“สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนหน้าตางดงามไม่เป็นสองรองใคร ช่างเป็นหญิงงามล่มเมืองเสียจริงๆ!” แววตาของคุณหนูสุราประกายแสงอย่างคลุมเครือวาบผ่านไป มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย กล่าวทั้งรอยยิ้ม ยามที่พบเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเป็นเวลาหลังอาหารเย็น ซั่งกวนเจวี๋ยตั้งใจพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตู และหลังจากเขาแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันก็หลบตัวออกไปไกลทันที
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ใบหน้าแสดงท่าทีเกรงใจอย่างเป็นธรรมชาติ “ได้ยินสามีกล่าวว่าคุณหนูโม่มีนิสัยสบายๆ เป็นกันเอง เมื่อได้พบก็เป็นสมคำร่ำลือจริงๆ”
“เขาพูดเช่นนั้นหรือ?” คุณหนูสุราหัวเราะเสียงดัง ชำเลืองมองแผ่นหลังซั่งกวนเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลก็กล่าวขึ้น “ข้ายังคิดว่าเขาจะกล่าวว่าปากข้าไร้หูรูดเสียอีก”
ก็ไม่ใช่ความหมายนี้หรอกหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีเป็นมิตรอยู่มาก กล่าวยิ้มๆ “สามีaพูดแต่นิสัยดีๆ ของคุณหนูโม่ต่อหน้าข้าทั้งนั้น กล่าวว่าท่านมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ ฉลาดเหนือคน เป็นหญิงสาวแปลกประหลาดที่ยากจะได้พบคนหนึ่ง…ฟังจนข้าล้วนแปลกใจ ไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมแบบใดจึงหล่อหลอมให้ท่านเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้”
“คำพูดพวกนี้เขาก็พูดกับเจ้าหรือ ไม่กังวลว่าเจ้าจะโกรธเลยหรือ?” แววตาของคุณหนูสุราประกายแสงวูบไหว “แม้เขาจะไม่กังวลว่าเจ้าจะโกรธ แต่ข้ากลับกังวลว่า ข้าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเจ้าสองสามีภรรยากระทบกระทั่งกัน”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” แววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยความกังวลอย่างเลือนราง กล่าวเสียงเบาเล็กน้อย “ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้าตระกูล ท่านและสามีก็เป็นสหายกันแล้ว ข้ามีเหตุผลอันใดให้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้? หากไม่ใช่เพราะว่าข้าและสามีมีสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่เด็ก บางที…เฮ้อ…คุณหนูโม่ ครั้งนี้ย่อมต้องอยู่ลี่โจวให้นานหน่อย หลังจากการปรากฏตัวสั้นๆ ของเจ้าเมื่อสองปีก่อน สามีก็กินไม่อิ่มนอนไม่หลับอยู่นาน หากไม่ใช่เพราะว่ายามนั้นข้าตั้งท้อง บางทีเขาก็อาจจะเหมือนกับคุณชายมู่หรงที่เอาแต่พลิกแผ่นดินตามหาคุณหนูแล้ว”
ซั่งกวนเจวี๋ยมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อ ‘คุณหนูสุรา’ ไม่ด้อยไปกว่ามู่หรงปั๋วอวี่เช่นกันอย่างนั้นหรือ? คุณหนูสุราตาเป็นประกาย เป้าหมายแรกของนางไม่ใช่ซั่งกวนเจวี๋ย ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ในงานประลองยุทธ์ที่ลี่โจวได้ปฏิเสธคุณหนูสุราอย่างไร้เยื่อใยไปแล้ว ในเวลานั้นยังทำสิ่งที่คาดไม่ถึงเพื่อภรรยาของเขาเช่นกัน ในความคิดของนาง คิดอยากจะสอดแทรกระหว่างพวกเขานับเป็นเรื่องยาก กระทั่งคุณหนูสุราตัวจริงยังถูกปฏิเสธนางก็ย่อมล้มเหลวเช่นเดียวกัน แต่ยามนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว
“สะใภ้ใหญ่ไม่ควรพูดเช่นนี้” คุณหนูสุรากล่าวอย่างตำหนิอยู่บ้าง “ข้าและคุณชายซั่งกวนเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น แม้ว่าจะมีความคิดอะไรที่ไม่เหมือนกัน แต่หลังจากถูกเขาปฏิเสธตรงๆ เมื่อสองปีก่อน ความคิดนั้นก็มลายหายสิ้นไปหมดแล้ว ครั้งนี้ที่พบกัน ทั้งมาด้วยกัน ข้านั้นก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าย่อมไม่อาจมีความคิดหรือแผนอะไรต่อคุณชายซั่งกวนได้ เจ้าก็วางใจเถิด!”
หรือเป้าหมายของนางจะไม่ใช่เจวี๋ยแต่เป็นคนอื่น? เจวี๋ยเป็นเพียงสะพานให้นางข้ามไปเท่านั้น? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดในหัวอย่างว่องไว ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มขมขื่นออกมา “คุณหนูโม่พูดเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่วางใจแล้ว! ระหว่างที่สามีรับข้ากลับมาในวันนี้ก็ได้พูดกับข้าว่ามีมิตรภาพที่ไม่ธรรมดากับคุณหนู ทั้งยังกล่าวว่าฐานะของคุณหนูในยามนี้ไม่ใช่เพียงหญิงสาวคนสนิท แต่ยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสหายเก่าท่านพ่อ ไม่ว่าจะพูดจากด้านไหน เขาก็ล้วนคิดจะรั้งคุณหนูให้อยู่ที่ลี่โจว หากหลังจากคุณหนูพูดคุยกับข้าแล้ว ก็ตัดสินใจออกจากลี่โจว ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรแล้ว”
ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอะไรกับภรรยาเพื่อตัวเองอย่างนั้นหรือ? ในใจของคุณหนูสุรามีความภาคภูมิทั้งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่บ้าง แต่ก็มีความกระวนกระวายและเศร้าใจเช่นกัน คนที่คู่กับซั่งกวนเจวี๋ยควรจะเป็นคุณหนูสุราตัวจริงคนนั้น ไม่ใช่ตัวเองที่เป็นตัวปลอมเช่นนี้!
“ข้าเข้าใจความหมายของสามี ทั้งรู้ความคิดของสามีด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งแฝงความจนใจและเสียใจ “ในสายตาและดวงใจของสามี ข้าเป็นเหมือนคนที่ทำลายความฝันของเขา เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจอยู่ร่วมกับคนที่เขารักที่สุดในใจได้ แต่สามีก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาโดยตลอด เขาก็เข้าใจว่าผู้ที่ตกลงหมั้นหมายพวกเราคือผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นหลัง จากแต่งงานแล้วพวกเราก็ยังคงให้ความเคารพระหว่างกัน ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาก็นับว่าให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่หากในยามนี้สามีเห็นว่าข้ายังแทรกแซงเรื่องระหว่างพวกเจ้า…ข้าว่าการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของข้าและเขาในตอนนี้คงไม่อาจจะรักษาไว้ได้อีกแล้ว!”
“ความหมายของสะใภ้ใหญ่คือ…” คุณหนูสุราไม่มั่นใจเท่าใด หรือความหมายของนางคือยอมรับตัวเองให้เข้าตระกูลซั่งกวน? หากเป็นเช่นนั้นก็คุ้มค่าให้ครุ่นคิดแล้ว!
“หากคุณหนูไม่ถือสา ข้ายอมจะออกหน้าพูดกล่อมท่านพ่อและท่านแม่ เพื่อแต่งคุณหนูเข้าสู่ตระกูลซั่งกวน” ในคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความจนใจอยู่บ้าง แต่ก็แฝงด้วยความจริงใจเช่นกัน ทำให้คุณหนูสุราใจสั่นคลอนเป็นอย่างมาก
เป้าหมายที่นางสวมรอยเป็นคุณหนูสุราก็มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือแต่งเข้าตระกูลใหญ่ แผนเดิมนั้นคือไปหาซั่งกวนเจวี๋ย หลังจากปรากฏกายที่ตระกูลซั่งกวนก็จะล่อมู่หรงปั๋วอวี่มาติดกับ พี่สาวคนนั้นกล่าวแล้วว่า คุณหนูสุราตัวจริงชอบซั่งกวนเจวี๋ย แต่กลับก็ไม่เคยมีสีหน้าที่ดีให้มู่หรงปั๋วอวี่เลย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดอย่าได้ไปหามู่หรงปั๋วอวี่อย่างตรงๆ ป้องกันไม่ให้เขาเกิดความสงสัย แต่ก็พูดเช่นกันว่า ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจจะรับคุณหนูสุราเข้าตระกูล นางทำได้เพียงเลือกมู่หรงปั๋วอวี่เท่านั้น หลังจากแต่งเข้าตระกูลมู่หรงแล้ว ทั้งสองคนก็สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้แล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับภรรยาเอกได้ แต่ชั่วชีวิตที่สุขสบายก็หนีไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
แม้กล่าวว่าจะกำหนดเป้าหมายเป็นมู่หรงปั๋วอวี่ แต่เขาเป็นเพียงลูกชายคนโตภรรยารองของตระกูลมู่หรง เป็นคนที่ไม่อาจรับช่วงต่อตำแหน่งผู้นำตระกูล ไหนเลยจะเทียบกับซั่งกวนเจวี๋ยได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็มีคู่หมั้นที่ชาติตระกูลดีอยู่คนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเขาจะลุ่มหลงอย่างไม่ลืมหูลืมตาหรือไม่ ก็ล้วนไม่อาจจะแต่งตัวเองเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการได้ กำหนดงานแต่งของเขาจะมีขึ้นในปีหน้า ก่อนที่เขายังไม่ได้แต่งภรรยาเอก ก็ไม่สามารถจะรับภรรยารองหรืออนุได้ แล้วตัวเองยังต้องรอไปถึงเมื่อใด? ก่อนหน้านี้นางไม่ได้วิตกกังวลเรื่องนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูสุราตัวจริงได้ปรากฏตัวออกมาครั้งหนึ่งแล้ว หากปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ตัวเองก็คงไม่มีที่ให้หลบหลีกแล้วจริงๆ!
อีกอย่าง แม้จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรงอย่างราบรื่น จุดอ่อนของตัวเองก็จะอยู่ในมือของผู้อื่นตลอดเวลา อาจจะต้องฟังคำสั่งคนอื่นไปชั่วชีวิต นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่นางต้องการ เมื่อก่อน ยามที่ไม่มีทางเลือกก็ยังพอปลอบใจตัวเองได้ แต่ยามนี้มีทางเลือกที่ดีกว่า นางยังจำเป็นต้องรักษาคำสัญญานั้นอยู่หรือ?
“แต่ไหนแต่ไรโม่จิ้งก็ไม่กล้าคาดหวังว่าจะสามารถ…” แม้ว่าในใจอยากจะพยักหน้ารับปากเป็นอย่างมาก แต่คุณหนูสุราก็ยังรู้จักใช้กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับ[1] กล่าวอย่างลำบากใจยิ่ง “เจ้าและคุณชายซั่งกวนเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก โม่จิ้งจะแทรกแซงระหว่างพวกเจ้าได้อย่างไรกัน? อย่างไรสะใภ้ใหญ่อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย มิเช่นนั้น โม่จิ้งคงจะละอายใจ
เป็นอย่างยิ่ง!”
ใจสั่นคลอนแล้ว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นแววตาและคำพูดที่ปากไม่ตรงกับใจของนางก็รู้แล้วว่า หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ได้ใจสั่นคลอนแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงยังไม่งับเหยื่ออีก เวลานี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หากคุณหนูโม่มีทางเลือกที่ดีกว่าหรือกล่าวว่ามีคนในใจอยู่แล้ว ข้าย่อมไม่ฝืนใจคุณหนู เพียงแต่…ข้าอยากจะพูดอะไรเสียหน่อย อย่างไรหลังจากข้าพูดไปแล้ว ก็ขอคุณหนูโม่อย่าได้ถือสาหาความ”
“สะใภ้ใหญ่โปรดกล่าวมาตรงๆ!” คุณหนูสุราอยากฟังเป็นอย่างมากว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนที่ว่ากันว่ามีคุณธรรมผู้นี้จะมีความคิดสูงส่งไม่เหมือนคนอื่นเช่นไร กล่าวทันที
“จากที่สามีได้แนะนำและอธิบายอุปนิสัยของคุณหนูอย่างคร่าวๆ ข้าก็รู้แล้วว่าคุณหนูเป็นคนที่หยิ่งทระนงคนหนึ่ง คนที่เหมือนกับท่านนี้ย่อมไม่เต็มใจที่จะมีสามีร่วมกับผู้อื่น แต่คุณหนูเคยคิดหรือไม่ว่าผู้ชายที่มีตำแหน่งฐานะและความรับผิดชอบที่แท้จริงนั้น มีกี่คนกันที่มีภรรยาเพียงคนเดียว แต่กลับไม่มีภรรยารองหรืออนุภรรยาเลย” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวประโยคนี้ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคิดว่าสามีของตัวเองจะมีเพียงตัวเอง แต่นางรู้จุดนี้อย่างชัดเจน นั่นก็คือนางไม่อาจยอมให้สามีตัวเองรับอนุภรรยาได้ หากเป็นเช่นนั้น นางคงไม่กล้าทั้งไม่สามารถจะยืนกรานคัดค้าน แต่นางก็จะไม่คาดหวังอันใดจากสามีอีกต่อไป ทั้งไม่อาจมอบใจให้อีกครั้งเช่นกัน
คุณหนูสุรานิ่งเงียบไม่ปริปาก เวลานี้นางรักษาความเงียบไว้จะดูฉลาดกว่า!
“แน่นอนว่า สามารถครองคู่กันเพียงสองคนตลอดชีวิตก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่วิเศษเสมอไป สามีภรรยาเช่นนี้ยังคงมีอยู่ไม่น้อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นพูดอีกประเด็น “แต่ว่าผู้ชายเช่นนั้นอย่าเพิ่งพูดถึงเลยว่ามีน้อย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถให้ครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคงกับคุณหนูได้เช่นกัน ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูรู้จักคุณชายตระกูลใหญ่มามากน้อยเท่าใด แต่ในบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่นั้นผู้ที่คู่ควรกับคุณหนูที่มีความสามารถเช่นนี้ นับว่ามีน้อย อีกทั้งในนี้ สามีข้าก็ควรเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณหนู”
“เหตุใดสะใภ้ใหญ่จึงพูดเช่นนี้?” คุณหนูสุราก็รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่มู่หรงปั๋วอวี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเช่นกัน ความลุ่มหลงที่เขามีต่อคุณหนูสุรานั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ว หากสามารถแต่งให้เขาได้ จะถูกเอาอกเอาใจไปชั่วชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“เพราะภรรยาเอกของคุณชายตระกูลใหญ่ หากไม่ใช่คุณหนูชาติตระกูลดีก็ต้องเป็นคุณหนูที่ตระกูลร่ำรวย ผู้หญิงชาวยุทธภพแบบคุณหนูนี้ไม่อาจทำให้พวกผู้อาวุโสพอใจได้หรอก อย่างมากที่สุดคุณหนูก็ทำได้เพียงแต่งเป็นภรรยารอง ถึงกระทั่งอาจจะเป็นได้แค่อนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้คุณหนูสุราใจอ่อนยวบไปกับพื้น นางก็รู้ว่าแม้ตัวเองจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็มีชะตาได้เป็นเพียงภรรยารองเท่านั้น แต่หากแต่งให้ตระกูลมู่หรง ภรรยารองย่อมเป็นไปไม่ได้ พี่สาวคนนั้นจะยอมให้ตัวเองแต่งเข้าไปในตำแหน่งสูงกว่านางได้อย่างไร?
“ในสถานการณ์ที่ภรรยาเอกล้วนเป็นคุณหนูชาติตระกูลดีและผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวย ก็ยิ่งจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าฐานะของคุณหนูไม่สูงส่งพอ พวกนางย่อมใช้ปัญหาจากฐานะมาเล่นแง่กับคุณหนู แต่แต่งเข้าตระกูลซั่งกวนกลับไม่มีความกังวลเช่นนั้น!”เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดหว่านล้อมอย่างสุดความสามารถ “คุณหนูโม่ก็อาจจะรู้แล้ว ชาติกำเนิดของข้าก็นับเป็น…ข้าเป็นลูกสาวของพ่อค้าวาณิช หากไม่ใช่ว่าได้รับการสนับสนุนและความรักเอ็นดูจากท่านแม่ ก็คงไม่อาจแต่งกับสามีได้อยู่แล้ว ชาติกำเนิดของข้าไม่ได้สูงส่งนัก ย่อมไม่อาจรังเกียจคุณหนูอยู่แล้ว!”
นี่ก็ถูก! ในใจของคุณหนูสุรากลับไม่ได้สงสัยในคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะว่าชาติกำเนิดของนางต่ำต้อยคาดว่าซั่งกวนเจวี๋ยก็คงไม่อาจกดดันนางให้มาพูดรั้งตัวเองไว้ได้ และนางก็คงไม่อาจแสดงท่าทีใจกว้างถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเกลี้ยกล่อมตัวเองให้แต่งกับสามีของนาง
“สะใภ้ใหญ่ อย่างไรพวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า” คุณหนูสุรายังคงไม่อยากจะรับปากในยามที่ไม่ทันได้คิดอะไรเลย หากสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้คิดคือการรับตัวเองเป็นอนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายพยักหน้าล่วงเกินพี่สาวคนนั้น หากพี่สาวคนนั้นรู้ว่าตัวเองไม่อาจกลายเป็นพันธมิตรของนางได้ ก็ย่อมจะเห็นตัวเองเป็นศัตรูกับนาง ผู้ที่สามารถเป็นอริกับนางนั้นมีมาก แต่เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
“คุณหนูโม่ค่อยๆ คิดก็ได้ อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของท่าน ไม่อาจรีบร้อนได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ หญิงสาวคนนี้เห็นได้ชัดว่าใจสั่นคลอนแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ติดกับอีก หรือนางยังมีความเกรงกลัวอะไร? บางทีเรื่องที่นางสวมรอยเป็นคุณหนูสุราอาจจะมีคนบงการ และในมือคนผู้นั้นก็ยังจับจุดอ่อนของนางไว้?
———————————-
[1] กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับ แสร้งทำเป็นโอนอ่อนเพื่อที่จะให้ศัตรูตายใจ จากนั้นก็จะสามารถจัดการหรือควบคุมได้ง่าย