เมื่อเลื่อนปิดประตู ซั่งกวนเจวี๋ยก็นั่งลงด้วยท่าทีปกติดั่งเช่นเคย แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นวูบไหว ไม่ได้เอ่ยปากอันใด นางกลับอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร…ที่จริงเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกขบขันทั้งเหลือเชื่อจริงๆ เหตุใดคนที่ผิดจึงกลายเป็นซั่งกวนเจวี๋ยแทน ทั้งเหตุใดเขาต้องยอมรับโทสะของนางอย่างสงบเสงี่ยมด้วย พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังคงเพราะเขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับนาง จึงยอมอดกลั้นทนรับอารมณ์โกรธของนาง
“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไรดี?” ซั่งกวนเจวี๋ยกระแอมเล็กน้อย มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยท่าทีว้าวุ่นอยู่บ้าง แม้ว่าจะสวมหน้ากากผีเสื้ออันนั้น แต่ส่วนที่หน้ากากไม่ได้ปิดบังกลับเป็นโครงหน้าของมี่เอ๋อร์ วันนี้นางถึงกระทั่งไม่ได้เปลี่ยนหน้ามา ดูท่าคงคิดจะพูดเรื่องราวให้กระจ่าง ใจจึงเต้นตึกตัก ทั้งกระวนกระวายอยู่บ้าง
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงก็ยังเป็นเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ดูจากท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาคงรู้ว่าตัวเองเสแสร้งมาตั้งนานแล้ว คงจะเป็นยามที่เผยความผิดปกติที่พบกันในครั้งก่อนนั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ได้โกรธหรือโมโหเหมือนที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับจงใจพูดจาไม่ดีออกมาต่อหน้าตัวเอง ให้ตัวเองมีโทสะขึ้นมา
“เจ้าหลอกลวงพวกเราจริงๆ สินะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ มองภรรยาตรงหน้าที่คล้ายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะว่ามี่เอ๋อร์จงใจเผยจุดอ่อนให้ตัวเองจับผิด หากไม่ใช่ว่าหลังจากที่ตัวเองเกิดความสงสัยจึงหาหลักฐานมายืนยันได้มากมาย เขาก็ยากที่จะมองออกว่าคุณหนูสุราและมี่เอ๋อร์เป็นคนเดียวกันจริงๆ คนหนึ่งเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมอยู่แต่ในห้องหับไม่ออกไปไหน อีกคนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้า ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด คนหนึ่งพูดแช้มช้าอ่อนโยนน่าฟัง อีกครั้งพูดจาโผงผาง ยากที่จะต่อกร ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองพวกนางออกทั้งนั้น
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชำเลืองสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเจ้า เพียงแต่เจ้าไม่ได้ถาม ข้าจึงไม่ได้บอกเท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นหากข้าถามตอนนี้ เจ้าจะพูดหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที นางยังกล้าพูดอีกว่าไม่ได้ตั้งใจหลอกตัวเอง จะกล่าวว่านางเพียงพยายามปกปิดเรื่องราวทั้งหมด ให้ตัวเองไม่กระจ่างในความจริงมาโดยตลอดเท่านั้นอย่างนั้นหรือ
“เจ้าถามมาเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้มือเท้าคาง รอคอยซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“เจ้ารู้ถึงฐานะที่แท้จริงของข้าตั้งแต่เมื่อใด?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า ในยามที่นางแต่งให้กับตัวเองก็รู้ว่าเขาเป็น ‘คุณชายขลุ่ย’ อยู่แล้วหรือไม่
“ตอนที่เจ้าเปิดผ้าคลุมหน้าข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงยามที่ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ตลอดงานแต่งงาน หลังจากตกใจที่เห็นซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวยิ้มๆ “ก่อนวันแต่งงาน ในใจของข้ายังคงคิดว่าจะสามารถหนีการแต่งงานได้อย่างไร กระทั่งเหตุผลที่หนีการแต่งงานก็คิดไว้ดีแล้ว!”
“เหตุผลนั้นคืออะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากรู้เป็นอย่างมาก การกระทำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับว่าอยู่ในสายตาของตระกูลซั่งกวนมาโดยตลอด นางไปคิดลู่ทางหนีตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดจึงไม่มีเรื่องอะไรปรากฏให้เห็นล่วงหน้าแม้แต่น้อย
“ที่จริงข้าไม่ได้ชอบการไหว้พระสวดมนต์ แต่แม่นมฉินเป็นคนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่ข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย ซั่งกวนเจวี๋ยเข้าใจในฉับพลัน นึกถึงข้อมูลของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กล่าวว่านางศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยใจจริง แทบจะถึงขั้นที่คลั่งไคล้ เช่นนั้นการปลงผมออกบวชก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่นางจะใช้หนีออกจากตระกูลซั่งกวน
“เจ้าไม่อยากจะแต่งงานกับข้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยยากที่จะไม่ผิดหวังเสียใจอยู่บ้าง ยอมที่จะปลงผมออกบวช แทนที่จะแต่งงานกับคนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นลูกรักของสวรรค์อย่างตัวเอง?
“เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าในยามที่เจ้าแต่งกับข้านั้นเต็มใจ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถลึงตากลับไป ซั่งกวนเจวี๋ยอ้าปากค้าง พูดไม่ออก เวลานั้นตัวเองก็ไม่ได้เต็มใจจริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่าไม่อาจจะถอนหมั้นฝ่ายเดียวได้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อย่อมต้องร้องไห้เอะอะโวยวาย ซั่งกวนฮ่าวก็คงยืนอยู่ฝ่ายนาง และทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่จ้องตาเป็นมัน อยากให้ตัวเองแต่งกับทั่วป๋าฉินซิน ตัวเองก็คงจะคิดทุกวิธีทางเพื่อทำลายงานแต่งครั้งนั้นไปแล้ว และยามนี้เขาก็ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ทำเช่นนั้น ทั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนกับเขาเช่นกัน
“เช่นนั้นเหตุใดภายหลังจึงเอาแต่ปิดบังมาโดยตลอด?” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากรู้ถึงประเด็นหลักๆ ของเรื่องที่ผ่านมา นี่นับว่าสำคัญกับเขามากจริงๆ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองและอวี๋ฮวน เรื่องระหว่างอวี๋ฮวนและตระกูลซั่งกวนที่ไม่รู้ว่ามีบุญคุณและความแค้นอย่างไรกันแน่ ทั้งภายหลังที่สองสามีภรรยาอินหงหลันรู้เรื่องนี้ พูดถึงความจำเป็นที่ตัวเองต้องเปิดเผยว่าเป็นคุณหนูสุรา ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดถึงต้นสายปลายเหตุของการพบกันในครั้งนี้
“มี่เอ๋อร์ เรื่องการฝังศพของป้าโม่ข้าจะจัดการเอง เจ้าอย่าได้เปิดเผยตัวตนจะดีกว่า!” ซั่งกวนเจวี๋ยฟังแล้วก็เริ่มเห็นด้วยกับการกระทำของภรรยา ในความคิดของเขา หากตัวเองและมี่เอ๋อร์อยู่ในจุดเดียวกัน บางทียังไม่แน่ว่าเขาจะสามารถจัดการได้ดีเท่ากับนาง
“ข้าจะฝังศพท่านป้าด้วยตัวเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่น สำหรับนางแล้ว อวี๋ฮวนเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่ง แต่สำหรับอวี๋ฮวน คำว่า ‘คนหนึ่ง’ อาจจะกลายเป็นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ นางไม่อาจให้คนอื่นมาทำเรื่องนี้แทนได้
“มี่เอ๋อร์ ฐานะของเจ้าไม่เหมาะที่จะเปิดเผยออกมา!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าอวี๋ฮวนสำคัญต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก แต่บางเรื่องก็จำเป็นต้องอะลุ่มอล่วย ให้เขามาทำเรื่องแทนนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
“ข้าไม่ได้พูดว่าจะเปิดเผยตัวตน ข้าเชื่อว่าข้าสามารถทำให้ทุกคนไม่รู้ว่า ‘คุณหนูสุรา’ ก็คือข้าได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงมีความมั่นใจเล็กๆ อยู่ กระทั่งซั่งกวนเจวี๋ยนางยังสามารถหลอกได้ คนอื่นๆ ก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย
“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มขมขื่นทันที “เช่นนั้นข้าต้องใช้ฐานะอะไรพูดช่วยเจ้าต่อหน้าท่านพ่อเล่า? ยามที่เผชิญหน้ากับท่านพ่อควรจะแนะนำเจ้าอย่างไร? หรือต้องบอกตัวตนของเจ้าให้ท่านพ่อทราบเช่นกัน?”
บอกตัวตนของตัวเองให้ซั่งกวนฮ่าวรู้? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ยากที่จะจินตนาการว่าซั่งกวนฮ่าวที่เคร่งขรึมและมีเมตตามาโดยตลอดนั้นจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร จึงสั่นศีรษะอย่างแข็งขัน นางไม่อยากถูกซั่งกวนฮ่าวลากไปเกี่ยวข้องกับความทรงจำในอดีตของอวี๋ฮวน ยังมีหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ใครจะรู้ว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“เช่นนั้น เจ้าว่าควรทำอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าหลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ความจริงของเรื่องนี้ยังจะปฏิบัติกับมี่เอ๋อร์เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า และหากนางทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา หลังจากตระกูลซั่งกวนเข้าสู่สภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด…แปดถึงเก้าส่วนซั่งกวนฮ่าวย่อมต้องปกป้องมี่เอ๋อร์ และเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาสองสามีภรรยาก็คงจะเกิดสงครามภายในบ้านเป็นอย่างแรก
“เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คุณหนูสุราก็คือคุณหนูสุรา ขอเพียงแค่พวกนางไม่ปรากฏตัวในเวลาเดียวกันก็พอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยได้ทราบเรื่องพวกนี้แล้ว แม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็มีเขาคอยช่วยพยุงอยู่ ตัวเองไม่มีความจำเป็นต้องกังวลถึงขนาดนั้น…ความรู้สึกที่มีคนหนุนหลังให้ช่างดีเสียจริงๆ!
“ความหมายของเจ้าก็คือจะใช้ฐานะคุณหนูสุราปรากฏตัว?” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวแทบจะระเบิด ยามนี้เขาเสียใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ควรจงใจเหน็บแนมมี่เอ๋อร์ ไม่ควรให้มี่เอ๋อร์เผยนิสัยแปลกๆ ที่ซ่อนเร้นไว้ของ ‘คุณหนูสุรา’ ออกมา ใครสามารถนำภรรยาที่ใจกว้างอ่อนโยน ทั้งไม่ว่าเรื่องอะไรก็นึกถึงแต่ส่วนรวมเหมือนเมื่อก่อนคืนกลับมาให้เขาได้บ้าง…
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างยืนยัน “หากคุณหนูสุราไม่ออกมา ยามที่เจ้าอยู่ในยุทธภพ ใครจะร่วมเดินทางไปกับเจ้าเล่า? หรือเจ้าคิดจะหาสาวงามคนสนิทพวกนั้นกลับมา?”
“ข้าไม่แน่ว่าจะโลดแล่นอยู่ในยุทธภพเสียหน่อย” ซั่งกวนเจวี๋ยพยายามเกลี้ยกล่อมนาง “เจ้าลองดูสิ ปีที่แล้วกระทั่งงานประลองยุทธ์ข้าก็ไม่ได้ไป ช่วงนี้ก็ออกจากบ้านน้อยครั้ง ข้าเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ย่อมไม่เหมาะที่จะเตร็ดเตร่ไปทั่ว”
“แต่ว่า ตามที่ข้ารู้มา ยามที่ลูกชายภรรยาเอกคนโตของตระกูลซั่งกวนยังไม่ได้รับช่วงต่อจากผู้นำตระกูล จำเป็นต้องหาเวลาออกไปโลดแล่นในยุทธภพทุกปี สำรวจผู้คนในยุทธภพ ทั้งถือโอกาสสร้างเกียรติศักดิ์ศรีให้กับตัวเอง เจ้าอย่าบอกข้านะว่าข้าพูดเหลวไหล” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้เรื่องนี้มาจากอินหงหลัน และยามนี้ก็เป็นเวลาที่ง่ายจะเกิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากที่สุด ว่ากันว่า (มี่เอ๋อร์คิดว่าเขาแต่งออกมา) ซั่งกวนฮ่าวก็เคยมีช่วงเวลาที่ตกหลุมรักจอมยุทธ์หญิงที่หน้าตางดงามคนหนึ่งในยุทธภพ จนเกือบจะได้แต่งเป็นภรรยารองแล้ว…
“ข้าจะระวัง ย่อมไม่อาจให้เกิดเรื่องที่ทำให้เจ้าโกรธและเสียใจได้อีกแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยแทบที่จะลงนามในหนังสือรับรอง เขารู้ว่าเรื่องนี้คงเป็นอินหงหลันที่บอกมี่เอ๋อร์
“แต่ข้าไม่อยากให้คนอื่นกล่าวว่าเพราะเจ้ากลัวภรรยา ดังนั้นจึงไม่รับอนุ ทั้งไม่มีสาวงามคนสนิทเลยสักคน!” แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างใสซื่อ ตรงกันข้าม นางย่อมไม่เห็นด้วยที่ซั่งกวนเจวี๋ยจะรับอนุ แต่ยามนี้ยังพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคนมีความรู้สึกลึกซึ้ง และรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่หลังจากนี้ปีสองปีหรือสามปีสี่ปีเล่า? คนที่มีฐานะอย่างเขา หากมีอนุมากนั่นก็เท่ากับเป็นหนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์ หากมีอนุคนสองคน ก็เท่ากับสามีภรรยามีความรักที่แน่นแฟ้น แต่หากไม่มีอนุเลย ก็จะเปลี่ยนเป็นกลัวภรรยา เวลานั้นเพื่อที่จะปิดข่าวซุบซิบนินทา สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวก็คงทำได้เพียงรับอนุภรรยาให้กับเขา และนางก็ไม่ยอมที่จะให้มีวันนั้น
“เดิมทีข้าก็กลัวภรรยาอยู่แล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยยอมรับความขี้ขลาดของตัวเองอย่างเรียบนิ่ง ยามที่เขายังไม่รู้ว่าคุณหนูสุราคือมี่เอ๋อร์ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะรับอนุภรรยามาก่อน เพียงเห็นคุณหนูสุราเป็นสหายที่รู้ใจเท่านั้น ยามนี้เมื่อรู้แล้ว ก็คงไม่รับอนุภรรยาหรือสาวงามคนสนิทอะไรเช่นกัน…เพียงแค่พูดคำไม่เข้าหูนาง มี่เอ๋อร์ยังทำเช่นนี้กับตัวเอง หากมีวันนั้นจริงๆ เขายังจะมีชีวิตรอดอยู่หรือ?
เขายังกล้าพูดเสียจริงๆ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้มองเขาอย่างโมโห กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เช่นนั้นเจ้าไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดว่าเจ้ากลัวภรรยารหรือ?”
“ย่อมไม่สนใจ!” ซั่งกวนเจวี๋ยรีบพยักหน้า ยามนี้เอาใจมี่เอ๋อร์ก่อนจึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“แต่ข้าสนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าข้าไม่มีคุณธรรม ขี้อิจฉา ไม่ยอมให้สามีรับอนุภรรยา ทำให้ตระกูลซั่งกวนไม่มีลูกหลานสืบสกุล!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถลึงตามองซั่งกวนเจวี๋ย ตระกูลซั่งกวนย่อมยังมีคนที่หาโอกาสเล่นงานตนอยู่แน่ๆ ตัวเองไม่อาจจะมีจุดอ่อนให้คนอื่นเห็นได้
“มี่เอ๋อร์ เจ้ามีเหตุผลหน่อยดีหรือไม่…” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก การมีภรรยาหลายคนเพื่อแสดงอำนาจได้กลายเป็นเรื่องขบขันไปแล้ว ยามนี้เขาเพียงหวังให้ภรรยาสามารถทำลายตัวตนคุณหนูสุราออกไปให้หมดก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว!
“เจวี๋ย เจ้ารู้หรือไม่?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ้มหวานขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ “การไม่มีเหตุผลถือเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของหญิงสาว ยามนี้ข้าเพียงแสดงสัญชาตญาณของผู้หญิงก็เท่านั้น”
“มี่เอ๋อร์ เจ้าเคยพูดไว้ว่าเป็นภรรยาที่ดีต้องมีความรู้กว้างไกล ภายนอกงดงามภายในหลักแหลม ทั้งเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หรือเจ้าลืมไปแล้ว?” ซั่งกวนเจวี๋ยใช้เหตุผลมาหว่านล้อมนาง
“แต่ว่าเจวี๋ย การพูดจากลับไปกลับมาก็เป็นนิสัยอย่างที่สองของหญิงสาวพอดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวานยิ่งกว่าเก่า
“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยมองภรรยาที่เผยสายตาพราวแพรว ไม่อยากจะยอมรับจริงๆ ว่า นางที่เป็นเช่นนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน แต่เขาไม่อาจอ่อนข้อให้นางด้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าหากมี่เอ๋อร์ถูกตามใจเกินไปจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร
“การเหลิงเพราะถูกตามใจก็เป็นนิสัยที่สามของหญิงสาวเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มหักนิ้วนับอย่างตั้งอกตั้งใจ…
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกเวียนหัว มองภรรยาที่มีท่าทีกระตือรือร้น นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการแต่งภรรยาที่ฉลาดไม่ถือเป็นประโยชน์เสมอไป บางครั้งโง่เสียหน่อยจะนับว่าดีกว่า…