หวงฝู่เยวี่ยเอ้อลงจากรถม้าด้วยใบหน้าที่ดำคล้ำ ไม่ได้นึกสนใจอนุภรรยาหวังที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ทั้งมองข้ามอนุภรรยาอู๋ที่เผยท่าทีแปลกใจ เดินขึ้นไปบนเกี้ยวเล็กที่หยุดรอตรงหน้าประตู เมื่อออกคำสั่ง เกี้ยวก็ถูกยกขึ้นอย่างเร่งรีบ ออกไปจากประตูใหญ่โดยทันที ซั่งกวนฮ่าวสองพ่อลูกมองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความจนใจในแววตาของอีกฝ่าย
“อย่างไรเจ้าไปอารามสัตตบุษย์ก่อนเถิด ทักทายกับมี่เอ๋อร์ แล้วรับนางกลับมาเสีย!” ซั่งกวนฮ่าวยังกังวลว่า ‘คุณหนูสุรา’ ที่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจรั้งตัวอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนคนนั้นจะสร้างผลกระทบที่คาดไม่ถึงกับสองสามีภรรยา ทั้งอยากให้มี่เอ๋อร์สามารถกลับมาปลอบใจหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่โมโหเป็นอย่างมากเสียหน่อย…มี่เอ๋อร์เดิมทีก็สนิมสนมกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เรียกคนอย่างนางที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมา ย่อมต้องสามารถเปลี่ยนแปลงความโมโหของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นความสุขได้แน่ ทั้งยังสามารถฉวยโอกาสดึงคนอื่นมากลายเป็นแพะรับบาป ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อระบายโทสะที่สุมอกไปลงที่หญิงสาวผู้ซึ่งใช้ฐานะของ ‘คุณหนูสุรา’ มาแสวงหาประโยชน์ผู้นั้น
“เข้าใจแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ทักทายกับ ‘คุณหนูสุรา’ อย่างเป็นพิธี ก่อนจะไปอารามสัตตบุษย์ทันที ด้านซั่งกวนฮ่าวก็จัดแจงให้ ‘คุณหนูสุรา’ พักอยู่ที่เรือนเหนือ เตรียมสาวใช้คอยปรนนิบัตินางอีกห้าหกคน ทั้งยังตั้งใจปกปิดข่าวของนางไว้ เขาไม่อยากให้มู่หรงปั๋วอวี่ที่อาจจะได้ยินข่าวคราวอะไรตามมาผสมโรงอีกครั้ง
สองชั่วยามหลังจากนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยก็รับเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมา เมื่อถึงบ้านมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้หยุดพัก อุ้มลูกชายไปหาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทันที ระหว่างทางที่นางกลับมาก็ได้ยินเรื่องการปรากฏตัวของ ‘คุณหนูสุรา’ เช่นกัน ทั้งทราบว่าหลังจากคุณหนูคนนี้รู้ว่าอาจารย์ของ ‘ตัวเอง’ เป็นสหายสนิทของซั่งกวนฮ่าว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ทำให้ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกผิดฝังใจ จึงวางท่าขึ้นมา เผยความถือตัวและหยิ่งยโสกับซั่งกวนฮ่าว เย็นชาใส่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ส่วนซั่งกวนเจวี๋ย นางก็ดีต่อเขาเล็กน้อย แต่คำพูดและการกระทำก็แฝงความหยิ่งผยองอย่างเลือนราง ส่วนความระมัดระวังที่เคยมีนั้นก็หายไปเสียสิ้นในชั่วข้ามคืน
แน่นอนว่า ซั่งกวนเจวี๋ยที่ฉลาดหลักแหลมนั้นก็ทราบเรื่องหนึ่งมาจาก ‘คุณหนูสุรา’ ที่พลั้งเผลอออกมา นั่นก็คือไม่นานก่อนหน้านี้นางไปเจอกับฉีอวี่ฮ่าวที่อวิ๋นโจว จากแววตาที่ดีใจของนางนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยก็เดาได้ว่าฉีอวี่ฮ่าวคงมองฐานะของนางไม่ออก ในใจอดขำออกมาไม่ได้ แต่หลังจากสังเกตมาหลายวันก็กังวลใจอยู่บ้าง…หญิงสาวคนนี้แต่งกายได้เหมือนอย่างยิ่ง น้ำเสียง การกระทำ ท่าทีล้วนเหมือนกว่าเจ็ดถึงแปดส่วน และในหมู่พวกเขา นอกจากตัวเองแล้ว คนอื่นก็เจอกับคุณหนูสุราเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น รู้ว่านางมีวรยุทธที่ไม่ธรรมดา ทั้งรู้ว่านางดื่มสุราเก่ง รู้ว่านางพูดจาตรงไปตรงมา ทั้งรู้ว่านางดื้อรั้นไม่สนใจผู้อื่น…และนิสัยพวกนี้ นางล้วนแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบยิ่งกว่ายามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งเป็นคุณหนูสุราเสียอีก บางครั้งซั่งกวนเจวี๋ยก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากไม่กระจ่างถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของนาง บางทีตัวเองก็อาจเป็นคนหนึ่งที่โดนหลอกเช่นกัน
ที่จริงซั่งกวนเจวี๋ยก็สงสัยเช่นกัน เหตุใดมี่เอ๋อร์จึงอยู่ร่วมกับนิสัยสองแบบที่แตกต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ได้ ทั้งเคยถามคำถามเช่นนี้กับมี่เอ๋อร์เช่นกัน และคำตอบของมี่เอ๋อร์ก็ทำให้เขาไร้คำพูด มี่เอ๋อร์กล่าวว่าการใช้ชีวิตในตระกูลซั่งกวนดูเหมือนจะเข้มงวดมาก ที่จริงก็เข้มกว่าตอนที่นางอยู่ตระกูลเยี่ยน โดยเฉพาะยามที่จงเสวี่ยฉิงได้วางรากฐานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้นางแล้ว นับว่าสบายเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นางอายุห้าขวบก็เริ่มรู้ความ การใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องเป็นไปตามกฎและกำหนดที่ตายตัว เวลานี้ต้องทำอะไร จะทำอะไรออกมาให้มีผลลัพธ์แบบไหนก็ล้วนมีกฎที่แน่นอน การใช้ชีวิตของนางจึงเข้มงวดและไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก แต่คุณหนูสุรานั้น…กลับเป็นครั้งแรกที่ทำให้นางได้สลัดตัวตนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ปรากฏกายออกมาใต้แสงอาทิตย์ ชีวิตยากที่จะมีโอกาสทำตามตัวเองอย่างไม่ต้องสนสิ่งใด นางจึงระบายอารมณ์ที่วันปกติตัวเองไม่กล้าทำหรือไม่กล้าปลดปล่อยออกมา แน่นอนว่าย่อมเป็นการกระทำที่ไร้กฎเกณฑ์ หากจะให้นางใช้ชีวิตเช่นนั้นไปตลอด คนอื่นอาจจะยอมรับได้ แต่นางก็คงต้องบ้าไปแล้ว…ที่จริงนางก็คิดไม่ตกเช่นกัน เหตุใดพวกซั่งกวนเจวี๋ยจึงชอบคนที่มีนิสัยเช่นนั้นได้ เรื่องที่คุณหนูสุราทำล้วนเป็นความคิดที่จงเสวี่ยฉิงเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชนางว่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำ ทั้งไม่อาจจะทำได้
ซั่งกวนเจวี๋ยคิดแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น นิสัยที่คุณหนูสุราแสดงออกมา สามารถเป็นเพื่อนได้ สามารถเป็นสหายคนรู้ใจได้ แต่ไม่อาจจะเป็นภรรยาได้ หากมีภรรยาเช่นนั้นจริงๆ บ้านเรือนไม่มีความสงบล้วนเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่ท่าทีครั้งแรกที่นางปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพวกเขานั้นได้ให้ความประทับใจที่ดีงามกับพวกเขาแล้ว ดังนั้นจึงอาจมองข้ามจุดด้อยที่นางอาจจะมีอยู่ไป
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่อยู่ในอารมณ์โกรธขึ้งเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังต่อสู้กับลูกชายเดินเข้ามาในเรือนนภารองก็ตกใจ เห็นเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ที่ดึงผมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความโมโห ทั้งมี่เอ๋อร์ก็หลบหลีกจนผมเผ้ายุ่งเหนิงไปหมด ดูทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง โทสะที่มีอยู่ในใจ จู่ๆ ก็สลายหายไปในพริบตา อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พ่อทูนหัว อย่าสู้กับแม่เจ้าเลย มาหาย่าดีกว่าเถิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรับหลานสุดที่รักที่คิดถึงเป็นอย่างมากเพราะไม่ได้เจอมาหลายวัน ทั้งเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้มี่เอ๋อร์ด้วย
“ท่านแม่ระวังด้วย” มี่เอ๋อร์ค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย แต่ก็กังวลว่า ‘ความอเนจอนาถที่ตัวเองได้พบ’ จะไปเกิดกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออีกครั้ง เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เห็นได้ชัดว่าโมโหเรื่องที่จู่ๆ พวกนางก็หายไปไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาหลายวัน ยามที่นางหอมเขา เขาก็ใช้ฟันที่ขึ้นไม่กี่ซี่นั้นกัดตัวนางอย่างแรงโดยไม่เกรงใจ ระหว่างทางที่มาก็ส่งเสียงอย่างโมโหแสดงความไม่พอใจของตัวเองออกมา ทั้งยังเอาแต่ดึงผมของนางอย่างไม่เลิกรา เห็นได้ชัดว่าโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์โกรธมากเลยหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพบว่ายามที่หลานอยู่ในอ้อมกอดของนางก็เผยท่าทีโกรธเคืองอยู่เช่นกัน มืออ้วนๆ นั้นเล็งมาจับผมของนาง เมื่อจับไม่ถึงก็เปลี่ยนมาดึงสร้อยคอแทน ดูน่าหมั่นเขี้ยวทั้งน่าขบขันในเวลาเดียวกัน
“เขากำลังโกรธอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าใจอารมณ์ของลูกชายดี “เขาคงคาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เจอพวกเรากว่าสิบวัน ดังนั้นจึงโกรธมาก ได้ยินแม่นมกล่าวว่า วันที่สองที่ข้าไม่อยู่เขาก็คล้ายจะรู้สึกถึงความผิดปกติบ้างแล้ว แต่ก็ยังกินอิ่มนอนหลับ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาโดยตลอด ในยามที่เพิ่งเห็นข้าก็ไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่สนใจข้า หลังจากปลอบอยู่ค่อนวันจึงเปลี่ยนเป็นโมโหใส่เช่นนี้แทน”
“นี่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์กำลังโกรธอยู่หรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้สึกผิดต่อหลานเช่นกัน มารดาถูกซั่งกวนเจวี๋ยส่งไปอารามสัตตบุษย์(ยามนี้นางมั่นใจแล้วว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นถูกซั่งกวนเจวี๋ยจงใจใช้เรื่องนี้มาอ้างเพื่อคุมขังนาง) บิดาก็วิ่งโร่ไปนัดพบกับผู้หญิงน่าชังคนนั้น ซั่งกวนฮ่าวก็ถูกตัวเองชักจูงให้ออกจากบ้านถึงแปดเก้าวัน ข้างกายเขานอกจากแม่นมก็มีเพียงสาวใช้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น จะไม่เหงาก็แปลกแล้ว
“แม่…” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ชี้ไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างโมโห มี่เอ๋อร์ทำเพียงเผยยิ้มขมขื่นรับผิดเท่านั้น
หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ เสี่ยวหมิงเอ๋อร์หยุดกล่าวโทษมารดาทันที หันไปแยกเขี้ยวกางกรงเล็บงอแงใส่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแทน หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงหยุดหัวเราะโดยพลัน ขอโทษเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ส่งเจ้าตัวเล็กที่โมโหให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก่อนแม่สามีและลูกสะใภ้จะเริ่มโอบล้อมปลอบใจเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ขึ้นมา ไม่นานนัก เจ้าตัวเล็กก็ไม่ได้โกรธถึงเพียงนั้นแล้ว เผยหน้าเปื้อนยิ้มและให้พวกนางหอมพอเป็นพิธีอย่างใจดี คล้อยหลังก็หาวหวอดขึ้นมา ล่วงสู่นิทราในอ้อมกอดของมารดา เพียงแต่ มือเล็กนั้นกลับจับที่เสื้อของมารดาไว้แน่น จะอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
“เป็นเจวี๋ยเอ๋อร์ที่รับเจ้ากลับมาหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นหลานที่น่ารักหลับสนิทแล้ว ก็เอ่ยปากถาม พวกเขาเพิ่งกลับมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กลับมาเช่นกัน หากไม่ใช่ซั่งกวนเจวี๋ยไปรับก็คงเป็นซั่งกวนจิ่นส่งคนไปรับกลับมา
“เป็นเจวี๋ยที่ไปรับข้า!” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แฝงด้วยรอยยิ้มบาง “เขากล่าวว่าเสี่ยวหมิงเอ๋อร์อาละวาดอยู่ที่บ้าน ข้าจึงรีบตามเขากลับมา พวกจื่อหลัวกำลังเก็บข้าวของกัน ก่อนยามเย็นก็คงจะกลับมา แต่ว่าแม่นมฉินและเซียงหลิงนั้นอาจจะอยู่อีกครึ่งเดือนจึงค่อยกลับมา”
แม่นมฉินไม่เหมือนกับนาง เป็นคนที่มีใจเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง หากไม่ถึงครึ่งเดือนก็ไม่อาจกลับมา ส่วนเซียงหลิง…เยี่ยนมี่เอ๋อร์มักรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่นางไปอารามสัตตบุษย์กับพวกตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นนางไปมาหาสู่หรือติดต่อกับผู้ใด ไม่รู้จริงๆ ว่านางมีลูกไม้อะไรอยู่หรือไม่
“เขาได้บอกกับเจ้าหรือไม่ว่ามีผู้หญิงที่น่าชิงชังกลับมากับพวกเราด้วย?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกว่านับวันก็เกลียดโม่จิ้งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวางท่าอย่างถือตัวจากไปก็กลับมาอีกครั้งนับเป็นเรื่องอันใดกัน? บางทีอาจต้องกล่าวว่านางคิดจะรั้งตัวอยู่กับซั่งกวนเจวี๋ยจริงๆ?
“ได้ยินมาแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงรักษารอยยิ้มเรียบนิ่งไว้ “เจวี๋ยกล่าวว่าโม่จิ้ง คุณหนูโม่คนนั้นเป็นคนรู้จักของพวกเขา เคยเจอกันมาสามสี่ครั้ง อาจารย์ของนางเป็นสหายของท่านพ่อและลุงอิน เพราะอาจารย์ของนางตาย จึงต้องการไหว้วานเรื่องฝังศพกับลุงอิน ดังนั้นจึงได้ปรากฏตัวขึ้น”
“เจ้าอย่าได้ฟังคำพูดของเจวี๋ยเอ๋อร์เพียงฝ่ายเดียวเชียว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างโมโห “ข้าว่าแววตาของผู้หญิงคนนั้นไม่ปกติ มักจะใช้ดวงตาคู่นั้นล่อลวงคนอื่น ดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไร ข้าว่าเรื่องที่นางฝังศพให้อาจารย์ย่อมเป็นเรื่องโกหก คิดอยากจะใช้โอกาสนี้รั้งตัวอยู่กับเจวี๋ยเอ๋อร์ แต่งเข้ามาอยู่ในตระกูลซั่งกวนมากกว่า เจ้าต้องระแวดระวังหน่อยจึงจะถูก”
“ข้าจะระวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางก็คิดว่าหญิงสาวคนนี้มีจุดประสงค์ที่อยากจะแต่งเข้าตระกูลร่ำรวย สิ่งที่นางค่อนข้างสงสัยคือหญิงสาวคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะเลียนแบบ ‘คุณหนูสุรา’ ได้เหมือนเป็นอย่างมาก นางกระจ่างใจดี ‘คุณหนูสุรา’ พบเจอคนมาไม่มากและคนที่สามารถทำหน้ากากผีเสื้อของ ‘คุณหนูสุรา’ ขึ้นได้อีกครั้ง เลียนแบบเสียง การกระทำและท่าทีได้เหมือนนั้น หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคยก็คงทำไม่ได้ แต่เป็นใครกันแน่ที่สามารถทำเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ได้?
“ข้าว่าเจวี๋ยเอ๋อร์กับผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนกับสหายทั่วไป ข้ายังเห็นกับตาว่าพวกเขานั่งใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก อยู่ที่ใดก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าหลายวันมานี้จะสงวนท่าทีอยู่บ้าง แต่ก็ยังจำเป็นต้องป้องกันเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่ให้…” คำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้กล่าวชัดเจนมาก นางเชื่อว่ามี่เอ๋อร์ฉลาดถึงเพียงนี้ ย่อมต้องสามารถฟังความนัยของตัวเองออก
“ท่านวางใจเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “ที่จริงข้ากลับไม่กังวลข้อนี้ หากคุณหนูโม่เป็นสาวงามคนสนิทหรือคนที่เขาชอบจริงๆ เช่นนั้นเจวี๋ยย่อมจะรักษาระยะห่างกับนาง ไม่อาจพัฒนาความรู้สึกอะไรกับนางได้ ท่านแม่ เจวี๋ยเป็นคนที่สุขุมใจเย็น เขาย่อมไม่อาจแต่งคนที่เขาชอบเป็นภรรยารองหรือรับเป็นอนุได้หรอก”
“เหตุใดเจ้าก็พูดแบบนี้อีกคนแล้ว?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้ว ไฉนคำพูดของมี่เอ๋อร์จึงเหมือนกับซั่งกวนฮ่าวไม่ผิดเพี้ยน!
“ท่านแม่ลองคิดดู หากเจวี๋ยสนใจนางมากจริงๆ เช่นนั้นก็ย่อมขบคิดคำถามหนึ่ง นั่นก็คือทำอย่างไรจึงจะดีต่อคุณหนูโม่ที่สุด หากแต่งนางเข้าตระกูล ข้าย่อมไม่ยินดี เช่นนั้นแน่นอนว่าก็จะคิดวิธีจัดการกับนาง ไม่ว่านางจะเป็นภรรยารองหรืออนุภรรยา ล้วนไม่อาจก้าวข้ามข้าไปได้ ชั่วชีวิตนี้ต้องตกอยู่เบื้องล่างข้า ท่านว่าเจวี๋ยจะยอมให้เกิดจุดจบเช่นนั้นหรือไม่? แม้จะกล่าวว่าเจวี๋ยอยากจะแสดงละคร ‘ยกอนุให้สูงกว่าภรรยา’ แต่พวกผู้อาวุโสจะอยู่นิ่งเฉยได้หรือ? ท่านจะเอาแต่นิ่งดูดายหรือ? เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้! ไม่ว่าจะต้องคำนึกถึงเรื่องครอบครัวที่มั่นคงหรือฐานะของคุณหนูโม่ เจวี๋ยย่อมไม่อาจแต่งนางเข้ามาตระกูลได้อย่างง่ายดาย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวปลอบใจนาง
“แต่ไม่ว่าข้าจะมองนางอย่างไรก็ล้วนขัดหูขัดตา!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแสดงความชิงชังของตัวเองออกไปอย่างตรงๆ
“เห็นนางขัดหูขัดตาก็จัดการนางเสียหน่อยก็ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างชัดถึงประโยชน์ของคุณหนูสุราผู้นี้ กล่าวยิ้มๆ “นางอยู่ในตระกูลซั่งกวน อยากจะจัดการนาง แทบไม่ต้องออกแรงอันใดก็ย่อมจับกุมนางได้อยู่หมัด ทั้งจะให้กัดฟันกล่าวขอโทษต่อท่านก็เป็นเรื่องง่าย”
“ข้ากังวลว่าพ่อของเจ้าและเจวี๋ยเอ๋อร์…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงกังวลอยู่บ้างว่าซั่งกวนฮ่าวจะกระโดดออกมา
“แต่ข้ากลับไม่กังวลสักนิดว่าท่านพ่อและเจวี๋ยจะมีความคิดเห็นอันใด สิ่งที่ข้ากังวลคือคุณชายมู่หรงปั๋วอวี่จะกระโดดออกมาปกป้องอย่างไม่ลืมหูลืมตามากกว่า” สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอันดับแรกคือต้องจัดการมู่หรงปั๋วอวี่ออกไป
“เจ้ามีวิธีอันใด?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามอย่างตรงๆ นางนั้นคิดไม่ออกกับเรื่องพวกนี้ ทำได้เพียงต้องขอความช่วยเหลือจากมี่เอ๋อร์เท่านั้นแล้ว
“อันดับแรกพวกเราต้อง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยับไปกล่าวกระซิบข้างหูหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ