“สะใภ้ใหญ่ไยต้องพูดไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้?” ในที่สุดจงฉิงเฟิงก็ทนไม่ไหว ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้งไม่มีประโยชน์ ว่ากันด้วยเหตุผลก็ไม่ได้ผล วิเคราะห์ผลได้ผลเสียคนอื่นเขายิ่งไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจจุดประสงค์ของพวกตัวเองสักนิด หากเป็นเช่นนี้ มิสู้นางอย่าได้พบพวกตัวเองตั้งแต่แรกดีกว่า นี่นางกำลังจงใจทำให้พวกตัวเองเป็นที่ขบขันหรือ?
“คำพูดของข้าไร้เยื่อใย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง กล่าวเหน็บแนมอย่างเรียบเย็น “ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น ตระกูลจงก็ดี กุ้ยเฟยที่สูงส่งผู้นั้นก็ดี หากไม่ได้มีใจคิดจะใช้ประโยชน์จากข้า จะให้พวกเจ้าถ่อมาไกลถึงลี่โจวโดยไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้หรือ? น่าเสียดายที่แผนของพวกเจ้าล้วนผิดไปหมด แม้ว่าข้าจะไม่มีความรู้หรือสายตากว้างไกลอะไร กลับไม่ใช่คนที่หมาแมวที่ไหนจะมาหลอกใช้ก็ได้!”
หมาแมว? จงฉิงเฟิงแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา จงอิ้งซีดวงตาแดงก่ำ ถลึงตามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างดุร้าย และความเยือกเย็นสุดท้ายของหยางรุ่ยเฟิงก็แทบจะสลายหายไป จิกมือตัวเองแน่น ความเจ็บปวดนั้นไม่ทำให้เขาถึงขั้นคำรามออกมา
“พวกเจ้าในยามนี้คงเกลียดข้าแล้วกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสีหน้าคนทั้งสามอย่างสบายใจ กล่าวทั้งยิ้มมุมปาก “พวกเจ้าย่อมคิดว่าข้ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่น แต่พวกเจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่า หากพวกเจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์บางอย่าง คิดจะหลอกใช้ข้า ข้าก็คงไม่มีโอกาสทำเช่นนี้กับพวกเจ้า? พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว แม้จะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอะไร นั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้ามาหาถึงหน้าประตูเอง ข้าคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งไม่กล้าเรียกตัวเองว่าคนดี แต่คนเขาล้วนยื่นหน้าเข้ามาให้ข้าตบขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธคำขอเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาไม่ใช่หรือ!”
“เจ้า…” จงอิ้งซีที่กระโดดขึ้นมาถูกจงฉิงเฟิงกดเอาไว้ ทั้งถือโอกาสหยุดเสียงร้องที่กำลังจะออกจากปากของนาง มองใบหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเยือกเย็น กล่าวเรียบนิ่ง “ที่แท้สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนก็เป็นเช่นนี้ หากให้คุณชายใหญ่รู้ถึงใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า ไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทีเช่นไร? หากคำพูดนี้ของเจ้ารู้ไปถึงหูของตระกูลอื่น ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออะไรหลุดออกมาหรือไม่?”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาเล็กน้อย ยิ้มอ่อน “ข้าไม่ได้ถูกคนข่มขู่มานานมากแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบมาเสียนาน ความรู้สึกเช่นนี้ไม่คุ้นเคยทั้งคะนึงถึงจริงๆ! ข้าคิดดูก่อนนะ คนที่แล้วที่ข่มขู่ข้าเป็นใครกัน?”
“สะใภ้ใหญ่ ครั้งที่แล้วผู้ที่ข่มขู่ท่านคือลูกผู้ลากมากดีที่ไม่มีหูมีตาพวกนั้นเจ้าค่ะ” ช่าจื่อ ‘คลายความสงสัย’ ให้มี่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มเริงร่า กล่าวยิ้มๆ “จำพวกที่หูตาไม่กว้างไกลเหล่านั้นที่ถูกไล่ตีออกไปตรง ๆ ไม่ได้หรือเจ้าค่ะ? แต่ก็เข้าใจได้เช่นกัน บนหลุมศพของพวกเขามีหญ้าขึ้นสูงกว่าคนเสียแล้ว ท่านจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก!”
นี่จึงจะเรียกว่าข่มขู่! จงฉิงเฟิงอดสั่นสะท้านไม่ได้ พวกเขาลืมไป หญิงสาวเบื้องหน้าผู้นี้ไม่เพียงเป็นลูกสาวของจงเสวี่ยฉิง หญิงสาวที่ไม่มีประโยชน์อันใดกับตระกูลเดิมผู้นั้น แต่ยังเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลใหญ่ ทั้งเป็นสะใภ้ใหญ่ที่ได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก หากนางจะจัดการกับพวกตัวเองจริงๆ ยังคงยากที่จะคาดถึงผลลัพธ์ภายหลัง
“ใช่แล้ว! เจ้าพวกไม่มีหูตาพวกนั้น คิดว่าข้ามีชาติกำเนิดธรรมดาจะดูหมิ่นดูแคลนอะไรตามใจก็ได้ กลับลืมไปว่าข้าคือภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย ไม่ให้เกียรติและลบหลู่ข้าก็ย่อมไม่ได้ต่างอะไรกับลบหลู่ตระกูลซั่งกวน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับเพิ่งคิดออก กล่าวด้วยยิ้มบาง “ช่าจื่อ เจ้าว่าหากคุณชายใหญ่รู้ว่าข้าถูกคนข่มขู่จะทำอย่างไร?”
“วิธีของคุณชายใหญ่นั้นมีมากจริงๆ เจ้าค่ะ เขาจะทำอย่างไรบ่าวไม่อาจรู้ได้ แต่ว่า…” ช่าจื่อแย้มยิ้มเล็กน้อย จงใจมองทั้งสามคนที่จู่ๆ ก็นั่งไม่ติดที่ขึ้นมา “ฮูหยินย่อมต้องให้คนไล่ตีแขกน่ารังเกียจที่กล้ามารังแกถึงหน้าประตูแน่เจ้าค่ะ เรื่องที่ตระกูลซั่งกวนไล่ตีแขกออกจากประตูตรงๆ นั้นพบได้น้อยมาก คาดว่าไม่นานก็คงจะรู้ทั่วกันแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนล้วนเหงื่อเย็นชุ่มไปหมด แม้จะไม่กล้ามั่นใจว่าคำพูดของนายบ่าวผู้นี้มีความจริงแท้กี่ส่วน แต่พวกเขาล้วนไม่กล้ารับความเสี่ยงเช่นนั้น หากหยางรุ่ยเฟิงถูกตระกูลซั่งกวนไล่ออกไปตรงๆ คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขา เป็นไปได้ว่าอาจจะถอยห่างก็ได้
“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไยท่านพี่ต้องคิดเอาจริงเอาจังถึงเพียงนั้น” จงอิ้งซีฝืนยิ้มออกมา ยามนี้คนที่ควรพูดจาดีๆ ต้องเป็นนางแล้ว แต่รอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้น ทั้งแววตาที่ปกปิดความเกลียดชังไม่มิดกลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในใจของนางไม่เต็มใจถึงขนาดไหน
“ช่างเป็นครอบครัวที่ดีจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพวกเขาอย่างเยือกเย็น กล่าวอย่างเรียบเย็นเป็นอย่างมาก “เดิมทีพวกเจ้าก็ไม่คู่ควรจะเรียกข้าว่าเป็นครอบครัวอะไรทั้งนั้น ปีนั้นตระกูลจงทำเรื่องพวกนั้น แม้ฟังดูแล้วทำให้คนรู้สึกขยะแขยง แต่คนล้วนมีความเห็นแก่ตัว เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดก็ไม่อาจกล่าวโทษทั้งหมดได้ แต่ว่า วันนี้กลับคิดใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เบาบางจนแทบสัมผัสไม่ได้นั้นมาถึงหน้าประตู เชื่อมต่อสัมพันธ์ คิดใช้ประโยชน์จากข้า กลับทำให้คนอยากอาเจียนเต็มที่แล้ว ดูท่าตระกูลจงคงไม่เท่าไร มหาเสนาบดีจงคงไม่เท่าไร ทั้งคนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คงไม่เท่าใดเช่นกัน! รบกวนฝากบอกมหาเสนาบดีจงด้วย ข้าไม่อาจมีความรู้สึกดีใดๆ กับตระกูลจงแล้ว ยิ่งไม่สามารถสนิทสนมกับคนผู้ใดของตระกูลจงอีก แต่ก็ไม่มีใจคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับตระกูลจงที่ถูกกำหนดว่าจะตกต่ำ กระนั้นทั้งหมดที่เอ่ยมาก่อนหน้า ขอตระกูลอย่าได้พยายามวางแผนทำเรื่องอะไรที่จะกระตุ้นโทสะข้าอีก มิเช่นนั้น ข้าย่อมไม่ใส่ใจแม้คนจะพูดว่าข้าเป็นตัวหายนะก็ตาม!”
ตระกูลจงที่ถูกกำหนดว่าจะตกต่ำ? จงฉิงเฟิงหางตากระตุก แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน ตระกูลจงมีสนมจงกุ้ยเฟยอยู่ในวัง มีการดูแลของอ๋องรุ่ย ด้านนอกมีกำลังจากมหาเสนาบดีจงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ บิดาของเขา ท่านลุงสามคนก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจในราชสำนัก ตัวเขาเองและน้องชายไม่กี่คนยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นของเซิ่งจิง น้องสาวหลายคนก็ได้คู่ครองที่ดี ในนั้นมีสามีของน้องสาวเป็นขุนนางฝ่ายตรวจการ คนหนึ่งเป็นจอหงวนที่สอบได้คะแนนสูงสุดในปีนี้ กำลังเจริญเฟื่องฟู คำพูดนี้ไม่รู้อะไรเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
“คุณชายใหญ่จงคงรู้สึกว่าข้าเจตนากล่าวให้ตกใจกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าจงฉิงเฟิงไม่ได้คิดเช่นนั้น กล่าวอย่างเยือกเย็น “ตระกูลที่ใคร่ครวญไม่ได้ว่าควรจะแข็งแกร่งด้วยตัวเองอย่างไร กลับคิดแต่จะใช้ประโยชน์จากคนอื่นย่อมถูกกำหนดให้เสื่อมโทรมตกต่ำ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนตระกูลจงเป็นอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่าตระกูลจงในยามนี้มีหน้ามีตาถึงเพียงใด แต่ว่า…มองพวกเจ้าข้าก็รู้แล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลจง แม้จะนับว่าเป็นพยัคฆ์ แต่ลูกหลานกลับเป็นลูกแมวฝูงหนึ่งที่เลี้ยงอยู่ในบ้าน ทั้งยังเป็นลูกแมวที่ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ คิดไปเองว่าตัวเองเป็นพยัคฆ์!”
จงฉิงเฟิงตะลึงไปเล็กน้อย คำพูดเช่นนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงคนชมเขาว่าบิดาเป็นพยัคฆ์ ลูกก็ย่อมเป็นพยัคฆ์เช่นกัน หยางรุ่ยเฟิงกลับไม่ปล่อยให้เขาได้ครุ่นคิดละเอียดนัก กระแอมไออกมาแรงๆ หนึ่งที รอจนสายตาทั้งหมดพุ่งมาที่เขาแล้ว ก็กล่าวยิ้มๆ “ข้าคิดว่าความแค้นในใจของสะใภ้ใหญ่คงระบายออกมาพอประมาณแล้วกระมัง ไม่ทราบว่าสะใภ้ใหญ่ในยามนี้สามารถพูดอย่างสงบจิตสงบใจดีๆ กับพวกข้าได้หรือไม่? ข้าคิดว่าสะใภ้ใหญ่หลักแหลมถึงเพียงนี้ คงรู้ว่าหากเจ้าได้เชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลจง กับท่านแม่ของข้า ทั้งข้าแล้ว ย่อมไม่อาจเหมือนดั่งตอนนี้”
“ดูท่าท่านอ๋องจะเก่งกาจกว่าคุณชายใหญ่จงอยู่มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเยือกเย็น เป็นเพียงองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีสนมจงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร? องค์ชายที่ทำได้เพียงพึ่งพาญาติฝ่ายมารดา ต่อให้ฮ่องเต้จะมีตัวเลือกอย่างไร ย่อมไม่อาจมอบตำแหน่งให้เขาอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ผู้ที่คุมอำนาจในมือยังจะเป็นราชวงศ์อยู่หรือไม่ ดูท่าเขาคงไม่เข้าใจจุดสำคัญภายในอย่างกระจ่าง และนางก็ไม่มีใจจะเตือนความจริงข้อนี้แก่เขา
“สะใภ้ใหญ่คิดว่าข้าพูดถูกแล้วหรือ?” หยางรุ่ยเฟิงไม่ได้มั่นใจมากนัก หญิงสาวตรงหน้านี้คาดเดาความคิดได้ยากกว่าท่านแม่เสียอีก ใครจะรู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่กันแน่!
“ล้วนพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอ๋องยังหน้าหนาพูดเรื่องเอื้อประโยชน์ไม่เอื้อประโยชน์อยู่อีก ข้ายังคงนับถือจริงๆ!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้รอยยิ้มสุดท้ายของหยางรุ่ยเฟิงแขวนไว้ที่หน้าไม่ได้ แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่ได้หยุดปากเท่านี้ พูดต่อไป “ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่ตระกูลจงจะหน้าหนาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่านอ๋องกลับไม่ได้หน้าหนาธรรมดา”
“เจ้า!” ความอดทนของหยางรุ่ยเฟิงได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ก่อนหน้านี้แม้คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะระคายหู แต่ก็ไม่ได้พูดกับเขาอย่างตรงๆ แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน แทบจะพุ่งหัวมาชนที่เขาอย่างสิ้นเชิง เขาจะอดกลั้นได้อย่างไร
“พูดตรงจุดแล้วกระมัง? ทนโมโหไม่ไหวแล้วอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเรียบเย็น “ท่านอ๋องควรจะตระหนักถึงจุดประสงค์ของตัวเองที่มาที่นี่หน่อย! ข้าและท่าน ทั้งกุ้ยเฟยที่สูงส่งผู้นั้น ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อะไร ล้วนไม่อาจทำให้ตำแหน่งข้าปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ข้าคือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เกียรติยศความรุ่งเรืองของข้ามาจากสามีและลูกชายลูกสาวของข้า ไม่ใช่พวกท่านแต่อย่างใด จะสนิทสนมกับพวกท่านหรือไม่ สำหรับข้าแล้วก็มีเพียงคำอวยพรที่ส่งมาในยามเทศกาลเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งฉบับเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีเพียงความหงุดหงิดไม่สิ้นสุด ข้าคิดว่าท่านก็ดี กุ้ยเฟยก็ดี ย่อมต้องพยายามใช้อย่างเต็มความสามารถ ใช้ประโยชน์จากข้าและตระกูลซั่งกวนอย่างถึงที่สุด…ข้าไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นคำพูดหลอกคนโง่เช่นนั้นอย่าได้พูดจะดีกว่า”
พวกเขาวางแผนอย่างนี้จริงๆ! หยางรุ่ยเฟิงถูกคนพูดแทงใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พวกเขาไม่อาจยอมแพ้เช่นนี้ได้!
“ข้าเหนื่อยแล้ว จื่อหลัว ช่าจื่อพยุงข้าไปพักผ่อนเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีใจอยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาต่ออีกแล้ว แม้อยากจะเหยียบพวกเขาแรงๆ อีกหลายที ก็ต้องรอนางฟื้นฟูกำลังวังชาก่อน แต่ยามนี้…ควบคุมความง่วงที่จู่โจมนางเป็นพักๆ ไม่ได้แล้ว
ยามที่ทั้งสามคนยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา จื่อหลัวและช่าจื่อก็ประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไปแล้ว ไม่ต้องเอ่ยอะไร หญิงแก่ที่รู้เวลาพักผ่อนช่วงนี้ของนางดีพวกนั้นก็ได้หยุดเกี้ยวลงด้านนอก มี่เอ๋อร์ขึ้นเกี้ยวก็เริ่มงีบหลับทันที พวกหญิงแก่ควบคุมความเร็วอย่างเหมาะสม ให้นางสามารถหลับอย่างสบายในเกี้ยวได้
————–
“นาง…นาง…” รอจนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไป จงอิ้งซีจึงค่อยหวนสติกลับมา แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ตกตะลึงงงันอยู่ค่อนวัน จงฉิงเฟิงและหยางรุ่ยเฟิงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด ล้วนเผยหน้าอย่างไม่อาจเชื่อ นางไปเช่นนี้จริงๆ? ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเกินไปแล้วกระมัง!
“เอ๋ มี่เอ๋อร์ไม่อยู่หรือ?” หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นเกี้ยวไปก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยรอยยิ้มเบิกบาน จงใจกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ
“ฮูหยินซั่งกวนมาแล้วหรือ!” จงอิ้งซีคารวะแก่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ จากนั้นก็กล่าวอย่างเรียบเย็น “ฮูหยินมาช้าไป มารยาทของสะใภ้ใหญ่กลับไม่เท่าใด ทิ้งให้ข้าอยู่ที่นี่ ตัวเองก็กลับไปนอนเสียแล้ว!”
“มี่เอ๋อร์กลับไปนอนแล้ว?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยใบหน้าโล่งใจ กล่าวยิ้มๆ “ข้าจะมาบอกว่าถึงเวลาพักผ่อนของมี่เอ๋อร์แล้ว กังวลว่านางจะไม่กลับไปพักผ่อนแต่โดยดีจึงเข้ามา นางกลับไปก็ดีแล้ว!”
นี่มันคำพูดอะไรกัน? นางไม่ได้มาดูแขก แต่เข้ามาไล่แขกอย่างนั้นหรือ? จงอิ้งซีชะงักกับคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่คนที่เผชิญหน้าไม่เหมือนเดิมแล้ว นางก็ไม่กล้าพูดตามใจอะไร
“ที่แท้ฮูหยินมาไล่แขก!” หยางรุ่ยเฟิงเพิ่งถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยั่วโทสะ ได้ฟังคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ใบหน้าจึงมืดมนจนไม่รู้จะมืดมนอย่างไรแล้ว
“คงไม่ถึงกับไล่แขกกระมัง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยยิ้มเรียบนิ่ง “มี่เอ๋อร์ในยามนี้ไม่ได้ตัวคนเดียว อ่อนเพลียง่าย การพักผ่อนของนางสำคัญที่สุด อย่างอื่นย่อมไม่สำคัญทั้งนั้น พวกท่าน เวลาก็ผ่านมาไม่น้อยแล้ว ไม่ทราบว่าพวกท่านจะกินอาหารเย็นที่ตระกูลซั่งกวน หรือว่า…”
ไล่แขกแล้วอย่างไร? นี่ก็เริ่มแล้วเถอะ! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีกำลังเหลือเฟือกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เพราะไม่มีความแค้นอะไรกับคนตรงหน้า น้ำเสียงจึงไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนั้น
“มาลี่โจวทั้งที จะอย่างไรก็ต้องพบหน้ากับผู้นำตระกูลซั่งกวนเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็เกินไปแล้ว!” แม้จะมาถึงเวลานี้แล้ว กระทั่งจงฉิงฟิงยังอยากจะถอยกลับ หยางรุ่ยเฟิงกลับไม่อยากยอมแพ้ เขาไม่เชื่อ ต่อหน้าพ่อลูกซั่งกวนฮ่าว เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยังสามารถเผยใบหน้าดุดันเช่นนั้นได้ ขอเพียงแค่นางมีท่าทีอ่อนลงต่อหน้าสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าว พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสได้แล้ว
“เช่นนั้นขอเชิญทั้งสามท่านไปพักผ่อนในห้องรับรองแขกก่อนเถิด เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น ข้าจะไปเชิญพวกท่านทั้งสามด้วยตัวเอง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเกลียดชังพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ตระกูลซั่งกวนให้คนกินข้าวหนึ่งมื้อก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอันใด จึงตอบรับไป นางยังอยากเห็นว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะระบายโทสะแทนมี่เอ๋อร์หรือไม่!
———————————–