“ท่านพ่อ ปล่อยให้พวกเขาจากไปเช่นนี้ จะง่ายต่อพวกเขาไปหรือเปล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่พอใจวิธีของซั่งกวนฮ่าเท่าไรนัก ในความคิดของเขาคนพวกนี้ควรถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเสียหน่อย จากนั้นก็ให้พวกเขาจากไปอย่างทุลักทุเล หมดสง่าราศี ไม่กล้าจะก้าวเท้าเข้ามาเหยียบลี่โจวไปตลอดกาล ภายหลังเจอคนตระกูลซั่งกวนต้องหลีกทางสามฉื่อจึงจะนับว่าคลายโทสะได้
“คนที่ล่วงเกินตระกูลซั่งกวนมีจุดจบเพียงสองอย่าง หนึ่งคือถูกลงโทษทันที ก็เหมือนที่เจ้าคิดอยากจะทำ จัดการพวกเขาอย่างสบายๆ แต่อีกอย่างกลับไม่เหมือนกัน พวกเราสามารถทำให้พวกเขาสูญเสียของที่พวกเขารักที่สุดไปอย่างช้าๆ ให้พวกเขาค่อยๆ ต่อสู้ดิ้นรน” ซั่งกวนฮ่าวนั้นใจกว้าง เอาอกเอาใจคนในครอบครัว บางครั้งถึงขนาดอ่อนโยนอยู่บ้าง แต่คนอื่นกลับเข้มงวดและเย็นชา แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจดีมีเมตตากับศัตรู
“ความหมายของท่านก็คือกัดกินแผนการที่อ๋องรุ่ยและตระกูลจงวางแผนหลายปีมานี้อย่างช้าๆ ทีละเล็กทีละน้อย?” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มออกมา บทสรุปเช่นนี้สำหรับตระกูลจงและอ๋องรุ่ยที่คิดว่าตัวเองสูงส่งนั้นยังน่าเศร้ากว่าให้เขาไปตายตรงๆ เสียอีก
“ตระกูลซั่งกวนไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการขุนนาง นี่เป็นกฎที่มีมาแต่ช้านาน อำนาจของตระกูลจงและอ๋องรุ่ยก็ไม่อยู่ในสายตาข้าเช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่ามีคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้” ซั่งกวนฮ่าวส่ายศีรษะ ตระกูลซั่งกวนไม่ข้องเกี่ยวกับขุนนาง นี่ไม่เพียงเป็นคำสอนของบรรพบุรุษ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคนของตระกูลซั่งกวนล้วนรู้หลักการ ‘ได้อย่างเสียอย่าง’ เป็นอย่างดี อยากจะเหมือนตระกูลมู่หรง มีกำลังอำนาจที่ตายตัวในยุทธภพและราชสำนัก สำหรับตระกูลซั่งกวนใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว หากไม่กระทบกับตำแหน่งและความแข็งแกร่งในยุทธภพของตระกูลซั่งกวนยามนี้ ก็อาจจะทำให้ตระกูลใหญ่อื่นๆ เกิดความไม่พอใจและมีศัตรูคู่แค้นร่วมกันได้ สำหรับตระกูลซั่งกวนแล้วไม่นับว่าเป็นเรื่องดี
“ข้าเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้เช้าตรู่ข้าจะเขียนจดหมายหาท่านลุงมู่หรง ท่านลุงชุยและท่านลุงอิ๋ง ข้าคิดว่าพวกเขาล้วนยินดีที่จะออกหน้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ กำลังหลักของราชสำนักอยู่ที่ตระกูลหลี่และตระกูลหวังมาโดยตลอด แต่ตระกูลชุย ตระกูลอิ๋ง ตระกูลมู่หรงและตระกูลทั่วป๋าก็ไม่ยอมให้ราชสำนักอยู่ภายใต้ตระกูลหลี่และตระกูลหวังสองตระกูลอยู่เรื่อยมา พวกเขาห้ำหั่นกันในราชสำนักอย่างไม่หยุดพัก หากรู้เรื่องนี้ ย่อมยินดีจัดการอ๋องรุ่ย ทั้งถือโอกาสแบ่งกำลังจากตระกูลจง หากข้อมูลของตระกูลซั่งกวนไม่ผิด อ๋องรุ่ยนั้นได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหวัง และตระกูลจงและตระกูลหลี่ก็มีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนเช่นกัน หากไม่ใช่ว่าทั้งสองตระกูลล้วนคิดจะเอาความดีความชอบให้กับตัวเอง ทั้งมีความเห็นต่างอยู่ภายใน ก็อาจจะยังมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะทำการใหญ่สำเร็จ
“นี่ก็ถูกแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวพยักหน้า ตระกูลซั่งกวนปักหลักในยุทธภพ ภายหลังก็เพียงขยายอำนาจในยุทธภพเท่านั้น เขาย่อมหวังให้ตระกูลมู่หรงและตระกูลทั่วป๋าพุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงของราชสำนัก เว้นที่ว่างทางยุทธภพออกมา
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปิดปากขำ พ่อลูกสองคนนี้เหมือนกันจริงๆ เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วซั่งกวนเจวี๋ยยังคงวางแผนไม่ละเอียดรอบคอบเท่าซั่งกวนฮ่าว ก็ไม่รู้ว่าหลังจากหมิงเอ๋อร์เติบโตแล้วจะเก่งกว่านี้หรือไม่?
ซั่งกวนเจวี๋ยเพิ่งจะเขียนจดหมายไม่กี่ฉบับเสร็จ มอบให้เยี่ยนเซียงให้เขากำชับคนส่งออกไป ซั่งกวนอี้กลับนำคำสั่งของท่านบรรพชนเข้ามา ให้ซั่งกวนฮ่าวพาสองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ยและเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เดินทางมาเรือนพำนักอวี้ฉิงทันที มีเรื่องที่จะปรึกษาหารือกับพวกเขา ไม่อาจชักช้าได้
พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้วสบสายตากัน ไม่รู้ว่าตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ท่านบรรพชนร้อนใจและระแวดระวังเช่นนี้ ด้านมี่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วแน่น นึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีวันนั้นขึ้นมาโดยพลัน หรืออ๋องเหยี่ยนก็มาเช่นกัน?
นางไม่ได้ปริปากกล่าวอันใด เก็บซ่อนไว้ลึกในใจอย่างระมัดระวัง แม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ล้วนไม่รู้ว่านางมีอะไรอยู่ในใจ ขึ้นรถม้าท่ามกลางสายตาที่คิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ มุ่งหน้าไปทางเขาอวี้ฉิง
—————-
“ท่านบรรพชน ไม่ทราบว่ามีเรื่องเร่งด่วนอันใด?” แม้ซั่งกวนฮ่าวจะตกใจที่ท่านบรรพชนเรียกพบตนเองและสองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ยที่ห้องโถงหลัก (ยามที่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ถึงเรือนพำนักก็ถูกพวกเด็กๆ ไม่กี่คนหลอกล่อไปเล่นด้วยกันแล้ว) ทว่าใบหน้ากลับไม่เผยท่าทีผิดแปลกอันใด
“เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง!” จากใบหน้าของท่านบรรพชนไม่ปรากฏข้อมูลใดแม้แต่น้อย เขาดูไม่แตกต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง เพียงแต่เผยยิ้มมองทุกคน “เช้าตรู่เมื่อวาน เรือนพำนักอวี้ฉิงมีแขกไม่กี่คนมาเยือน “พวกเขาพูดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกับข้าและบรรดาผู้อาวุโสทุกคน หวังให้พวกเราสามารถเข้าใจพวกเขา ตัดสินใจแทนพวกเขา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเรียกมี่เอ๋อร์เข้ามาด้วยกัน”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่เผยยิ้มเล็กน้อยให้ท่านบรรพชน แสดงออกมาว่าตัวเองพร้อมฟังแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว นางและท่านบรรพชนพูดคุยทักทายกันมาหลายครั้ง รู้ว่าชายชราผู้นี้ไม่รู้เพราะเหตุใด จึงมีความรู้สึกดีๆ ให้ตัวเอง เชื่อว่าหากมีเรื่องอะไร แม้เขาจะไม่ถึงกับเข้าข้างตัวเอง แต่ก็คงให้โอกาสและเวลากับตัวเอง ในใจย่อมไม่กังวลแม้แต่น้อย
“ส่วนเรื่องอะไรนั้น อย่างไรเชิญแขกทุกคนเข้ามา ให้พวกเขาพูดเองน่าจะเหมาะสมกว่า” หลังจากท่านบรรพชนเห็นรอยยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ส่งแววตาปรารถนาดีกลับให้นาง แต่ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษกับนาง กลับเริ่มประเด็นสำคัญทันที
“เชิญแขกผู้มีเกียรติ!” ผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องโถงกล่าวเสียงดังขึ้นทันที ทั้งสามคนอดพุ่งสายตาไปที่ประตูไม่ได้ อยากจะรู้ว่าแขกที่ว่าคือผู้ใดกัน
“ท่านบรรพชน!” ผู้อาวุโสหกเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ท้องโตอย่างเห็นได้ชัด จึงกล่าวทั้งขอร้องอยู่บ้าง “สะใภ้ใหญ่กำลังตั้งครรภ์ ให้ยืนอยู่อย่างนี้ในห้องโถงย่อมจะเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก อย่างไรขอท่านบรรพชนมอบเก้าอี้ให้นางหน่อยเถิด!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ผู้อาวุโสเถากล่าวคล้อยตามทันที “สะใภ้เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าเข้ามานั่งกับปู่เถาตรงนี้เถิด!”
“เจ้าอยู่นิ่งๆ ให้ข้าหน่อยเถิด!” ท่านบรรพชนชำเลืองสายตามองผู้อาวุโสเถา หลังจากทำให้เขาเงียบลงอย่างไม่พอใจแล้วก็กล่าว “ผู้นำตระกูล พวกเจ้าทั้งสามประจำที่นั่งให้หมดเสีย!”
“ขอบคุณท่านบรรพชน!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวขอบคุณ จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งลงทันที ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกังวลไปที กลับพบว่านางส่งยิ้มไร้กังวลให้เขากลับมา รู้ว่านางไม่ได้กังวลหวาดกลัวอะไร เขาจึงวางใจลง
พวกเขาเพิ่งหย่อนกายลงนั่ง ผู้ชายสามคนก็เข้ามาในห้องโถงทันที พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้วพร้อมกัน…แม้จะไม่รู้ว่าพ่อลูกที่สง่างามคล้ายกันถึงห้าส่วนคู่นั้นเป็นใคร แต่คนที่มากับพวกเขากลับคุ้นตาเป็นอย่างมาก รูปร่างอ้วนท้วม รอยยิ้มที่ประจบประแจงบนใบหน้า ทั้งลูกตาที่กลอกไปมายุ่งเหยิง เป็นนายท่านเยี่ยน บิดาที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี ปลายปีนั้นที่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ถือกำเนิด นายท่านเยี่ยนได้มาที่ลี่โจว คุณหนูเจ็ดตระกูลเยี่ยนแต่งเป็นภรรยาเอกให้ลูกอนุของตระกูลหวัง เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงได้พบหน้าเขาครั้งหนึ่งตามมารยาทเช่นกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจออีกแล้ว
แต่ว่า ไฉนเขาจึงมาปรากฏตัวที่เรือนพำอวี้ฉิงได้? ทั้งพ่อลูกคู่นั้นคือใคร?
ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบทั้งสามคน แทบไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าพ่อลูกคู่นั้นคืออ๋องเหยี่ยนในอดีต หรือเซียวเหยาโหวในยามนี้ แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือเหตุใดนายท่านเยี่ยนถึงมาจับพลัดจับผลูอยู่กับพวกเขาได้ หรือพวกเขาทำข้อตกลงอะไรร่วมกัน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอย่างขมขื่นอยู่บ้าง
“ผู้นี้คือเซียวเหยาโหว ท่านโหว[1]หยาง หยางมู่หลิน ส่วนผู้นี้คือลูกชายคนโตของท่านโหว ท่านโหวน้อย หยางรุ่ยหนาน อีกคนนั้นข้าไม่จำเป็นต้องพูด พวกเจ้าก็คุ้นเคยดีแล้วกระมัง บิดาของมี่เอ๋อร์ นายท่านเยี่ยนผู้มั่งคั่ง” ท่านบรรพชนกล่าวอย่างง่ายๆ “เมื่อวานเช้าตรู่พวกเขาทั้งสามเข้ามาด้วยกัน พูดเรื่องหนึ่งกับข้าและผู้อาวุโสทุกคน อยากให้พวกข้าตัดสินใจให้กับพวกเขา“
“ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเซียวเหยาโหว หยางมู่หลินที่ดูเหมือนว่าตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาล้วนมีแต่ความซาบซึ้งใจ น้ำตาคลอเบ้ามองมี่เอ๋อร์ ท่าทีเช่นนั้นคล้ายกับพบคนในครอบครัวที่พรากจากกันไปนานก็มิปาน ดูออกมาจากใจจริงเป็นอย่างมาก ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยอดขนลุกขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้ ด้านมี่เอ๋อร์คล้ายกับมองไม่เห็น เพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อย จดจ้องไปที่นายท่านเยี่ยน
“มี่เอ๋อร์…” ไม่รอให้ท่านบรรพชนได้พูดอะไร หยางมู่หลินก็ใช้น้ำเสียงที่แฝงความลึกซึ้งร้องเรียกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ลึกซึ้งจนทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดสั่นสะท้านไม่ได้ เบนสายตาไปยังผู้ชายที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมารดาผู้นี้ทันที
“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แต่อย่างไรขออย่าได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาเรียกชื่อของข้า สำหรับข้าแล้วเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างหนึ่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างเยือกเย็น มีความรู้สึกขยะแขยงพรั่งพรูออกมายิ่งกว่ายามที่พบพวกจงฉิงเฟิงเสียอีก
“มี่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าข้าทำผิดต่อพวกเจ้าสองแม่ลูก ข้าก็รู้ว่าในใจเจ้าย่อมเกลียดชังข้าเป็นอย่างมาก ข้าไม่ขอให้เจ้าให้อภัย ขอเพียงแค่ชีวิตที่เหลืออยู่ของข้าสามารถเห็นเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ข้าก็พอใจแล้ว!” ความอบอุ่นของหยางมู่หลินไม่ได้ถูกคำพูดเย็นชาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์รบกวนแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขายิ่งดูอบอุ่นขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ในน้ำเสียงของเขายังแฝงไปด้วยความละอายใจและเศร้าสร้อยอยู่เลือนราง หากคนในห้องโถงไม่ได้มีแต่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ก็คงจะมีหลายคนที่แสดงความเห็นใจต่อเขาไปแล้ว แต่ยามนี้ ทุกคน(ยกเว้นคนสองคนด้านข้างเขา)ล้วนมองเขาอย่างเยียบเย็น กระทั่งขนตายังไม่กะพริบแม้แต่น้อย
“ท่านบรรพชน ดูท่าท่านเรียกมี่เอ๋อร์เข้ามาพบย่อมเกี่ยวข้องกับท่านโหวหยางผู้นี้ มี่เอ๋อร์อยากรู้ว่าตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ อย่างไรขอท่านบรรพชนคลายความสงสัยด้วย” มี่เอ๋อร์ดึงสายตาที่เยือกเย็นกลับมา กล่าวกับท่านบรรพชนอย่างนอบน้อม ท่าทีที่กระทั่งพูดก็ยังไม่อยากจะพูดกับเขานั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเองดูแคลนและรังเกียจเขาอย่างชัดเจน
“ท่านโหวหยางพาท่านโหวน้อยขึ้นเขามาพูดเรื่องสำคัญที่เก็บไว้ในใจกับข้าและทุกคนว่า มี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกสาวของเขาและจงเสวี่ยฉิง ในยามนี้เขาป่วยหนักไร้ทางรักษา มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน หวังว่ายามที่ยังมีชีวิตจะสามารถทำความปรารถนาให้สำเร็จ ให้มี่เอ๋อร์ได้รู้จักบรรพบุรุษ” คำพูดของท่านบรรพชนทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น นางไม่แปลกใจที่หยาง มู่หลินอยากจะตีสนิทกับตัวเอง ท่านแม่เคยพูดไว้ ป้าเซียงอาจจะเป็น ‘หูตา’ ของเขา การกระทำทั้งหมดของตัวเองย่อมอยู่ในสายตาเขา เช่นนั้นยามนี้ย่อมเป็นโอกาสดี…ฮ่องเต้ดูเหมือนผิดปกติอยู่บ้าง อ๋องรุ่ยคิดอยากจะครองบัลลังก์ออกตามหาพวกพ้องและรวบรวมอำนาจไปทุกที่ ตำแหน่งรัชทายาท แม้จะมั่นคง แต่ก็ไม่อาจประเมินอ๋องรุ่ยต่ำไปได้ สำหรับเขา สถานการณ์นั้นดีอยู่มาก หมิงเอ๋อร์ถูกกำหนดให้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลซั่งกวน ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ตัวเองยืนอย่างมั่นคงในตระกูลซั่งกวน แต่ยังมีลูกในท้องอีกคน ยามนี้หากไม่ออกมา ก็ไม่ใช่นิสัยของเขาแล้ว แต่ว่า ไฉนเขาจึงพูดคำโกหกหลอกลวงเช่นนั้นออกมาได้ ไม่เพียงเป็นการดูหมิ่นตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ยังเป็นการล่วงเกินท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว
ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยล้วนขมวดคิ้ว มองนายท่านเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างเอาแต่คล้อยตามอย่างเดียว ก่อนจะมองหยางมู่หลินที่เผยท่าทีลึกซึ้งและรู้สึกผิด รวมทั้งหยางรุ่ยหนานที่แสดงสีหน้าไม่ชัดเจน กลับใช้แววตาแปลกประหลาดมองมี่เอ๋อร์ พวกเขาดี คนที่อยู่เบื้องหน้าพวกนี้ล้วนรับมือยากกว่าพวกจงฉิงเฟิงอยู่มาก เพียงแต่…มี่เอ๋อร์อาจจะเป็นลูกสาวของเขาอย่างนั้นหรือ?
———————————–
[1] โหว หนึ่งในชั้นบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์หกชั้นได้แก่ อ๋อง,กง, โหว, ป๋อ, จื่อและหนาน