เรื่องที่ซั่งกวนเจวี๋ยคาดการณ์ไว้ไม่ได้เกิดขึ้น…หลังจากมี่เอ๋อร์กลับถึงบ้านก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เขาเหมือนก่อนหน้านี้ เผชิญหน้ากับทุกเรื่องด้วยความเรียบนิ่ง ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยถึงกับเคยคิดไปว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงจินตนาการของเขาเท่านั้น มี่เอ๋อร์ยังคงเป็นมี่เอ๋อร์ ไม่ใช่คนที่เอาแต่นับนิ้วว่า ‘…ก็เป็นนิสัยหนึ่งของหญิงสาว’ ไม่ใช่คนที่แปลงกายเป็นคุณหนูสุรามาทดสอบเขาว่าตนรักนางถึงเพียงไหน ไม่ใช่คนที่หลังจากวางยาเขาก็พยายามยั่วยวน ทั้งยิ่งไม่อาจเป็นคนที่ทำท่าราวกับจะถอนขนเขาให้ร่วงในตอนอาบน้ำ ทว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับถูกมี่เอ๋อร์ที่ตั้งใจสวมชุดคล่องตัวให้เขาดูในเย็นวันหนึ่งทำลายลงเสียสิ้น…ภรรยาที่แสนอ่อนโยนของเขาก็คือคุณหนูสุราจริงๆ ยังคงเป็นคุณหนูสุราที่ใจฝักใฝ่ในยุทธภพ
“เจวี๋ย เจ้าว่าข้าแต่งแบบนี้ดูดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อวดชุดคล่องตัวที่ตัวเองทำขึ้นมาอย่างอิ่มเอมใจ เมื่อสวมขึ้นมาก็ดูองอาจอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้นางที่เห็นตัวเองนั้นชอบเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจวี๋ยจะชอบหรือไม่
“นี่มันอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยหวังว่าดวงตาของตัวเองจะมองพลาดไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาแต่ไหนแต่ไรก็แต่งกายด้วยชุดประณีตหรูหราย่อมไม่มีทางที่จะสวมใส่ชุดคล่องตัวที่กระชับรัดกุมทั้งดูเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญแบบที่พวกหญิงสาวทางยุทธภพชอบใส่กันหรอก มี่เอ๋อร์หน้าตาสะสวย รูปร่างนั้นเพรียวบางได้สัดส่วน เมื่อสวมออกมาก็ย่อมงดงามดึงดูดสายตา แต่ว่าเขายังคงยืนกรานว่า มี่เอ๋อร์อย่าได้แต่งแบบนี้จะดีที่สุด
“เจ้ามองไม่ออกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมมีเหตุผลให้เชื่อว่าซั่งกวนเจวี๋ยกำลังแสร้งโง่อยู่ ยิ้มอย่างสดใส “อีกยี่สิบกว่าวันก็เป็นงานประลองยุทธ์แล้ว ไหลหยางอยู่ใกล้ขนาดนี้ เจ้าคงไม่อาจไม่พาข้าไปด้วยได้หรอกกระมัง!”
“มี่เอ๋อร์ ไม่ใช่คุยกันดีแล้วหรือว่าเจ้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพแล้ว?” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มขมขื่น มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มีท่าทีกระตือรือร้น ก็อดกล่าวบั่นทอนความหวังนางออกมาไม่ได้ แต่เขาย่อมไม่อาจคล้อยตามไปกับนาง ไม่ ไม่อย่างแน่นอน…
“เจ้าพูดเองเออเองข้าไม่ได้รับปากเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขา หลังจากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง นางก็ไม่ได้ปกปิดนิสัยของคุณหนูสุราต่อหน้าซั่งกวนเจวี๋ยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ในยามที่ไม่พอใจหรือดื้อรั้นก็จะไม่แสดงท่าทีอ้อมค้อม แต่จะเผยออกมาตรงๆ ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาจึงสนิทสนมขึ้นมาเพราะจุดนี้เช่นกัน
“มี่เอ๋อร์…” แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะพบว่าตัวเองชอบภรรยาที่เป็นเช่นนี้มากกว่า นางมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อน เข้าใกล้ตัวเองกว่าเมื่อก่อน ทั้งทำให้ตัวเองมีความสุขสนุกสนาน แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังคงไม่อาจยอมปล่อยไปตามใจนางได้
“ข้าไม่สน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์น้อยครั้งที่จะกล่าวอย่างดื้อรั้น “อย่างไรข้าก็จะไปงานประลองยุทธ์ให้ได้ ทั้งจะต้องฝังศพท่านป้าด้วยมือของตัวเองด้วย เจวี๋ย เจ้าก็รับปากข้าเถิด”
“ไม่ได้!” ซั่งกวนเจวี๋ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดทันที จากนั้นก็มองเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้ารีบเปลี่ยนชุดนี้เสีย ข้าไม่อยากเห็นเจ้าแต่งชุดเช่นนี้อีก!”
“ไม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยตัดบท ในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง “นี่เดิมทีก็เป็นนิสัยของข้า ข้าเพียงแต่พยายามข่มกลั้นมันไว้ ไม่ให้มันเผยออกมาก็เท่านั้น เจ้าก็เคยพูดว่าเจ้าชอบข้าที่เป็นแบบนั้น เหตุใดจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเล่า?”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชอบหรือไม่ชอบ แต่ว่า…ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นแววตาที่แฝงด้วยความดื้อดึงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ถอนหายใจอย่างจนใจ เพียงแต่เรื่องนี้เขาไม่อาจยอมถอยให้ได้ แม้จะทำให้มี่เอ๋อร์เคืองโกรธหรือโมโหก็ตาม
“หรือเจ้ากังวลว่าการปรากฏตัวของข้าจะนำปัญหามาให้?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกถึงมู่หรงปั๋วอวี่ที่ทำให้คนปวดหัวผู้นั้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันอวี่ฮ่าวส่งหนังสือกลับมาที่บ้าน กล่าวว่าการแพ้ท้องของชิงหวั่นนั้นรุนแรงมากจริงๆ เดิมทีก็ไม่อาจเดินทางได้ มู่หรงฉวีกุยสองสามีภรรยาก็เอ็นดูชิงหวั่นเป็นอย่างมาก เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่สนว่าจะเหมาะสมตามธรรมเนียมหรือไม่ ให้อวี่ฮ่าวมาชี้แจงแถลงไขสถานการณ์อย่างตรงๆ และพวกเขาก็แนะนำให้ชิงหวั่นคลอดที่บ้านเกิดก่อน เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน ในจดหมายอวี่ฮ่าวยังเอ่ยถึงมู่หรงปั๋วอวี่ กล่าวว่าพี่น้องมู่หรงฉวีกุยได้ตัดสินใจแล้ว เตรียมงานหมั้นให้เขาและฉีอวี่เจวียน อาจจะจัดงานแต่งในปีหน้า ยังกล่าวว่ามู่หรงปั๋วอวี่ยังคงไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้เป็นอย่างมาก เอาแต่คะนึงหาหญิงสาวที่มีชะตาเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งผู้นั้น
งานชมดอกบัวเดือนที่แล้ว ฉีอวี่เจวียนมาที่ลี่โจว แม้นางจะถือว่าสมใจปรารถนา ได้หมั้นหมายกับคนที่ตัวเองชอบ แต่ใบหน้าที่เผยความดีใจก็ยังปกปิดความเหนื่อยล้าไม่มิด จึงทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นับว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางอยู่บ้างมีความกังวลเล็กน้อย กระนั้นตัวฉีอวี่เจวียนเองกลับปลงตก อย่าพูดเลยว่ามู่หรงปั๋วอวี่เป็นคนที่นางชอบ แม้จะไม่ใช่คนที่นางชอบ แต่นางที่มีฐานะเป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลฉี อย่างไรก็ต้องเห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้อยู่ดี แต่ว่าหลังจากแต่งงานก็ยากจะหลีกเลี่ยงความท้อใจและไม่เป็นดั่งใจอยู่แล้ว นางนั้นกลับอิจฉาจิงอิ๋งและพิงถิง เป็นลูกสาวภรรยาเอกตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการจากพวกนางกลับเป็นการขอให้แต่งงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่การเกี่ยวดองด้วยฐานะ ตระกูลฉี ในยามนี้ยังไม่อาจทำเหมือนตระกูลซั่งกวนที่ตามใจลูกสาวอย่างไม่กลัวเกรงอันใดได้ และนางก็ไม่อาจออกปากพูดว่าจะแต่งงานกับคุณชายตระกูลอื่นที่ด้อยกว่าตระกูลฉีได้เช่นกัน
“กังวลเป็นอย่างมาก!” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่ได้กังวลมู่หรงปั๋วอวี่ แต่กังวลว่าจะทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผลอจับผิดอะไรได้ ยามนี้นางระแวดระวังเขาอย่างกับกันคนขโมย ทั้งยังให้คนจับตาดูพฤติกรรมของเขา กังวลว่าตัวเองจะไปพบปะกับหญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจนอะไรนั่น…แน่นอนว่า นางไม่ได้เผยแพร่เรื่องความเป็นไปได้ที่คุณหนูสุราและอวี๋ฮวนเกี่ยวข้องกันออกไป ด้วยเหตุนี้ซั่งกวนฮ่าวจึงตั้งใจมาคุยกับเขาเป็นพิเศษ กล่าวว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีครอบครัว เป็นพ่อคนแล้ว ไม่ว่าจะชอบคุณหนูเก้า[1]คุณหนูสิบอะไรนั่นมากขนาดไหน ก็ต้องเห็นครอบครัวสำคัญที่สุด ไม่อาจจะเพราะหญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจน ทั้งพบหน้าเพียงไม่กี่ครั้งก็ลืมภาระที่ตัวเองควรจะรับผิดชอบไป ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ลึกๆ ในเวลาเดียวกัน ทั้งอยากจะย้อนถามซั่งกวนฮ่าวบ้างว่าเขาลืมอวี๋ฮวนไปแล้วหรือยัง แต่ก็ยังคงอดกลั้นเอาไว้
มู่หรงปั๋วอวี่ก็ดี หวงฝู่หลินยวนก็ดี แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่ปัญหาที่ซั่งกวนเจวี๋ยกังวลใจ พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไม่อาจเข้าตาเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่แล้ว หวงฝู่หลินยวนแทนที่จะพูดว่าเขาชื่นชอบคุณหนูสุรา ยังมิสู้กล่าวว่าเพียงศรัทธาและชื่นชมด้วยใจจริงเท่านั้น เพียงแต่มู่หรงปั๋วอวี่ไม่รู้ว่าไปถูกมนต์ดำอันใดเข้า จึงได้ชื่นชอบมี่เอ๋อร์ได้ถึงขั้นนั้น แต่เขาเชื่อว่า เมื่อมี่เอ๋อร์มีโอกาสเจอมู่หรงปั๋วอวี่ก็จะแสดงท่าทีเย็นชาอย่างไม่ไว้หน้า โจมตีเขาอย่างดุดัน ไม่ปล่อยให้เขาได้คิดเลยเถิดอะไร หากกล่าวว่าพิจารณาในด้านของมู่หรงปั๋วอวี่ ซั่งกวนเจวี๋ยก็คงจะสนับสนุนคุณหนูสุราให้ปรากฏตัวที่งานประลองยุทธ์ ทั้งไปพบปะกับผู้คนอีกครั้ง แต่เขาไม่อยากให้มี่เอ๋อร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ใครจะรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออาจจะสนใจมาร่วมสนุกที่งานประลองยุทธ์อย่างกะทันหันก็เป็นได้?
ใบหน้าของมี่เอ๋อร์แข็งทื่อไป หรือเขาคิดว่าตัวเองอยากจะไปงานประลองยุทธ์เพื่อแสดงตัวหรือไปหว่านเสน่ห์ใส่ใครจริงๆ? หรือเขาคิดว่าตัวเองเป็นหญิงหลายใจที่เที่ยวไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายไปทั่วอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่นางหวังก็คือไม่ว่าจะยามใด ก็ล้วนจะสามารถยืนอยู่ข้างกายเขาได้ นางเป็นภรรยาของเขา อยากเป็นคนที่ยืนเคียงข้าง เป็นคนที่คอยประคับประคองอยู่ด้านหลังเขาคนนั้น ไม่ใช่คนที่อ่อนแอไม่อาจฝ่าฝันอุปสรรคอะไรได้
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อย่าได้สร้างปัญหาอะไรให้เจ้าใช่หรือไม่?” ในยามที่มี่เอ๋อร์พูดประโยคนี้ก็อยากร้องไห้อยู่บ้าง นางคิดมาโดยตลอดว่าซั่งกวนเจวี๋ยเข้าใจนาง หวังว่านางและเขาจะสามารถผ่านเรื่องทั้งหมดไปด้วยกันได้ แต่เมื่อมองยามนี้ นางกลับเข้าใจผิดไป ก็เหมือนที่ท่านแม่บอก หญิงสาวที่งดงามย่อมถูกชายหนุ่มจำนวนมากชมชอบ หญิงสาวที่ฉลาดก็จะถูกชายหนุ่มจำนวนมากชื่นชม แต่หญิงสาวที่มีทั้งเสน่ห์และความหลักแหลมก็จะมีเพียงชายหนุ่มส่วนน้อยที่ชื่นชอบ แต่หากหญิงสาวคนนั้นโดดเด่นขึ้นมาอีกนิด เช่นนั้นนางก็ถูกชายหนุ่มจองจำหรือทิ้งขว้าง มีเพียงชายหนุ่มส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรู้ว่า ไม่ว่าหญิงสาวจะโดดเด่นมีความสามารถเพียงไหน แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงหญิงสาวเท่านั้น นางคิดมาโดยตลอดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเป็นชายหนุ่มส่วนน้อยพวกนั้น แต่ยามนี้เมื่อมองกลับพบว่าไม่ใช่
“มี่เอ๋อร์ ข้ายังยืนกรานเช่นเดิม” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างหนักแน่น ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องราวให้กระจ่าง เขาต้องการเวลาอีกสักหน่อย
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็เผยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน กริ่งเกรงทั้งยังให้ความรู้สึกห่างเหิน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเรียบนิ่ง ขยำมันเป็นก้อนก่อนจะยัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ทั้งแทรกตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม ไม่เอ่ยอันใดออกมาอีกแล้ว
เห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มของมี่เอ๋อร์ที่เหมือนในยามแต่งงานใหม่ๆ ในใจของซั่งกวนเจวี๋ยก็มีความรู้สึกที่ยากจะพูด ทั้งเมื่อมองเห็นการกระทำที่หงุดหงิดแต่ไม่พูดออกมาของนาง ก็คิดอยากที่จะเก็บการตัดสินใจก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง แต่สติที่หลงเหลืออยู่ก็บอกให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเอง มองแผ่นหลังบอบบางที่หันหลังให้ตัวเองอยู่บนเตียง เขาก็สั่นศีรษะ ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหมุนกายออกไปจากห้อง…เขาก็ควรจะสงบสติอารมณ์ดีๆ เสียหน่อยเช่นกัน!
คืนนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กลับห้อง แต่กลับไปยังเรือนไร้เดี่ยวที่หลังจากทั้งสองคนร่วมห้องกันก็ว่างเปล่ามาโดยตลอด เขานอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่มองดวงดาราที่พร่างพราวแต้มอยู่บนท้องนภาทั้งอย่างนั้น คิดว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย…
มี่เอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเขา ได้ยินเขาเดินออกไป ทั้งได้ยินเสียงลมหายใจของเขาหายไปจากเรือนมีคู่ ในยามที่นางหยัดกายถลาไปที่หน้าต่าง มองแผ่นหลังของเขาห่างออกไปจากเรือนมีคู่ น้ำตาก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว เป็นนางที่ขอร้องมากไปกระมัง!
—————————-
“สะใภ้ใหญ่?” เห็นดวงตาคู่ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์บวมแดงเล็กน้อย ทั้งใบหน้ายังปกปิดความเหนื่อยล้าไม่มิด จื่อหลัวจึงอดตกใจไม่ได้ นางไม่รู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยามีเรื่องอันใดกันแน่ แต่เมื่อคืนซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กลับมา แต่เป็นเรื่องที่มีเพียงสาวใช้ใหญ่สองเรือนเท่านั้นที่รู้ ในยามที่ปรนนิบัติพวกเขาให้ล้างหน้าบ้วนปากเตรียมเข้านอน ทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่ ไม่รู้ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงพากันกระวนกระวายทั้งคืน และเมื่อมองยามนี้ก็รู้สึกว่า สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่คาดคิดไว้มาก
“ตักน้ำเย็นมาให้ข้าเช็ดหน้าหน่อย ข้าไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพเช่นนี้ของข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง จื่อหลัวรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูคุ้นเคยแต่ก็แปลกตาเช่นกัน คล้ายกับว่านานแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่ห่างเหินของนางเช่นนี้
“สะใภ้ใหญ่ ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ?” จื่อหลัวคิดไม่ตกจริงๆ ตกลงเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้ได้
“ไม่มีอะไร ภายหลังจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มราบเรียบ เป็นตัวเองที่ผิดไป ภายหลังยังคงต้องโอนอ่อนกว่านี้หน่อย วางตัวเหมาะสม เคารพกฎเกณฑ์จึงจะเป็นเรื่องที่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนควรทำ อย่าได้ทำเรื่องที่ตัวเองไม่ควรทำ ทั้งอย่าได้ร้องขอเรื่องที่ตัวเองไม่ควรร้องขออย่างเกินตัว!
“มี่เอ๋อร์…” ท้ายที่สุดซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังคงกังวลใจเป็นอย่างมาก หลังจากอาบน้ำสางผมเสร็จแล้วก็ตามเข้ามา เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกพวกสาวใช้แต่งตัวเสร็จพอดี ยังคงดูงดงามและมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก รู้สึกวางใจเล็กน้อยแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง…ดูท่าเมื่อคืนตัวเองจะหงุดหงิดใจเสียเปล่าทั้งคืน
“น้อมทักทายสามี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้อมกายคำนับอย่างงดงาม ท่าทีอ่อนโยนและสุภาพ ไม่แฝงความโมโหใดใด ทั้งไม่มีความรู้สึกอบอุ่นอยู่เช่นกัน
“มี่เอ๋อร์ นี่เจ้า…” ซั่งกวนเจวี๋ยตกใจ คล้ายกับเห็นมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน มีท่าทีระแวดระวัง และพยายามที่จะได้รับการยอมรับจากทุกคน
“มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน มุมปากยกยิ้มอย่างพอดี แต่ในดวงตากลับมีแต่ความสงบนิ่ง
“มี่เอ๋อร์ เมื่อวานข้า…” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่สนใจพวกสาวใช้ที่ยังไม่ถอนตัวออกไป ดึงมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพื่อจะอธิบาย เพราะไม่อยากจะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ห่างเหินสงวนท่าทีเช่นนี้ เขารู้ว่าหากเขาอธิบายเรื่องนี้ไม่ทันท่วงที เขาย่อมต้องพลาดพลั้งจากของล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเองเป็นแน่
“สามีไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของมี่เอ๋อร์” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากฟังเขาอธิบาย คลี่ยิ้มเล็กน้อย “ภายหลังมี่เอ๋อร์ย่อมไม่ทำความผิดซ้ำเดิมอีกแล้ว อย่างไรขอสามีให้อภัยด้วย”
“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยร้อนใจ เขาสามารถรับรู้ถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เดิมทีได้เปิดใจ ทว่าชั่วข้ามคืนก็ปิดลง บางทีอาจจะปิดสนิทด้วยกุญแจด้วย หากจะให้มี่เอ๋อร์ดื้อรั้นเหมือนเมื่อก่อนคล้ายกับจะเป็นเรื่องที่ไกลจนเอื้อมไม่ถึงอีกแล้ว
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงยิ้มอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นก็คารวะซั่งกวนเจวี๋ย ไม่เปิดโอกาสให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้พูดอันใด ก็เผยยิ้มต้อนรับวันใหม่…
————————————————–
[1] คำว่าเก้าและสุราในภาษาจีนออกเสียงเหมือนกัน