ที่นี่ก็คือเขาเฮ่อ! มองลอดผ่านผ้าม่านบนรถม้า เห็นป่าไม้ที่เขียวขจี กระรอกกระโดดเล่นอยู่บนกิ่งไม้ วิหคนานาพันธุ์พากันขับขานเสียงอย่างไพเราะ กระต่ายป่าวิ่งผ่านมาเป็นครั้งคราว ทั้งยังมีไก่ป่าที่กระโจนหนีด้วยความตกใจ…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่ นี่ก็คือสถานที่ที่ท่านป้าถวิลหามาโดยตลอด ที่ซึ่งเมื่อนางนึกขึ้นมาก็ใช้ใบหน้าหวนนึกทั้งโหยหา ที่ซึ่งคนใกล้ชิดและรักที่สุดของนางได้นอนหลับอย่างสงบตลอดกาล
“เซียงเสวี่ย เจ้าว่าท่านป้าจะดีใจหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงรู้สึกว่างเปล่าในใจเท่านั้น นางจับมือของเซียงเสวี่ยแน่น อยากที่จะได้รับพลังและคำปลอบโยนจากนาง
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างหนักแน่น “เดิมทีท่านป้าก็คาดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ นางเพียงหวังให้ตัวเองสามารถกลับเขาเฮ่อได้ก็ดีแล้ว และยามนี้ นางไม่เพียงสามารถกลับเขาเฮ่อได้ แต่ยังสามารถมาพร้อมกับคนที่นางใกล้ชิดที่สุดและรักที่สุดด้วย สำหรับนางแล้วย่อมดียิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ วิญญาณของท่านป้าที่อยู่บนฟ้าย่อมต้องมีความสุขเป็นอย่างมากแน่นอนเจ้าค่ะ”
“แต่ข้ากลับทำใจไม่ได้อย่างยิ่ง!” แม้ว่าจะเป็นการแสร้งยิ้ม เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนไร้ทางที่จะฝืนออกมา ในใจว้าวุ่นเล็กน้อย ทั้งยังไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง ความรู้สึกเช่นนี้เคยปรากฏขึ้นยามที่จงเสวี่ยฉิงจากไป ทั้งยามที่ฝังศพนาง มี่เอ๋อร์คิดว่าย่อมไม่อาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อีก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตอนนี้ นางพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นเมื่อปรากฏในสายตาของเซียงเสวี่ยกลับดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
“ข้ารู้!” เซียงเสวี่ยเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าอวี๋ฮวนจะล่วงลับไปนานแล้ว แต่เถ้ากระดูกของนางอยู่ใกล้ๆ พวกนางมาโดยตลอด อยู่ในสถานที่ที่พวกนางคิดถึงเมื่อใดก็สามารถไปหาได้ทันที ทั้งยามที่เศร้าใจก็สามารถไประบายกับนางได้ แต่ยามนี้กลับยิ่งห่างไกลจากพวกนางไปเรื่อยๆ อย่าพูดถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เลย แต่แค่นางเองก็ไม่อาจจะรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นกัน
“ท่านลองนึกถึงเรื่องดีๆ แทนเถิด! นึกถึงคุณชายใหญ่ซั่งกวน นึกถึงคุณชายน้อย ท่านยังมีพวกเขาอยู่ข้างกาย ทั้งยังมีครอบครัวที่อบอุ่น” หากเซียงเสวี่ยไม่มีสองสามีภรรยาอินหงหลันที่ให้ความรักและเอ็นดู ฮวนรั่ว ฮวนเซิง น้องชายน้องสาวที่แสนซุกซนคู่นั้น บางทีอาจจะเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางยิ้มขมขื่น “ตงอวี่ก็มาแล้ว พ่อบุญธรรมจัดการให้นางอยู่ข้างกาย อีกเดี๋ยวพ่อบุญธรรมและแม่บุญธรรมจะฝังเถ้ากระดูกของท่านป้าด้วยมือของตัวเอง ท่านต้องอดทนไว้ อย่าได้แสดงความผิดปกติอันใด”
“ข้าจะระวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถข่มกลั้นได้หรือไม่ นางจำต้องส่งท่านป้าให้สุดทาง แม้จะไม่ได้ฝังเถ้ากระดูกนางด้วยตัวเองก็ไม่อาจจะพลาดไปได้
“ถึงแล้ว ทุกคนลงจากรถเถิด!” เสียงของมู่หรงฉวีกุยดังขึ้นข้างหูทุกคน คนที่ขี่ม้าก็ลงจากม้า ผู้ที่มากับรถม้าก็ลงจากรถ หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์สวมหมวกเหว่ยเม่าอย่างระมัดระวังแล้ว ก็ค่อยๆ ลงจากรถ เซียงเสวี่ยกล่าวปลอบโยนนางเบาๆ สองประโยค ก็ทำหน้าเคร่งขรึมเดินไปหาสองสามีภรรยาอินหงหลัน จื่อหลัวรีบแทนที่เซียงเสวี่ยทันที ประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มือไม้อ่อน ทั้งฝีเท้าไม่มั่นคงอยู่บ้าง ยามนี้นางได้รู้แล้วว่าผู้ที่ทำให้ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งหลายดำเนินการอย่างเอิกเกริก เพื่อจัดการเรื่องฝังศพก็คือป้าโม่ ทั้งยังเข้าใจเรื่องราวความลับมากมายภายใน
“ต่อจากนี้พวกเราต้องเดินเท้าเข้าไปหรือ?” ฮูหยินหวงฝู่ลงจากรถ เมื่อมองซ้ายแลขวาไม่พบหลุมศพก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด ใบหน้าของนางปรากฏท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างเยือกเย็น “แค่คนๆ เดียวก็ควร…”
“ไม่มีใครบังคับให้เจ้ามา” หวงฝู่เจิ้นหลงกล่าวตัดบทคำหยาบคายที่นางอาจจะกล่าวออกมาอย่างเยียบเย็น “เดิมทีเจ้าก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอยู่แล้ว กลับไปตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเจ้ามากกว่า”
ฮูหยินหวงฝู่ใบหน้าแข็งทื่อ นางรู้ว่าตัวเองไม่เป็นที่รักใคร่ของผู้คน แต่นางกลับดึงดันอยากมา จุดประสงค์ก็เพื่อเห็นคนที่นางเกลียดชังมาชั่วชีวิตผู้นั้นฝังกลบอยู่ใต้ดิน อยากจะหัวเราะเสียงดังหน้าหลุมศพของนาง อยากจะใช้ท่าทีของผู้ชนะยิ้มเยาะเย้ยนาง และความนึกคิดของนาง ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่ไม่มีใจจะสนใจนางเท่านั้น
“พวกเราไปกันเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้เป็นฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์ให้นาง แต่กล่าวไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์แทน หลายวันมานี้ฮูหยินหวงฝู่ถือโอกาสเกลี้ยกล่อมนางให้ซั่งกวนเจวี๋ยรับอนุรับภรรยารองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง นางก็แสดงความไม่พอใจต่อชาติกำเนิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทันที กล่าวว่าอะไรนะ ลูกสะใภ้ที่มีสายเลือดตระกูลพ่อค้าไหลเวียนอยู่ ให้กำเนิดเด็กมาก็คงไม่สูงส่งพอ ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแทบจะสะบัดเสื้อออกไปอย่างไม่ไว้หน้านางทั้งเดี๋ยวนั้น ภายหลังเมื่อเห็นนางก็ยิ่งปลีกตัวออกมา ไม่อยากที่จะพบปะพูดคุยกับนาง
“หากน้องสะใภ้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยสามารถรออยู่ที่นี่หรือจะกลับไปก็ได้!” แม้มู่หรงฉวีกุยจะมีความเกรงใจ แต่ก็แสดงความไม่พอใจของตัวเองออกไปเช่นกัน เหมือนอย่างที่หวงฝู่เจิ้นหลงพูดนั่นแหละ เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ทั้งยังเป็นนางที่ดึงดันมาเอง หากยามนี้นางจะไป ย่อมไม่มีผู้ใดรั้งไว้หรอก
เห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ฮูหยินมู่หรงและชิงหวั่นเดินมุ่งหน้าไปด้วยกัน ไม่มีใครพูดกับนางสักคน ในแววตาของฮูหยินหวงฝู่ก็ปรากฏความเกลียดชังวาบผ่านไปทันที ก่อนจะมองข้างกายตัวเองที่นอกจากสาวใช้แม่นมแล้ว ก็ไม่มีคนสนิทสักคน จึงทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าอย่างโมโหเท่านั้น
“อย่างไรพวกเราเร่งฝีเท้ากันหน่อยเถิด!” ฮูหยินมู่หรงเห็นฮูหยินหวงฝู่ตามมา ก็ยิ้มเย็นในใจ ไม่อยากร่วมทางกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างมาก จึงพูดประโยคนี้ออกมา
“มี่เอ๋อร์ หากเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกหน่อยจะไหวหรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางไม่อยากฟังฮูหยินหวงฝู่เอาแต่สาปแช่งอวี๋ฮวน ต่อว่าหวงฝู่เจิ้นหลงในวันและสถานที่เช่นนี้ จากนั้นก็แสร้งแสดงท่าทีโศกเศร้าที่ชั่วชีวิตนี้ของตัวเองถูกทั้งสองคนนี้ทำลายลง ทั้งพูดอย่างเอาจริงเอาจังให้ตัวเองอย่าได้ลืมสิ่งที่นางทุ่มเททำเพื่อตระกูลหวงฝู่ทั้งหมดทั้งมวล…ปีก่อนๆ อาจจะฝืนทนฟังได้อยู่ แต่ยามนี้นางย่อมไม่ฟัง นางเริ่มรู้สึกว่าพี่ใหญ่ของตัวเองน่าสงสารมากจริงๆ
“ไม่มีปัญหา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากจะถูกฮูหยินหวงฝู่พูดอะไรออกมาเหนี่ยวรั้งเช่นกัน หากนางยังไม่ระมัดระวังคำพูดต่อหน้าหลุมศพท่านป้าเช่นนี้ นางย่อมจะโจมตีนางสักสองสามประโยค รับรองว่าจะทำให้นางลืมไม่ลงไปจนตาย
ดังนั้น ฮูหยินหวงฝู่จึงพบว่าตัวเองยิ่งห่างจากแม่สามีลูกสะใภ้คู่นั้นขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอย่างจริงจัง…
ข้างสุสานฝังศพสองแห่งนั้นได้สร้างสุสานใหม่ที่ขนาดไม่ใหญ่มากแต่กลับยิ่งใหญ่สูงเกียรติไม่น้อย โลงไม้หนานมู่ใหม่เอี่ยมวางอยู่ด้านข้าง ซินหรันวางเถ้ากระดูกที่สับเปลี่ยนออกมาจากอารามสัตตบุษย์ลงไปในโลงศพอย่างระมัดระวังทั้งทำใจไม่ได้เป็นอย่างมาก นอกจากเถ้ากระดูกแล้ว ยังมีพวกของเก่าที่หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์จัดการเก็บแล้ว ก็ให้เซียงเสวี่ยและตงอวี่นำออกมา เห็นโลงศพนั้นถูกพวกผู้นำตระกูลและอินหงหลันสี่คนยกวางลงในหลุมที่ขุดดีแล้วอย่างระมัดระวัง น้ำตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อดที่จะพรั่งพรูออกมาไม่ได้ แทบที่จะมองฉากเบื้องหน้าไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง จื่อหลัวก็เจ็บปวดในใจเช่นกัน น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า แม้ว่าหยางหานหยวนจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์และสาวใช้ของนางจึงเศร้าสร้อยไปด้วย แต่เมื่อเห็นฮูหยินมู่หรงอดสะอึกสะอื้นออกมาไม่ได้ ทั้งหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ตาแดงก่ำอย่างแปลกประหลาด แม้จะไม่ได้แสร้งร้องไห้ออกมา แต่กลับยืนอย่างเคารพเช่นกัน
“ยามนี้ถึงเวลาต้องส่งนางจิ้งจอกที่ล่อลวงคนผู้นั้นไปกับอวี๋ฮวนแล้วกระมัง” ฮูหยินหวงฝู่มีแต่ความเปรมปรีดิ์ เห็นอวี๋ฮวน หญิงสาวที่เคยทำให้นางเกลียดชังผู้นั้นกลายเป็นเถ้ากระดูกเล็กๆ ความกังวลสุดท้ายในใจของนางนับว่าได้หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายที่ทำให้นางพะว้าพะวง
เฉินอวี้ถูกคุมตัวเข้ามา ก่อนหน้านี้นางได้ถูกกรอกยามาแล้ว แม้ในใจจะกระจ่างแจ้งดีว่ากำลังจะเผชิญกับอะไร แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางกลับทำเพียงยิ้มออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ลิ้นก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง อยากจะพูดอะไรล้วนพูดไม่ได้ ทั้งพูดไม่ออกด้วย ทำท่าทางราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกชักใยควบคุม ถูกสาวใช้คนหนึ่งใช้เชือกดึงมาด้านหน้าหลุมศพ ก่อนซินหรันจะแทงยาสองเข็มให้นางอย่างไม่ปรานี นางคุกเข่าแข็งทื่อลงไปหน้าหลุมศพทันที
“ไม่ใช่กล่าวว่าจะให้นางฝังไปกับศพหรือ?” ฮูหยินหวงฝู่ร้องออกมาอย่างไม่อาจจะรอได้สักเสี้ยวนาที หวงฝู่เจิ้นหลงกวาดสายตาใส่อย่างเยียบเย็น นางรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ปิดปากลงทันที แต่ใบหน้ากลับยังคงเผยโทสะ
“กลบดินให้พี่โม่เถิด!” อินหงหลันส่งเสียมให้ซินหรัน ให้นางเป็นคนกลบดินคนแรก และคนต่อไปก็เรียงตามอายุ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดส่งเสียมให้กับฮูหยินหวงฝู่แม้แต่คนเดียว ยามที่ฮูหยินมู่หรงส่งเสียมให้กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางก็แย่งมาอย่างไม่มีมารยาท หวงฝู่เจิ้นหลงยื่นเสียมอีกอันให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ก่อนจะดึงฮูหยินหวงฝู่มาอยู่ด้านข้าง ไม่ยอมให้นางกลบดินให้อวี๋ฮวน นั่นเป็นการล่วงเกินอย่างหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฮูหยินหวงฝู่ตะโกนเสียงเบาออกมา หวงฝู่เจิ้นหลงไม่ไว้หน้านางต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่นางก็รู้ว่าตัวเองในยามนี้ได้ทำให้ทุกคนไม่พอใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แผดเสียงดังมาก
“หมายความว่าไม่ให้เจ้ามีส่วนร่วม!” หวงฝู่เจิ้นหลงมองนางอย่างเยือกเย็น “คุณหนูอวี๋ฮวนและเจ้าไม่มีความสัมพันธ์อันใด นางไม่ต้องการให้คนไม่สลักสำคัญกลบหลุมฝังศพให้นาง เจ้าอย่ายุ่งจะดีกว่า อย่าได้ขายหน้าตัวเองและตระกูลหวงฝู่ที่นี่”
ฮูหยินหวงฝู่กัดฟันอย่างโกรธแค้น แต่สายตาที่ส่งมาอย่างน่ากลัวทำให้นางสั่นสะท้านในใจ รู้สึกเสียใจต่อการกระทำที่ลืมตัวของตัวเองอยู่บ้าง นั่นเป็นสายตาที่ไม่พอใจของอินหงหลัน เรื่องที่อินหงหลันชอบคิดเล็กคิดน้อยเป็นที่รู้กันไปทั่ว หากถูกเขาคิดแค้นผูกพยาบาทขึ้นมา แม้จะยอมสูญเสียทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของตระกูล เขาก็ไม่อาจเหลียวแล และเห็นได้ชัดว่านางถูกอินหงหลันแค้นฝังใจแล้ว
“นี่คือที่พักพิงของเจ้า หลังจากเจ้าโขกหัวให้พี่อวี๋ฮวนแล้วก็ลงไปเถิด!” เมื่อเห็นฮูหยินหวงฝู่หุบปากลง อินหงหลันก็เก็บสายตากลับมา ชี้ไปยังหลุมที่ขุดไว้ดีแล้วข้างๆ สุสานของอวี๋ฮวน กล่าวกับเฉินอวี้ที่แววตาแข็งทื่อ แม้เขาจะไม่เคยเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของเฉินอวี้มาก่อน แต่เขาก็เป็นคนที่มีนิสัยเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาอยู่แล้ว ไหนเลยจะใส่ใจกับคนที่ทำผิดต่ออวี๋ฮวนและมี่เอ๋อร์
เฉินอวี้พบว่ามือและเท้าของตัวเองเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางโขกหัวสามครั้งหน้าป้ายหลุมศพของอวี๋ฮวนอย่างเคร่งครัด จากนั้นก็หยัดกายขึ้นอย่างว่าง่าย กระโดดลงไปในหลุมโดยไม่คิดลังเล คล้อยหลังก็นอนลงไป ใบหน้าปรากฏท่าทีเรียบนิ่ง ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หากฮูหยินหวงฝู่สนใจสามารถกลบหลุมให้นางได้” อินหงหลันกล่าวอย่างเรียบเย็น “ทั้งลองมาดูได้ว่าคนที่เต็มใจรนหาที่ตายเช่นนี้ สุดท้ายแล้วมีสภาพอย่างไร?”
ฮูหยินหวงฝู่อดสั่นสะท้านไม่ได้ ถอยหลังออกไปติดกันหลายก้าว จนกระทั่งตัวเองหลบอยู่หลังหวงฝู่เจิ้นหลงจึงค่อยหยุดลง รู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองไม่สิ้นสุด นางลืมไปได้อย่างไรว่าอินหงหลันและผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน!
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในสายตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซินหรัน พวกนางแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกัน ต่างเห็นพ้องต้องกัน จัดฮูหยินหวงฝู่เป็นหนึ่งในบุคคลที่ภายหลังอย่าได้คบค้าสมาคมด้วยอีก…
————————————