแค้นชั่วชีวิตก็คือตัวเขานี่แหละ หากไม่ได้จงใจพูดคำพวกนั้นยั่วโมโหนาง ตัวเองก็คงจะไม่กลายเป็นฝ่ายผิดได้หรอก เอ๋ ไม่ถูกสิ เหตุใดตัวเองถึงเป็นฝ่ายผิด คนที่หลอกลวงคนอื่นไม่ใช่เขาเสียหน่อย แต่เป็นหญิงสาวตรงหน้า พรุ่งนี้ย่อมต้องเป็นฝ่ายกุมอำนาจให้ได้ ฉีกหน้ากากที่หลอกลวงของนางออกมา จากนั้นก็ค่อยถือโอกาสให้อภัย คงจะสามารถหลบหลีกการใช้ชีวิตที่แสนลำบากอย่างหลายวันมานี้ได้แล้วกระมัง! ซั่งกวนเจวี๋ยคิดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ