“ใกล้จะเข้าเมืองโยวโจวแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวมองกำแพงเมืองโยวโจวที่อยู่ไม่ห่างจากเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่ หลายสิบปีมานี้ หากเขาไม่จำเป็นจริงๆ ย่อมไม่อาจมาเหยียบโยวโจว ครั้งก่อนก็เพราะเรื่องงานแต่งของอวี่ฮ่าวและชิงหวั่น จึงมาปรึกษาหารือกับมู่หรงฉวีกุยด้วยตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของตระกูลซั่งกวน และครั้งก่อนเขาก็แทบจำไม่ได้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้ว
“ในที่สุดก็ถึงเสียที!” ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวประโยคนี้ก็อดกัดฟันไม่ได้อยู่บ้าง เขาจำได้แม่นว่ายี่สิบวันก่อน ภรรยาตัวน้อยของเขาใช้เล่ห์กลบางอย่างกับร่างกายเขาอีกครั้ง ทำให้เขาเกือบแสดงโศกนาฏกรรม หักโหมเรื่องบนเตียงมากไปจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น…เหตุที่ไม่ได้แสดงก็เพราะว่ายามที่ภรรยาตัวน้อยของเขาจากไปได้ทำให้คนอื่นล้วนคิดว่าเขาได้ตื่นและเดินทางไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว รอจนเขาลุกจากเตียง เตรียมที่จะหาตัวมี่เอ๋อร์มาคิดบัญชีก็ถูกแจ้งว่า สะใภ้ใหญ่พาคุณชายน้อยและฮูหยิน ออกเดินทางไปไกลแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามี่เอ๋อร์ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร…แม้ว่าจะคิดแอบลักกินขโมยกินกับผู้หญิงอื่น ก็จะทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงที่จะทำได้
“ถึงแล้วจริงๆ สินะ…” คุณหนูสุรา ไม่สิ เฉินอวี้ไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกแบบไหน นางไม่อยากจะมาแม้แต่น้อย ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ได้ประจันหน้ากับเฉินเยียนอวี่…แม้ว่าจะไม่อาจหลบได้ทั้งชั่วชีวิต แต่แค่หลบจนให้เรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นจนถึงยามที่นางกลายเป็นภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยก็นับว่าเพียงพอแล้ว เวลานั้นเฉินเยียนอวี่ย่อมทำได้เพียงประจบสอพลอนางเท่านั้น ไม่ใช่ใช้จุดอ่อนของนางในมือตัวเองมาควบคุมนาง แต่ว่า คำพูดของสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวทำให้นางไร้ทางที่จะปฏิเสธ พวกเขาสองพ่อลูกล้วนพูดแล้วว่า ญาติสนิทเพียงคนเดียวของนางกำลังจะทำการฝังศพ นางที่เป็นศิษย์ ทั้งเป็นญาติสนิทคนเดียวของอวี๋ฮวน หากไม่มาจะเป็นอย่างไรเล่า ทำให้นางจำต้องมาเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้นางดีใจก็คือ พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวไม่ได้คัดค้านเรื่องที่นางสวมหน้ากากผีเสื้ออันนี้ปกปิดใบหน้าแต่อย่างใด
“พวกเราจะไปตระกูลมู่หรงเลยหรือว่าเรือนพำนักก่อนดี?” ซั่งกวนเจวี๋ยค่อนข้างมั่นใจว่าภรรยาของตัวเองย่อมอยู่ที่ตระกูลมู่หรงอย่างแน่นอน เขาอยากจะไปถึงตระกูลมู่หรงในคราวเดียวเลย แต่ก็ยังคงถามความเห็นของซั่งกวนฮ่าวอย่างเกรงใจ
“ไปตระกูลมู่หรง” ซั่งกวนฮ่าวไม่คิดเผื่อเฉินอวี้ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการขี่ม้าติดต่อมาหลายวันแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาและซั่งกวนเจวี๋ยได้พูดคุยกันแล้ว ไม่อาจปล่อยให้พวกนางมีเวลาพักได้ ทางที่ดีเมื่อถึงโยวโจวก็เปิดเผยเรื่องราวออกมา ให้ตระกูลมู่หรงได้มีเวลาลดแรงปะทะให้เบาบางลงเสียหน่อย
“อย่างไรพักผ่อนกันเสียหน่อยดีหรือไม่ ท่านลุง” เฉินอวี้ยังคงไม่ได้เตรียมใจมาดี หากพบพี่เยียนอวี่ในตระกูลมู่หรงเข้า…นางไม่กล้าจินตนาการว่าจะเป็นฉากเช่นไร
“เรือนพำนักของตระกูลซั่งกวนในโยวโจวนั้นอยู่ห่างออกไปอีก เข้าเมืองแล้วตรงไปที่ตระกูลมู่หรงเลย พวกเราจะได้พักผ่อนเร็วขึ้น” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอธิบาย ทั้งซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ควบม้าล่วงหน้าไปแล้ว เขาไม่มีใจที่จะสนใจเฉินอวี้ตั้งนานแล้ว ยามนี้ก็ยิ่งไม่จำเป็น
เข้าเมืองอย่างราบรื่น ทั้งไปถึงประตูหน้าตระกูลมู่หรงอย่างไม่ติดขัดอันใด บ่าวเฝ้าประตูเมื่อทราบว่าผู้นำตระกูลซั่งกวนและคุณชายใหญ่มาถึงก็ส่งคนไปแจ้งข่าว ทั้งต้อนรับคนทั้งหมดเข้าไปในเรือนภิรมย์ สถานที่ที่จัดไว้ให้แขกผู้มีเกียรติมาพำนัก ทั้งห่างจากที่พักของพวกฮูหยินตระกูลซั่งกวนที่มาถึงนานแล้วเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
“พวกเจ้าก็มาแล้วหรือ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพอทราบข่าวก็ให้สาวใช้ข้างกายเทียวมาทีหนึ่ง หลังจากมั่นใจแล้วก็พาพวกผู้หญิงเข้ามา นอกจากมี่เอ๋อร์และเสี่ยวหมิงเอ๋อร์แล้ว ยังมีฮูหยินมู่หรง หยางหานยวน และเฉินเยียนอวี่ที่มักจะตามประจบประแจงอยู่ข้างกายฮูหยินมู่หรง ชั่วพริบตาที่เฉินอวี้พบกับเฉินเยียนอวี่ ใบหน้าก็ซีดเผือดทันที แต่ก็ควบคุมสีหน้าของตัวเองไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ คิดถึงปู่หรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวเห็นใบหน้าดำคล้ำของภรรยา ไม่คิดทั้งไม่อยากจะผิดใจกันต่อหน้าผู้คนมากมาย(หวงฝู่เยวี่ยเอ้อย่อมสามารถทำให้เขาลำบากใจต่อหน้าคนอื่นได้) จึงเผยยิ้มส่งให้หลานรักที่ไม่เจอหน้ากันมากว่ายี่สิบกว่าวัน คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวหมิงเอ๋อร์จะไม่ไว้หน้ายิ่งกว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียอีก ปัดมือที่ยื่นเข้ามาของปู่ทิ้งทันที ทำเสียงฟึดฟัดทั้งเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้นมา คล้ายกับว่าได้โมโหซั่งกวนฮ่าวที่ไม่เจอหน้ามากว่ายี่สิบกว่าวันอย่างถึงที่สุดแล้ว
‘ฮ่าๆ…’ พวกผู้หญิงบางทีอาจเป็นเพราะถูกการกระทำของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ทำให้หัวเราะออกมาจริงๆ หรือบ้างก็เพราะแสร้งหัวเราะตามพวกฮูหยินออกมา บรรยากาศในตอนนั้นจึงรื่นรมย์ขึ้นมาทันที
“ดูท่าเสี่ยวหมิงเอ๋อร์จะโกรธมากจริงๆ” เวลาเพียงยี่สิบกว่าวัน ฮูหยินมู่หรงและหยางหานหยวน ก็ชื่นชอบเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เป็นอย่างมาก เขาและอวี้เฉิน ลูกชายคนโตของมู่หรงปั๋วเย่มีอายุไล่เลี่ยกัน ยามที่เด็กทั้งสองอยู่ด้วยกันก็สนุกสนานเป็นอย่างมาก พากันพูดคุยเรื่องที่พวกผู้ใหญ่ต่างก็ไม่เข้าใจอย่างออกรส เสี่ยวหมิงเอ๋อร์นั้นน่ารักสดใส ทั้งหลอกล่อคนเป็น อวี้เฉินกลับมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มักจะถูกเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ใช้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหลอกเอาของเล่นอยู่ร่ำไป จากนั้นจึงทำได้เพียงมองใบหน้าที่เป็นสุขของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์อย่างเสียใจ หามารดาเพื่อปลอบใจ พวกนางเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หลอกล่อคนของเด็กคนนี้จนชินแล้ว แต่ท่าทีโกรธเคืองเช่นนี้ของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์กลับเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกว่ายิ่งน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก!
เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ยังคงส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดตำหนิซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยโดยที่แม้แต่มี่เอ๋อร์ก็ยังฟังไม่ออก อวี้เฉินเหมือนว่าจะฟังคำพูดของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ออก ชี้ไปทางซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่เกรงกลัว พูดคำที่ทำให้ผู้ใหญ่แทบจะล้มลงไป “คนไม่ดี!”
“พวกเขาจะเป็นคนไม่ดีได้อย่างไร?” ฮูหยินมู่หรงและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อต่างก็เหมือนกัน ล้วนรักและเอ็นดูหลานอย่างถึงที่สุด แต่คนที่อวี้เฉินสนิทสนมมากที่สุดย่อมเป็นมารดาและย่า พอได้ยินคำถามของฮูหยินมู่หรง หลังจากซุบซิบกับเสี่ยวหมิงเอ๋อร์แล้ว ก็กล่าวออกไปอย่างตรงๆ “น้องบอกว่าคนไม่ดี!”
“หมิงเอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นคนไม่ดีจากปากของลูกชาย หลุบตาลงอย่างเศร้าใจ ขาดเพียงไม่ได้ร้องไห้ออกมาให้ลูกเห็นเท่านั้น ก่อนจะกล่าวอย่างเสียใจ “ไม่ให้พ่อกอดแล้วหรือ?”
เสี่ยวหมิงเอ๋อร์มองอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างขัดแย้งในใจ เขาชอบให้ซั่งกวนเจวี๋ยกอดเขาเป็นที่สุด ไม่ได้มีกลิ่นหอมเหมือนย่าหรือพวกแม่นมที่เขาไม่ชอบ ทั้งมีความนุ่มนวลที่ไม่เหมือนมารดา เป็นความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกสงบอยากจะนอนหลับ แต่ว่า…ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กอดเขามาหลายวันแล้ว ทั้งยังโกรธเขาอยู่ จะให้เขากอดดีหรือไม่?
หงุดหงิดได้ไม่นานนัก หลังจากแสดงความไม่พอใจของตัวเองไปเล็กน้อย เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ก็ยื่นมือออกไปหาซั่งกวนเจวี๋ย ยามที่อยู่ในอ้อมกอดบิดา ก็ยังจูบเขาอย่างไม่คิดเล็กคิดน้อย
“พวกเขาทั้งสองดูสนิทสนมกันไม่น้อย” หยางหานหยวนมีความอิจฉาอยู่บ้าง แม้มู่หรงปั๋วเย่จะชื่นชอบอวี้เฉิน แต่สองพ่อลูกก็ไม่ได้สนิทสนมเหมือนกับพ่อลูกซั่งกวนเจวี๋ยถึงขนาดนั้น
“ข้าเป็นแม่เสียเปล่าจริงๆ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ถือโอกาสทิ้งรอยฟันกระต่ายของเขาไว้ หลังจากจูบซั่งกวนเจวี๋ยก็กล่าวยิ้มๆ “หมิงเอ๋อร์ในยามนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ยามที่เพิ่งจะครบเดือน หากร้องไห้เสียใจ มีเพียงสามีเท่านั้นที่จะปลอบให้หยุดได้ ทุกคืนก็ต้องพบหน้าสามี ฟังสามีพูดคุยกับเขาจึงจะค่อยนอนหลับแต่โดยดี ข้าล้วนไม่เข้าใจว่าไฉนสองพ่อลูกจึงเข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้”
เฉินอวี้เผยใบหน้ามืดมนในฉับพลัน แต่ไหนแต่ไรนางก็คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะสนิทสนมกับลูกของเขาถึงเพียงนี้ มีท่าทีต่อลูกชายเช่นนี้ได้ ย่อมไม่ได้ไร้เยื่อใยต่อแม่ของลูกเหมือนที่นางคิดไว้ถึงขนาดนั้น แล้วตัวเองยังมีโอกาสจะชนะเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? จู่ๆ นางก็สงสัย แน่นอนว่า เป็นเพราะการเดินทางครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยเหมือนจะเย็นชากับนางขึ้นมา จึงทำให้นางคิดกังวลเช่นนี้
“นี่ก็เป็นสัญชาตญาณของพ่อลูกเท่านั้น!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มอย่างเป็นพิธี จากนั้นก็กล่าวอย่างเกรงใจ “พี่ใหญ่มู่หรงไม่อยู่หรือ? ข้ามีคนหนึ่งอยากจะแนะนำให้เขารู้จัก!”
“ใครกัน?” หยางหานหยวนรู้สึกว่าคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยมีความนัย แต่นางก็มีความรู้สึกที่ไม่เลวกับซั่งกวนเจวี๋ยตลอดมา ช่วงเวลานี้ก็เข้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้เป็นอย่างดี ย่อมมีความสนิทสนมกับเขาอยู่บ้างเช่นกัน
“ก็คือผู้นี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยชี้ไปที่เฉินอวี้ซึ่งกำลังตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้นี้คือคุณหนูโม่ โม่จิ้ง เป็นสหายเก่าของพี่ใหญ่มู่หรง ทั้งเป็นคนที่พี่ใหญ่มู่หรงเห็นเป็นน้องสาว”
“นางก็คือศิษย์ของอวี๋ฮวน?” ฮูหยินมู่หรงใบหน้าเรียบเย็นขึ้นมาในฉับพลัน มองที่เฉินอวี้อย่างเยือกเย็น กล่าวอย่างดูแคลน “เหตุใดจึงทำท่าทีราวกับกลัวผู้อื่นจะรับรู้? หรือกังวลว่าพวกเราจะจับเจ้ากินกัน?”
“คือว่า…ข้า ไม่สิ หลาน ก็ไม่ใช่อีก คือ…” เฉินอวี้ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำแทนตัวเองว่าอย่างไร หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางก็ไม่จำเป็นต้องลนลานถึงขนาดนี้ แต่ฮูหยินมู่หรงผู้นี้ไม่เหมือนกัน เฉินเยียนอวี่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินมู่หรงให้นางฟังอยู่บ้าง กล่าวชื่นชมจุดที่เก่งกาจของฮูหยินมู่หรงออกมาอย่างนับไม่ถ้วน ในสายตาของนาง แม้ฮูหยินมู่หรงจะไม่อาจกินคนได้ แต่เรื่องอย่างอื่นไม่ว่าอะไรก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น
“ศิษย์ของอวี๋ฮวนไฉนจึงประพฤติตัวดีเช่นนี้?” ฮูหยินมู่หรงและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่เหมือนกัน นางและอวี๋ฮวนเคยพบหน้ากันอยู่หลายครั้ง แม้จะไม่นับว่าเป็นสหาย แต่นางก็ชื่นชมอวี๋ฮวนมากกว่าเกลียดชัง ทุกครั้งที่ถึงวันเซ่นไหว้หลุมศพของบิดาและศิษย์พี่ของอวี๋ฮวน นางก็จุดธูปไว้แทนอวี๋ฮวนทุกครั้ง หลังจากทราบข่าวการตายของอวี๋ฮวน ก็ไม่มีความดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นแม้แต่น้อย กลับยิ่งเสียใจมากกว่า ทั้งนับว่าปรารถนาดีต่อศิษย์ของอวี๋ฮวนที่รู้มาจากปากของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กลับคาดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับท่าทางหวาดหวั่นหดเกร็งของนางเช่นนี้
“ข้า…ข้า…” เฉินอวี้อยากจะให้มีหลุมสักแห่งยัดตัวเองลงไปในนั้นได้ แต่ก็เป็นยามนี้ที่นางเห็นเฉินเยียนอวี่ส่งสายตาเป็นนัยมา ในใจจึงสงบขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า หากตัวเองความแตก เฉินเยียนอวี่ย่อมเป็นที่เกลียดชังเป็นแน่ จึงพยายามสงบจิตใจ ท่าทีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แม้จะยังคงอึกอักอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร เผยยิ้มเล็กน้อย “ข้าเพียงแค่ แค่กๆ! ตื่นเต้นอยู่บ้างเท่านั้น!”
“ตื่นเต้น?” ฮูหยินมู่หรงส่ายศีรษะอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ “ปีนั้นไม่ว่าอวี๋ฮวนจะอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน หรือภายใต้คมดาบที่กวัดแกว่งไปมา ล้วนแต่สามารถยิ้มได้อย่างฮึกเหิม แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นซากศพสูงกองพะเนิน นางก็สามารถพูดคุยสนุกสนานอย่างไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย ไฉนนางจึงมีศิษย์อย่างเจ้าได้? น้องฮ่าว เจ้าแน่ใจนะว่านางเป็นศิษย์ของอวี๋ฮวน?”
“นางตามหาหงหลันตามคำฝากฝังของคุณหนูอวี๋ฮวน ข้าคิดว่าหงหลันและซินหรันย่อมไม่อาจจำคนผิดกระมัง!” ซั่งกวนฮ่าวผลักความรับผิดชอบไปให้อินหงหลันอย่างฉลาดเฉลียว เขาอยากเห็นเป็นอย่างมากว่า หากจู่ๆ อินหงหลันรู้ว่าโม่จิ้งเป็นตัวปลอมจะมีท่าทีเช่นไร
“ข้าได้ฟังน้องสะใภ้เล่าความเป็นไปเป็นมาแล้ว” ฮูหยินมู่หรงนับว่าสามารถเล่าการปรากฏตัวของคุณหนูสุราได้ราวกับน้ำไหลไม่ขาดสาย หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดคุยตามลำพังกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเล่าด้วยว่านางจัดการกับ ‘หญิงสาวที่หน้าไม่อาย’ ผู้นี้อย่างไร เวลานั้นนางก็รู้สึกว่าไม่ปกติ ศิษย์ของอวี๋ฮวนหากได้รับการสืบทอดจากนางอยู่สามส่วน ย่อมไม่อาจมีความคลุมเครืออะไรกับสามีผู้อื่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่อาจแต่งให้กับชายหนุ่มที่มีภรรยาแล้วได้ แม้ว่าจะรักแทบเป็นแทบตายก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไม่อาจทำให้ตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรมจากการแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนเช่นนั้น ยามนี้มาเห็นแล้วก็ไม่เหมือนเข้าไปใหญ่
“น้องสะใภ้กล่าวว่า หลังจากคุณหนูโม่จากไปพร้อมกับอินหงหลันก็ปรากฏกายอีกครั้ง!” ฮูหยินมู่หรงมองพินิจเฉินอวี้ “ศิษย์ของอวี๋ฮวนย่อมไม่อาจย้อนกลับมาหลังจากแยกทางไปแล้วได้ ข้าว่าที่ไปที่มาของคุณหนูผู้นี้ควรค่าที่จะตรวจสอบอย่างมาก! หานหยวน เจ้าส่งคนไปเชิญนายท่าน อินหงหลันและปั๋วเย่เข้ามาเดี๋ยวนี้ ข้ากลับอยากเห็นว่าภายใต้หน้ากากจะเป็นหน้าแบบไหน!”
“เข้าใจแล้ว!” หยางหานหยวนรับคำสั่งอย่างนอบน้อมก็จากไป ด้านเฉินเยียนอวี่กลับเผยสีหน้าไม่ปกติอยู่บ้าง แต่ยังคงสามารถรักษาความนิ่งไว้ได้ คำนับแก่ฮูหยินมู่หรง “เรื่องเช่นนี้ข้าไม่เหมาะที่จะยุ่งเกี่ยว ต้องขอตัวก่อน!”
นางคิดจะหนีอย่างนั้นหรือ? ช่วงเวลานี้ที่รู้จักมักคุ้นกันทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเฉินเยียนอวี่มีไหวพริบไม่น้อย แม้ว่ามู่หรงปั๋วเย่จะไม่ได้คล้อยตามนางเสียหมด แต่ก็รักและโปรดปรานอย่างมาก แต่เพราะต้องไว้หน้าให้หยางหานหยวน ดังนั้นจึงแสดงความเย็นชากับนางอยู่บ้าง และแม้ว่าจะเพราะเหตุผลบางอย่าง ฮูหยินมู่หรงไม่ได้สนิทสนมกับนาง แต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรือเกลียดชังนางเช่นกัน หญิงสาวผู้นี้แสดงละครเก่ง หากให้นางไป นางกลับไปห้องของตัวเองแล้วเกิดป่วยขึ้นมา ถึงเวลานั้นคิดจะให้นางมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายากแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงส่งสายตาให้ซั่งกวนเจวี๋ยทันที
“อนุภรรยาเฉินไม่มีความจำเป็นต้องหลบหลีก! ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบเย็น “หากท่านลุงมู่หรงและพวกลุงอินสร้างความลำบากให้คุณหนูสุรา ยังคงต้องการคำพูดสวยหรูของอนุภรรยาเฉินเพื่อช่วยคุณหนูสุราอยู่ ต้องรู้ว่าคุณหนูสุราและอนุภรรยาเฉินไม่เพียงแต่สกุลเดียวกัน ทั้งยังมีบ้านเกิดที่เดียวกันด้วย นับว่าเป็นครอบครัวของเจ้าได้อยู่กระมัง!”
อะไรกัน? เบื้องหน้าของเฉินอวี้และเฉินเยียนอวี่ล้วนมืดดำไปหมด คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้พวกนางรู้ว่า แผนการของพวกนางได้ถูกซั่งกวนเจวี๋ยล่วงรู้เข้าแล้ว พวกนางสบสายตากัน ล้วนคิดออกอยู่คำเดียว…ต้อมยอมสละหมากเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้!
———————————–