ซั่งกวนเจวี๋ยกลับบ้านมาในยามเที่ยง ท่าทีที่มีลับลมคมนัยนั้นทำให้มี่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจ
“ข้าคิดดีแล้ว อย่างไรเจ้าแต่งเป็นคุณหนูสุราไปงานประลองยุทธ์กับข้าเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลังจากขบคิดและวางแผนอยู่หลายวัน ท้ายที่สุดเขาก็เห็นด้วยที่จะพามี่เอ๋อร์ไปไหลหยางด้วยกัน
“ไปอย่างไร?” ในใจของมี่เอ๋อร์ย่อมรู้สึกดีใจ แต่ก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ซั่งกวนเจวี๋ยกังวลมากที่สุด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่กลัวว่าท่านแม่จะเป่าหูให้ท่านพ่อไปด้วย จากนั้นก็มาพบเจอกับเจ้าอย่างพอดิบพอดีอย่างนั้นหรือ?”
“วันนี้ข้าและลุงอินเปิดอกคุยกันเรื่องเจ้าและอวี๋ฮวนแล้ว ทั้งบอกเช่นกันว่าข้าเตรียมจะไปพบเจ้าที่ไหลหยาง” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้ม “พรุ่งนี้เจ้าก็เก็บข้าวของ พาพวกแม่นมฉินไปยังอารามสัตตบุษย์ ใช้ข้ออ้างสวดมนต์ถือศีลภาวนา อยู่ที่นั่นสักครึ่งเดือน ข้าเชื่อว่า เจ้าย่อมมีวิธีถอนตัวออกมาได้แน่ หลังจากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกลุงอิน”
“นี่ไม่มีปัญหา ข้าสามารถให้ตงอวี่สลับตัวแทนข้าที่อารามสัตตบุษย์ได้ นางทราบความเคยชินของพวกแม่นมฉินดี ไม่อาจทำให้พวกนางจับผิดอะไรได้อยู่แล้ว” เรื่องเกี่ยวกับตงอวี่และเซียงเสวี่ย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็บอกแก่ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง แต่ไม่ได้บอกเขาว่าตงอวี่พักอยู่ที่ใด และซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้ถาม บางครั้งมีความลับเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องที่สนุกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“จากนั้นพวกเราก็ไปพบกันที่ไหลหยาง เวลานั้นไม่เพียงแต่เจ้าต้องปรากฏตัวในฐานะของคุณหนูสุรา แต่ยังต้องปรากฏตัวในฐานะศิษย์ของอวี๋ฮวนด้วย ทั้งกล่าวว่าก่อนที่นางจะตายได้บอกให้เจ้ามาที่ลี่โจวเพื่อตามหาลุงอินก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ เจ้าก็ปรึกษากับลุงอินแล้วกัน! ถ้าหากพบกับท่านพ่อท่านแม่เข้าจริงๆ ก็ย่อมต้องระวัง อย่าให้พวกเขาจำได้อย่างเด็ดขาด จากนั้นพวกเราก็ดูสถานการณ์ คิดวิธีให้ท่านพ่อเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องการฝังศพของอวี๋ฮวน” ซั่งกวนเจวี๋ยคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงตัดสินใจให้มี่เอ๋อร์ใช้ฐานะของคุณหนูสุราปรากฏตัว “แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี อย่าได้รับปากใครไปเป็นแขกของที่ใดอย่างเด็ดขาด หากถึงเวลากลับมาไม่ทัน ถูกจับได้ก็ไม่ดีแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวาน “ไม่ว่ามู่หรงปั๋วอวี่หรือหวงฝู่หลินยวน ข้าล้วนจะทำให้พวกเขาราวกับเห็นผี ย่อมไม่เปิดโอกาสอันใดให้พวกเขาเข้าใกล้ข้าแน่”
“เข้าใจก็ดีแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยยอมรับว่าตัวเองกำลังหึงในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่มีภรรยาเช่นนี้ หากกล่าวว่าไม่กังวลที่นางปรากฏตัวในยุทธภพเลยคงเป็นไปไม่ได้
“เจ้าก็ต้องระวังตัวให้ข้าด้วยเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยับเข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ย “หากให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีลับลมคมในอะไรกับจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ ก็อย่ามาโทษว่าข้าทำเรื่องงี่เง่าแล้วกัน! อย่างไร คุณหนูสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องวางตัวมีคุณธรรมให้ผู้อื่นเห็น หึๆ…”
“นี่เป็นของบางอย่างที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า ข้านำพวกมันไปไว้ที่โรงจำนำแล้ว เจ้าแค่ไปไถ่พวกมันออกมาก็พอ” ซั่งกวนเจวี๋ยส่งตั๋วจำนำใบหนึ่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ของปกติที่เจ้ามักจะใช้ยังคงต้องเตรียมเอง อย่างไรก็ต้องระวังด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิงแอบเขา จู่ๆ ก็นึกถึงลูกชาย กล่าวอย่างกังวล “เช่นนั้นเสี่ยวหมิงเอ๋อร์จะทำอย่างไรดี? ในยามนี้เขาไม่อาจขาดใครไปได้ หากพวกเราล้วนไม่อยู่ เขาจะร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อนหรือไม่?”
“เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าช่วงนี้หมิงเอ๋อร์นับวันก็ยิ่งรบกวนพวกเราน้อยลงเรื่อยๆ? เขาในยามนี้มีของเล่นชิ้นใหม่แล้ว พวกเราไม่ได้สำคัญที่สุดอีกแล้ว” ในยามที่พูดถึงเรื่องนี้ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยากที่จะไม่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เสี่ยวหมิงเอ๋อร์มีสิ่งที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นอยู่บ้าง นั่นก็คือสนิทสนมกับตัวเขาที่เป็นพ่อเป็นพิเศษ หากไม่เห็นหน้าทั้งวันก็จะเอะอะโวยวาย เพื่อทำให้เขาหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้เร็วที่สุด ปีหน้าจะได้สามารถขึ้นไปอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิง ท่านบรรพชนไม่รู้ว่าไปเอาสุนัขตัวใหญ่ที่ฉลาดปราดเปรื่องมาจากที่ใด หลังจากเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เห็นก็ชอบมากทันที ยามนี้เดินไปไหนก็จับหางสุนัขไป กินข้าวก็ยังกอดคอมัน เขากินข้าวหนึ่งคำ ก็ให้พวกสาวใช้ให้อาหารสุนัขหนึ่งคำ ในยามที่นอนหลับ สุนัขตัวนั้นก็เฝ้าเขา ตัวติดกันแทบไม่ห่างไปไหน ดังนั้นจะเห็นหรือไม่เห็นซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้สำคัญอะไรถึงขนาดนั้นแล้ว
“เปินเหลยนั้นฉลาดจริงๆ ข้าเห็นก็ยังชอบเป็นอย่างมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกขึ้นมาก็เพียงรู้สึกขบขัน เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ในยามนี้และสุนัขที่มีชื่อว่า ‘เปินเหลย’ ตัวนั้นสูงพอๆ กัน คนกับสุนัขอยู่ด้วยกัน อย่าพูดเลยว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานถึงเพียงไหน
“เมื่อวานยามที่ข้าไปหาเขา เขาก็ทำท่าทางเมินเฉย หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะทำใจทิ้งเขาให้อยู่ที่บ้านคนเดียวได้อย่างไร!” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะ รู้สึกว่าหากตัวเองอิจฉาสุนัขตัวหนึ่งก็ตลกเกินไป ทั้งไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วย
“วันมะรืนข้าจะเก็บข้าวของ วันที่สองก็จะออกเดินทาง หากพวกเราสามารถเจอกันระหว่างทางได้ก็ย่อมดีที่สุด” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่วางใจที่มี่เอ๋อร์จะร่วมเดินทางไปกับอินหงหลัน เขารู้ว่าในความเป็นจริงอินหงหลันเป็นคนประเภทที่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอเท่านั้น มี่เอ๋อร์ใช้การไปไหว้พระครั้งนั้นนัดพบเขา ก็เป็นความคิดของอินหงหลัน(เป็นอินหงหลันที่ยอมรับเอง เขาก็กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้สามีภรรยาบาดหมางอะไรกัน) แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก ก็ทำได้เพียงให้อินหงหลันและมี่เอ๋อร์ร่วมทางกัน อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เขาวางใจกว่าการให้มี่เอ๋อร์ไปไหลหยางคนเดียว
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะตระเตรียมเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสรรพในวันมะรืน จากนั้นก็จะไป ‘พบเจ้าอย่างบังเอิญ’ ระหว่างทาง ถึงเวลานั้นเจ้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าซั่งกวนเจวี๋ยที่เผยความลังเลและสับสนด้วยความขบขัน “แต่หากพรุ่งนี้เสี่ยวหมิงเอ๋อร์มีท่าทีไม่เชื่อฟังขึ้นมา ข้าก็ไม่ไปแล้ว ลูกย่อมต้องสำคัญกว่า!”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเช่นกัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยก็คิดว่าลูกชายสำคัญกว่า หากเพราะเรื่องนี้จึงละเลยเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไปก็นับว่าได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
“เช่นนั้นข้าก็จะพูดเรื่องนี้กับท่านแม่” ซั่งกวนเจวี๋ยเดาว่าหลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทราบเรื่องนี้ย่อมต้องสงสัยเป็นแน่ พูดยากว่าอาจจะชักจูงซั่งกวนฮ่าวให้ไปไหลหยางเป็นเพื่อนนางจริงๆ ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะชุลมุนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด!
“ระวังด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใจกว้างต่อนาง แต่สำหรับซั่งกวนเจวี๋ยกลับเข้มงวดกวดขัน แทบที่จะแตกต่างจากแม่สามีทั่วไปโดยสิ้นเชิง
“อืม!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ในยามที่ตัดสินใจเรื่องนี้ เขาก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะพบกับปัญหา และหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เป็นปัญหาที่อยู่ซ้อนในปัญหาอีกที
—————–
“มี่เอ๋อร์ เจ้าจะไปสวดมนต์ภาวนาที่อารามสัตตบุษย์ครึ่งเดือนอย่างนั้นหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรอหลังจากลูกชายออกไปแล้วก็เข้ามาหาอย่างกระหืดกระหอบ กล่าวเสียงดังถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เผยยิ้มออกมา ผงกศีรษะด้วยท่าทีอ่อนโยน
“เป็นความประสงค์ของเจ้าหรือว่าเจวี๋ยเอ๋อร์?” ความคิดอย่างแรกของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็คือซั่งกวนเจวี๋ยคิดหาวิธีที่จะแยกตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไป จากนั้นเขาก็จะมีเวลาและสบโอกาสไปทำเรื่องอย่างอื่นได้ คิดว่านี่ไม่ยุติธรรมกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทั้งทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ไม่ใช่ประสงค์ของใคร เพียงแต่เจวี๋ยตระหนักถึงความคุ้นชินของข้าได้เท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “เมื่อก่อนเดือนแปดของทุกปี ข้ามักคุ้นชินที่จะสวดมนต์คัดลอกคัมภีร์ ถือศีลภาวนาที่อาราม เพียงแต่สองปีมานี้มีเรื่องราวมากมาย ไม่มีเวลามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ไม่นานได้เอ่ยเรื่องนี้กับเจวี๋ยขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาบอกว่าเขาจะจัดการให้ ดังนั้น…เจวี๋ยจึงคิดเรื่องนี้เพื่อข้า ท่านแม่ไม่เห็นด้วยกับข้าเช่นนี้หรือ?”
“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่รู้สึกว่าบังเอิญอยู่บ้างเท่านั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “ช่วงเวลานั้นเป็นงานประลองยุทธ์พอดี ปีนี้งานประลองยุทธ์จัดขึ้นที่ไหลหยาง ข้ายังคิดว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาบ้างเสียอีก”
“ข้ารู้จักงานประลองยุทธ์ เคยได้ยินเจวี๋ยพูดอยู่บ้าง แต่ว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่งานชุมนุมเช่นนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องประลองต่อสู้กันอยู่แล้ว ได้ยินว่าบางครั้งยังฆ่ารันฟันแทงอย่างดุดัน น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ข้าไม่กล้าไปร่วมด้วยหรอก”
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นท่าทีที่คล้ายกับหวาดกลัวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็กล่าวปลอบใจ “ตามปกติแล้ว แม้ว่าจะมีความแค้นอะไรกัน ในงานประลองยุทธ์ก็อาจจะเกิดสถานการณ์ตึงเครียดอยู่บ้าง แต่ปกติก็ไม่อาจควักอาวุธมาสู้กันตรงๆ หรอก ชาวยุทธภพก็เป็นห่วงหน้าตาตัวเองเช่นกัน หากควักอาวุธขึ้นมาในงานประลองยุทธ์จริงๆ เช่นนั้นผู้จัดงานก็จะเสียหน้า หลังจากเรื่องจบแล้วย่อมจะไปคิดบัญชีกับพวกเขาให้สาสม อีกอย่าง หลายปีมานี้ตระกูลซั่งกวนไม่เคยพบใครกล้ามายั่วยุตรงๆ มาก่อน เจ้าก็อย่าได้กังวลไป!”
“เพียงแต่นึกถึงคมดาบที่ฟาดฟันประกายแสงวูบวาบนั้นก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี ข้าไม่อาจไปที่เช่นนั้นได้หรอก” เยี่ยนมี่เอ๋ออร์ไม่ชอบอยู่บ้าง ทั้งสั่นศีรษะอย่างหวาดกลัว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่สงสัย นางก็ไม่ชอบสถานการณ์แบบนั้นเช่นกัน มี่เอ๋อร์จะเกลียดก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“เจ้าจะไปอารามสัตตบุษย์เมื่อใดเล่า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามออกไป
“ตามที่เจวี๋ยจัดการคือพรุ่งนี้ ข้ารู้สึกว่าก็ดี เพียงแต่ยังไม่ทันได้กำชับให้พวกจื่อหลัวตระเตรียมของเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะพุ่งเข้ามาหาไวถึงขนาดนี้ กระทั่งนอนกลางวัน นางก็ยังไม่ทันได้นอนเลย!
“พรุ่งนี้?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดจึงรีบขนาดนี้?
“มี่เอ๋อร์ เป็นเจ้าที่เต็มใจเองหรือเจวี๋ยเอ๋อร์นั้นยืนกราน?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมักจะรู้สึกว่าในนี้มีความผิดปกติอยู่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนรู้สึกแปลกๆ เหตุใดจึงต้องเป็นยามนี้ สิบส่วนเจวี๋ยเอ๋อร์ต้องไปงานปละลองยุทธ์ที่ไหลหยางเป็นแน่ หากเขายินดีที่จะพามี่เอ๋อร์ไปด้วยย่อมดีที่สุด หากไม่ยินดี เช่นนั้นก็ทิ้งมี่เอ๋อร์อยู่ในบ้านก็ได้ แต่เหตุใดเขาต้องส่งมี่เอ๋อร์ไปที่อารามสัตตบุษย์ด้วย? หรือคิดว่าแม้มี่เอ๋อร์จะได้ยินอะไรมาก็ไม่อาจออกมารบกวนเขาได้แน่? ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็น่าสงสัย
“ย่อมเป็นความต้องการของข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง “ทุกปีข้าล้วนไปอารามในปลายเดือนเจ็ด ดังนั้นยามที่เจวี๋ยถามข้า ข้าจึงบอกว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี พรุ่งนี้จึงนับว่าเร็วที่สุดแล้ว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มปลอบใจหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และก็เป็นยามนี้ที่แม่นมจ้าวเข้ามาพอดี หวงฝู่เยวี่ยเอ้อบอกเป็นนัยให้แม่นมสีไปดักแม่นมจ้าว ทั้งเรียกให้นางเข้ามา “พรุ่งนี้เจวี๋ยเอ๋อร์จะส่งมี่เอ๋อร์ไปสวดมนต์ภาวนาที่อารามสัตตบุษย์ เจ้าดูสิว่าต้องเตรียมของอะไรไปบ้าง?”
นางอยากจะเห็นว่าคนข้างกายของมี่เอ๋อร์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร หากมีความผิดปกติเล็กน้อย นางย่อมจะขัดขวางเรื่องนี้
“ไปสวดมนต์ภาวนาที่อารามสัตตบุษย์?” แม่นมจ้าวตะลึงไปเล็กน้อย นางไม่ทราบข่าวนี้แม้แต่น้อย จากนั้นก็มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อเห็นนางพยักหน้า ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มดีใจทันที รีบผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ สองปีมานี้สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ถือศีลภาวนาอย่างจริงๆ จังๆ เลย ไม่กี่วันก่อนแม่นมฉินก็พูดว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ย่อมไม่ดีเท่าใด คาดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่จะใส่ใจถึงเพียงนี้ สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปเตรียมของเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ทั้งจะไปบอกให้แม่นมฉินทราบ ให้นางดีใจไปด้วย!”
“อื้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ท่าทีของแม่นมจ้าวทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อวางใจขึ้นมาเล็กน้อย นางอยู่คุยเล่นกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์สักพัก เมื่อเห็นใบหน้าของนางเผยความง่วงอยู่เลือนรางก็จากไป แต่ในใจนางนั้นคิดอะไร กลับไม่มีใครคาดเดาได้เลย
———————————-