“เหนียง หมิงเอ๋อร์จะเป็นเด็กดี!” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยท่าทีจริงจัง ตั้งแต่รู้ว่าในท้องของมารดามีน้องชายหรือน้องสาวอยู่ และตัวเองจะได้เป็นพี่ชายอย่างจริงจังแล้ว ชั่วข้ามคืนเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ก็มีท่าทีเป็นผู้ใหญ่ หลังผ่านปีนี้ไปท่านบรรพชนแนะนำให้เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ลองพักอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงและตระกูลซั่งกวนสลับกันไป เสี่ยวหมิงเอ๋อร์รู้ว่าไม่อาจพบหน้ามารดาทุกวันได้ แต่เพื่อจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ไวๆ ปกป้องท่านแม่และน้องชายหรือน้องสาวที่กำลังจะเกิดได้ก็ยังรับปากไปทั้งน้ำตาที่นองหน้า วันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องส่งเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไปที่เรือนพำนักอวี้ฉิงแล้ว
“หมิงเอ๋อร์ สามสี่วันก็กลับมาหาแม่ได้แล้ว ยิ้มหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองลูกชายที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งอย่างเอ็นดู เด็กน้อยที่อายุไม่ครบสองขวบคนหนึ่งสามารถมีท่าทีเช่นนี้ได้ พาให้นางที่เป็นมารดารู้สึกชื่นชมทั้งเอ็นดูในเวลาเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ลำพังเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน
“อื้ม!” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ผงกศีรษะแรงๆ ซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มเขา ก่อนจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ยามที่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ตัดสินใจว่าจะทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เอาแต่นั่งรถม้า แต่จะเริ่มเรียนขี่ม้า…แน่นอนว่า การที่เด็กน้อยอายุอย่างเขาจะขี่ม้าเป็นเพียงคำพูดของเด็กเท่านั้น แต่ซั่งกวนเจวี๋ยและซั่งกวนฮ่าวต่างก็เคารพในความคิดของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ จึงเริ่มให้เขาขี่ม้ากับผู้ใหญ่ ไม่ใช่นั่งอยู่แต่ในรถม้าแล้ว
“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์รู้ความเร็วกว่าซั่งกวนเจวี๋ยในปีนั้นเสียอีก!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองพวกปู่หลานทั้งสามคนจากไป นึกถึงฉากในปีนั้น กล่าวทั้งถอนหายใจ “ปีนั้นเจวี๋ยเอ๋อร์อายุสามขวบจึงค่อยรู้ความเหมือนหมิงเอ๋อร์ในตอนนี้ ยามที่สามขวบครึ่งก็ค่อยเข้าไปยังเรือนพำนักอวี้ฉิง แต่ไม่ได้เหมือนหมิงเอ๋อร์ที่กล่าวอย่างหนักแน่นว่าตัวเองจะพยายามเป็นผู้ใหญ่ไวๆ เพื่อปกป้องมารดาและน้องสาวน้องชายเช่นนี้”
“ท่าทีของหมิงเอ๋อร์ทำให้ข้าคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก!” ลูกชายสามารถเปลี่ยนเป็นรู้ความด้วยอายุแค่นี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองก็ประหลาดใจเช่นกัน ท่าทีของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ในวันปกติทำให้นางรู้ว่านี่เป็นเด็กเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ทั้งรู้ว่าเจ้าตัวเล็กเก่งในเรื่องใช้อำนาจของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งของที่ต้องการ ตัวอย่างเช่นใบหน้าเปื้อนยิ้มที่พูดคุยหัวเราะอย่างไร้เดียงสา ทั้งท่าทีน้อยใจที่เผยน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร แทบที่จะเป็นจิ้งจอกตัวน้อยโดยไม่ต้องมีใครสอน เด็กเช่นนี้ย่อมยากที่จะเสียเปรียบอันใด แต่เขาเป็นศูนย์กลางของครอบครัว เป็นของล้ำค่าที่ทุกคนล้วนปรารถนาอุ้มชูไว้ในมือ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกขัดใจ ครั้งหนึ่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังกังวลว่าเขาจะถูกตามใจจนเสียนิสัย รอยามที่เขาเริ่มรู้ความสักหน่อยก็เตรียมที่จะอบรมสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด กลับคาดไม่ถึงว่า หลังจากทำตัวให้กลายเป็นพี่ชาย เขาจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ยามที่รู้ว่าในท้องของชิงหวั่นมีน้องชายเขากลับไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่ถึงขนาดนี้! ดูท่าหลังจากเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นย่อมเป็นคนที่คอยถือหางปกป้องผู้อื่นเป็นแน่
“รอเด็กในท้องของเจ้าถือกำเนิด เขาย่อมต้องมีความเป็นพี่ชายกว่านี้แน่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม การถือหางปกป้องคล้ายกับจะเป็นธรรมเนียมของตระกูลซั่งกวนไปแล้ว ซั่งกวนฮ่าวไม่มีน้องชายและน้องสาวสายตรง ย่อมดูไม่ค่อยออก แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับนับว่าถือหางปกป้องน้องชายและน้องสาวตัวเอง เสี่ยวหมิงเอ๋อร์จะเป็นอย่างนั้นก็นับเป็นการสืบทอดธรรมเนียมของตระกูลซั่งกวนเช่นกัน
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่า เจ้าตัวเล็กในนี้ย่อมต้องเป็นเด็กซุกซนอีกคนแน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มวางมือลงบนหน้าท้องที่ยังแบนราบเรียบ อาจจะเพราะว่าช่วงนั้นเพิ่งจะตั้งท้อง ตัวเองจึงไม่รู้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ช่วงนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ กระทั่งเรื่องภายในบ้านยังดูแลเพียงเล็กน้อย ทุกวันล้วนต้องการเวลาพักผ่อนเยอะๆ ที่น่าแปลกคือไม่เพียงแต่ซั่งกวนเจวี๋ยที่ดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น หนำซ้ำหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังพยายามรับผิดชอบภาระต่างๆ ที่ตัวเองไม่เคยสนใจมาก่อนอยู่ไม่น้อย เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ยิ่งพยายามเติบโต มีความเป็นผู้ใหญ่ผิดแปลกจากเด็กคนอื่นๆ
“ดังนั้นเจ้าก็ควรพักผ่อนมากๆ มีน้องสาวที่แข็งแรงให้เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เถิด!” สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อปรารถนาในยามนี้คืออยากมีหลานสาวที่งดงามเหมือนมารดาอีกคน นางจำได้แม่นว่ามี่เอ๋อร์ในปีนั้นน่ารักขนาดไหน ถึงกระทั่งทำให้นางอยากจะแย่งมา(แน่นอนว่ายามนั้นก็นับว่าแย่งมาแล้ว) ปีนั้นเพราะนางรู้ถึงความสำคัญของลูกภรรยาเอก แต่ยามนี้มีหมิงเอ๋อร์แล้ว ย่อมอยากได้หลานสาวที่มีความคิดตรงกับนางเสียหน่อย
“ข้าทราบแล้ว ท่านแม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง รู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงไม่ชอบใจที่ตัวเองพูดออกหน้าเพื่ออนุภรรยาหนิง ก็เหมือนที่นางคาดไว้ ยามที่ซั่งกวนฮ่าวกลับมาถึงลี่โจวอีกครั้ง จึงทราบถึงเรื่องในจวนอวี่ไข่ แต่อวี่ไข่ทำให้เขาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่นมหนิงและหนิงซินยิ่งทำเรื่องที่โหดร้ายเช่นนั้นกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ผูกพันกันมาหลายปี เขานั้นไม่มีใจคิดจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาแล้ว อีกอย่าง เขาก็เคยพบบุตรคนนั้นของอวี่ไข่อย่างไกลๆ มาครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ที่ทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้ แต่ก็เป็นหลานในไส้เขาเช่นกัน แทนที่จะทำเพื่อลูกทรยศที่กู่ไม่กลับ ให้เขาสูญเสียมารดาที่สำคัญที่สุดไป ยังมิสู้มองข้ามอวี่ไข่ ให้เด็กคนนั้นได้เติบโตในสภาพแวดล้อมดีๆ แทน
การตัดสินใจของพิงถิงนับว่าเหนือความคาดหมายของเขา คาดไม่ถึงว่าลูกสาวที่ธรรมดาในสายตาเขาผู้นี้จะมีความเก่งกล้าเช่นนี้ได้ แม้จะทนเห็นมารดาผู้ให้กำเนิดของตนถูกรังแกอยู่ในเงื้อมมือทั่วป๋าฉินซินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถูกสถานการณ์และการร้องขอของอนุภรรยาหนิงทำให้จิตใจสั่นคลอน สูญเสียจุดยืนที่ตัวเองควรจะมีไปโดยง่าย แต่กลับครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วจึงค่อยตัดสินใจเช่นนั้น
แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้เขาพอใจยิ่งกว่าคือท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้จะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นในตระกูลซั่งกวนมาตลอดสองปี กลับไม่เคยลืมนิสัยเดิมของตัวเอง ไม่เพียงปรึกษาหารือกับซั่งกวนเจวี๋ยก่อน แต่ยังบอกกล่าวให้เขาฟัง จัดการกับเรื่องนี้ด้วยวิธีที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก…ส่งบ่าวใช้ที่นับว่าใช้การได้ให้ทางอวี่ไข่หนึ่งคน ขอเพียงแค่เขาไม่ถูกทั่วป๋าฉินซินลงมืออย่างโหดเหี้ยมก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของเขา ด้านอนุภรรยาหนิงส่งไปวัดประจำตระกูลอย่างตรงๆ ให้นางสงบจิตสงบใจใช้ชีวิตครึ่งหลังอยู่ในวัดประจำตระกูล อย่าได้คิดออกมาสร้างปัญหาอะไรอีก ทั้งไม่อาจให้นางได้รับความไม่ธรรมอันใดในวัดประจำตระกูล
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนางได้รับส่วนเท่ากับอนุภรรยาอู๋ และเพราะพวกแม่นมข้างกายอนุภรรยาอู๋มีความประพฤติที่ไม่เลว คนที่มีลูกหลานก็ถือโอกาสให้สิทธิพิเศษ ให้พวกนางเลือกเองว่าจะรั้งตัวอยู่ที่วัดประจำตระกูลหรือจะกลับไปใช้บั้นปลายชีวิตกับลูกหลาน…นอกจากแม่นมฉินแล้ว กระทั่งซั่งกวนเจวี๋ยก็ล้วนไม่รู้ การกระทำเช่นนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่ว่าไม่คิดแค้นกับเรื่องที่ผ่านมา ทั้งไม่ใช่ว่าอยากจะสร้างภาพลักษณ์เป็นคนใจกว้างต่อพวกบ่าวไพร่ในตระกูลซั่งกวน แต่คิดจะให้ใครบางคนถูกปล่อยตัวออกมาเท่านั้น แม้ไม่มีนาง อนุภรรยาอู๋ก็เหมือนเดิม ไม่อาจจะทำอะไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ แต่เพราะมีนางต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองไม่มี จึงสามารถกำจัดอนุภรรยาอู๋ได้โดยที่ตัวเองไม่รับการบาดเจ็บใดๆ
“รู้ก็ดีแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็พูดไปเท่านั้น กลับไม่ได้ไม่พอใจอันใดกับมี่เอ๋อร์ สถานการณ์ของอนุภรรยาหนิงทำให้นางอดใจไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน แม้จะเคยเกลียดจนอยากจะแล่เนื้อนางมากิน แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่ใช่คนที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมได้ เห็นลูกชายที่ภาคภูมิใจทั้งครึ่งชีวิตของนางได้รับความทุกข์ทนขนาดนั้น ก็มีความเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง แน่นอนว่าในทางกลับกัน จึงให้ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยเข้มงวดกับซั่งกวนอิงที่กำลังได้รับการสั่งสอนและทดสอบของตระกูลมากขึ้น บทเรียนก็มีให้เห็นอยู่เบื้องหน้า นางไม่อาจให้ลูกของตัวเองกลายเป็นเหมือนอวี่ไข่เช่นนั้น
“สองวันนี้ชิงหวั่นก็คงคลอดแล้วกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที กำหนดคลอดของชิงหวั่นอยู่ปลายเดือนหนึ่ง ยามนี้ผ่านเทศกาลโคมไฟแล้ว คาดว่าคงจะมีข่าวดีแล้วกระมัง!
“คงเป็นเช่นนั้น!” ยามที่พูดถึงเรื่องนี้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็อดกังวลใจไม่ได้อยู่บ้าง สถานการณ์ของชิงหวั่นไม่ค่อยดี ท้องโตถึงขนาดนั้นแต่กลับไม่ใช่ท้องแฝด เป็นไปได้ว่าอาจจะประสบภาวะคลอดบุตรยาก แม้อินหงหลันที่รั้งตัวอยู่โยวโจวจะทำให้พวกเขาโล่งใจเล็กน้อย แต่นึกถึงนิสัยเสียของอินหงหลัน หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ไม่มั่นใจนัก
“ลุงอินย่อมไม่ทำอะไรเรื่อยเปื่อย ท่านแม่วางใจเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่น ดูเหมือนว่านอกจากตัวเองแล้ว คนอื่นๆ ล้วนคิดว่าอินหงหลันนั้นนิสัยเสียเป็นอย่างมาก แม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เว้น เอ่ยถึงเรื่องที่เคยรักษาตัวเอง ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงอดโมโหไม่ได้ นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าได้พูดคุยกับป้าซินหรันหลายครั้งแล้ว นางกล่าวว่าจะจับตามองเขาอย่างดี ไม่ให้เขาก่อเรื่องยามที่หน้าสิ่วหน้าขวาน เซียงเสวี่ยก็รับประกันครั้งแล้วครั้งแล้วว่าจะคอยระวังเขา ไม่ให้ถือโอกาสทำเรื่องแปลกๆ อันใด ท่านก็อย่าได้กังวลเลย!”
“จะไม่กังวลได้อย่างไร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่ายศีรษะ เวลานี้กลับเห็นอนุภรรยาหวังถลาเข้ามาด้วยสีหน้าดีใจ บนใบหน้ายังปรากฏคราบน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
“เกิดอะไรขึ้น?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ว่าอนุภรรยาหวังอึดอัดกับฐานะของตัวเอง จึงไม่สนใจการเหนี่ยวรั้งของชิงหวั่น อยู่ที่ตระกูลมู่หรง ไม่ต้องการให้คนอื่นนินทาลับหลัง แต่กลับกังวลและร้อนใจยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ห้าวันก่อนก็ส่งคนไปเฝ้าหน้าห้องของซั่งกวนจิ่น หากมีข่าวของชิงหวั่น นางก็สามารถรู้ได้เป็นคนแรก
“คลอดแล้ว ฮูหยิน คลอดแล้วเจ้าค่ะ” อนุภรรยาหวังลืมกระทั่งคำนับ กล่าวยิ้มๆ “ปลอดภัยทั้งแม่และลูกสาว!”
แม่และลูกสาว? ให้กำเนิดลูกสาวหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยยิ้มสดใส “นี่เป็นเรื่องมงคล! ท่านแม่ ให้ส่งรีบตามท่านพ่อไป ควรบอกข่าวดีนี้แก่ท่านพ่อจึงจะเหมาะสม”
“ใช่แล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยักหน้า นางหันกายไปสั่งการแม่นมหยางทันที ก่อนกล่าวถาม “ให้กำเนิดเมื่อใด? คนที่มาส่งข่าวว่าอย่างไรบ้าง?”
“ให้กำเนิดตั้งแต่เช้าตรู่ของสามวันห้าวันก่อน โชคดีที่มีนายท่านอินอยู่ คนผู้นั้นกล่าวว่าทารกในครรภ์ไม่กลับหัว หากไม่ใช่ว่านายท่านอินคอยอยู่ดูแลด้านข้างตั้งแต่ต้น ย่อมอยู่สภาวะอันตรายเจ้าค่ะ!” อนุภรรยาหวังกล่าวอย่างยินดี “ยามนี้ชิงหวั่นเพียงบาดเจ็บภายในเล็กน้อยเท่านั้น รักษาอีกเดือนสองเดือนก็ย่อมดีขึ้น เด็กน้อยแข็งแรง ทั้งอ้วนท้วมสมบูรณ์ หน้าตาเหมือนกับมารดาไม่ผิดเพี้ยน เป็นหญิงงามโดยกำเนิด”
“ดูท่าครั้งนี้หงหลันไม่ได้ก่อเรื่อง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ฟังก็เข้าใจทันที อินหงหลันย่อมพบสิ่งผิดปกติตั้งนานแล้ว จึงได้เฝ้าอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้น ทั้งไม่รู้ว่าตระกูลมู่หรงจะหมดเนื้อประดาตัวเพราะเรื่องนี้หรือไม่!
“ตระกูลมู่หรงหรือว่าอวี่ฮ่าวส่งจดหมายมา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้อินหงหลันได้เคยพูดกับนาง กล่าวว่าร่างกายของชิงหวั่นเทียบกับนางไม่ได้ วรยุทธ์เดิมถูกตระกูลมู่หรงใช้ยาทำลาย ระยะเวลาที่อยู่ในวัดประจำตระกูลสามปีก็ได้รับบาดเจ็บภายในอยู่เล็กน้อย แม้หลายปีมานี้จะดูแลรักษาสุขภาพพอควร แต่กลับยังคงอยู่ในสภาวะอันตราย เวลานั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ฟังก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหล ขอร้องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ช่วยชิงหวั่นและเด็กออกมาอย่างปลอดภัย แม้อินหงหลันจะไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าเหตุใดทั้งคนสองที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานกลับสนิทสนมขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับปากแต่โดยดี…ก็เหมือนที่เขาพูด ขอเพียงแค่เขาพยายาม ย่อมไม่มีใครที่ช่วยกลับมาไม่ได้
“ตระกูลมู่หรงเจ้าค่ะ!” อนุภรรยาหวังกล่าวยิ้มๆ “คนส่งจดหมายกล่าวว่าอวี่ฮ่าวตื่นเต้นมาก เอาแต่เฝ้านอกห้องไม่ไปไหน หลังจากรู้ว่าปลอดภัยทั้งแม่และลูก ไม่ทันที่จะเห็นลูกก็เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน ยามที่เขาออกจากตระกูลมา อวี่ฮ่าวยังไม่ได้สติเลยเจ้าค่ะ”
“เด็กโง่ผู้นี้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ในสายตาของสองสามีภรรยามู่หรงฉวีกุยนับว่ายังพอยอมรับอวี่ฮ่าว หากไม่ใช่เพราะว่าตามใจลูกสาวจริงๆ หรือเพราะเหตุผลอะไรอย่างหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้ แต่หลังจากทั้งสองคนแต่งงาน อวี่ฮ่าวปฏิบัติตัวอย่างไรกับชิงหวั่น ล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้คน หลังจากพวกเขาถึงโยวโจว อวี่ฮ่าวก็ได้เป็นลูกเขยที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง และยามนี้คงจะได้รับความโปรดปรานจากสองสามีภรรยามากขึ้นแล้วกระมัง!
“ท่านแม่ เช่นนั้นท่านปรึกษาหารือกับอนุภรรยาหวังว่าจะตระเตรียมเรื่องให้พวกชิงหวั่นอย่างไรเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หาวอย่างอ่อนเพลียอยู่บ้าง “ข้าจะไปพักผ่อนสักครู่ รอจนตื่นแล้วจะเข้ามาอีกครั้ง!”
“ไปเถิด! ไปเถิด!” อนุภรรยาหวังกล่าวอย่างดีใจ ยามนี้นางคิดอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น…นางก็กลายเป็นย่าคนแล้วเช่นกัน!
———————————–