“นายท่าน ต้องโทษมี่เอ๋อร์ที่ไม่ระวัง รู้ทั้งรู้ว่าพวกหยางมู่หลินซุ่มรอโจมตีอยู่ที่มืด มีแผนร้าย แต่กลับไม่ได้ส่งคนไปคุ้มครองความปลอดภัยของท่านและคนในครอบครัว” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดประโยคนี้ ในใจล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นายท่านเยี่ยนมีบุตรสาวเจ็ดคน เพิ่งจะได้บุตรชายเพียงคนเดียวหลังล่วงสู่วัยกลางคน ดูแลประคบประหงมมาตลอด ยามนี้กลับเสียลูกชายไป สำหรับเขาคงเป็นการกระทบกระเทือนที่รุนแรงมาก!
“พวกเขาจะปรากฏตัว จะต้องลงมือ ข้าเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว!” นายท่านเยี่ยนหยุดฝีเท้าลง มองใบหน้าที่รู้สึกผิดของลูกสาว “ความเกี่ยวข้องของหยางมู่หลินและแม่ของเจ้า แม้ข้าจะไม่ได้เข้าใจมากมายเท่าใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าไม่กระจ่างชัดเรื่องในอดีตของแม่เจ้าว่ามีเรื่องอะไรขึ้นกับนางที่เซิ่งจิงบ้าง แต่ว่ายามที่ป่วยหนัก แม่ของเจ้าเคยพูดปัญหาของเซียงหลิงกับข้ามาก่อน ทั้งเคยเอ่ยถึงหยางมู่หลินคนผู้นี้เช่นกัน”
เขารู้? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนายท่านเยี่ยนอย่างตกใจ ในเมื่อเขารู้ เหตุใดจึงไม่มีการเตรียมตัวแม้แต่น้อย? ทำให้เจ้าแปดต้องตกอยู่ในมือพ่อลูกหยางมู่หลิน ทั้งทำให้ตัวเองตกอยู่ในมือพ่อลูกจอมหลอกลวงคู่นั้น
“คาดไม่ถึงใช่หรือไม่?” นายท่านเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงพ่อสามารถหลบหลีกเรื่องพวกนี้ได้ แต่ว่า…หลบหลีกครั้งนี้ แล้วครั้งหน้าเล่า? อย่างไรพวกเขาก็อยู่ในมุมมืด ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการอะไร แต่ข้าเชื่อว่าการที่พวกเขาจะไปถึงเป้าหมายย่อมมีส่วนที่ข้าจำเป็นต้องร่วมมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงไม่มีความจำเป็นต้องป้องกันอะไร พลิกแพลงตามสถานการณ์จึงจะนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด!”
“แต่ความสูญเสียก็มากเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกไม่ถึงว่านายท่านเยี่ยนจะรู้เรื่องหยางมู่หลินตั้งนานแล้ว ทั้งคาดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นแผนซ้อนแผนของเขา แต่ว่า ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเยี่ยนต้องจบชีวิตลงเพราะเหตุนี้ การสูญเสียนับว่ามากเกินไปแล้ว
“ที่จริงข้าก็รู้ว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมแพ้ สิ่งที่เหนือความคาดหมายเพียงหนึ่งเดียวคือพวกเขามีความอดทนเช่นนี้ รอจน หมิงเอ๋อร์เข้ามายังเรือนพำนักอวี้ฉิง รอหลังจากเจ้าอยู่ในตำแหน่งที่คนอื่นไม่อาจแทนที่ได้ในตระกูลซั่งกวนจึงค่อยปรากฏตัวออกมา” นายท่านเยี่ยนตบมือลูกสาวเบาๆ กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจจนเกินไป กล่าวทั้งสั่นศีรษะยิ้มๆ “เจ้าแปดก็จากไปแล้ว ชีวิตของข้าได้ถูกกำหนดให้ไม่มีลูกชายไปส่งศพ ข้าเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว”
“นายท่าน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกกังวลในใจอยู่บ้าง นางนั้นมีความสัมพันธ์ห่างเหินกับลูกของอื่นๆ ของนายท่านเยี่ยน น้องหกและน้องเจ็ดยิ่งไปทางขัดแย้งกันด้วยซ้ำ กล่าวหยั่งเชิง “บางทีท่านอาจจะรับอนุ…”
“มี่เอ๋อร์ ข้าพูดว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร!” นายท่านเยี่ยนยิ้มทั้งสั่นศีรษะ “ขอเพียงเจ้าสามารถอยู่ดี สุขสบาย ข้าก็ยินดีที่จะละทิ้งทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเจ้า!”
เขาสะเทือนใจจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแววตาและสีหน้าของนายท่านเยี่ยนอย่างระมัดระวัง คาดเดาว่าท่าทีเช่นนี้มีโอกาสจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ในช่วงชีวิตคนสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือคนผมขาวต้องเป็นคนส่งศพคนผมดำ นายท่านเยี่ยนคงไม่ได้เศร้าเสียใจจนถึงขีดสุด ดังนั้น…
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ปกติดี ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย” นายท่านเยี่ยนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจลูกสาวกำลังคิดอะไรอยู่ กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “เจ้าแปดไม่ใช่ลูกชายของข้า เรื่องนี้ข้ารู้ดี แม่ของเจ้ารู้ ยามนี้เจ้าก็รู้เช่นกัน!”
“แต่ว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไร้ทางที่จะเชื่อ ลูกที่ทำให้นายท่านเยี่ยนเห็นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ อยากจะเอาของดีทั้งหมดในใต้หล้ามอบให้กับเขา แล้วจะไม่ใช่น้องชายของตัวเอง ลูกชายของเขาได้อย่างนั้นหรือ? นี่เทียบกับกล่าวว่านางไม่ใช่ลูกสาวของนายท่านเยี่ยนยังจะยากให้คนเชื่อยิ่งกว่า นางจะรับคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?
“มี่เอ๋อร์ ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด?” นายท่านเยี่ยนถามอย่างสบายๆ
“ยี่สิบแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว หรือกระทั่งอายุของตัวเองนายท่านเยี่ยนก็ยังไม่รู้อย่างนั้นหรือ?
“ใช่แล้ว…เจ้ายี่สิบปีแล้ว เจ้าหกเจ้าเจ็ด คนหนึ่งอายุน้อยกว่าเจ้าสี่เดือน อีกคนน้อยกว่าครึ่งปี แต่เจ้าแปดล่ะ? น้อยกว่าเจ้าสิบปีเต็มๆ ระยะเวลาแปดเก้าปีพ่อไม่ได้มีทายาทแต่อย่างใด ไฉนอนุภรรยาหกจึงสามารถเพิ่มเด็กชายตัวอ้วนกลมคนหนึ่งให้พ่อได้ล่ะ?” นายท่านเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไท่ไท่กลับพูดได้ว่าอายุมากแล้ว แม่ของเจ้าก็พูดได้ว่าประสบภาวะคลอดบุตรยากจึงหลงเหลือโรคเอาไว้ แต่ว่าอนุภรรยาคนอื่นๆ ล่ะ? อนุภรรยาสองและอนุภรรยาสามอายุไม่ห่างจากไท่ไท่มาก แต่อนุภรรยาสี่ อนุภรรยาห้าและอนุภรรยาหกกลับมีอายุไล่เลี่ยกัน กระนั้นหลังจากพวกนางคลอดเจ้าหกเจ้าเจ็ดก็ไม่ได้เพิ่มลูกสาวหรือลูกชายให้ตระกูลเยี่ยนอีกเลย นี่เพราะเหตุใด?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ปริปากอันใด ไท่ไท่เป็นภรรยาเอกของนายท่านเยี่ยน อนุภรรยาสองและอนุภรรยาสามเป็นสาวใช้สินเดิมของนางที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา หลังจากที่จงเสวี่ยฉิงแต่งเข้าตระกูล เพื่อให้นายท่านเยี่ยนมีความสนใจต่อจงเสวี่ยฉิงน้อยลง จึงซื้อตัวอนุภรรยาสี่และอนุภรรยาห้ากลับมา ล้วนเป็นหญิงสาวงดงามและมีเสน่ห์ยั่วยวน อนุภรรยาหกกลับเป็นลูกสาวขุนนางต้องโทษที่ถูกเนรเทศออกมา ทั้งเป็นไท่ไท่ที่ซื้อตัวกลับมา แต่หลังจากนางให้กำเนิดบุตรชาย เพื่อชิงลูกมาไว้ในมือ ไท่ไท่จึงลอบลงมือจัดการนาง
“พวกเจ้าล้วนไม่รู้สึกแปลกอันใด ไท่ไท่ยังคิดว่าอนุภรรยาสี่อนุภรรยาห้าไปตกหลุมพรางอะไรเข้า ดังนั้นจึงไม่ให้กำเนิดบุตรออกมา ที่จริง ปัญหาเกิดจากตัวข้า!” คำพูดของนายท่านเยี่ยนทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ่งงุนงง เขามีปัญหาอันใด?
“เจ้าอาจจะไม่รู้ ก่อนที่ข้าจะแต่งกับแม่ของเจ้าได้ทำข้อตกลงกับนาง ข้ารับปากนางว่า ลูกชายคนแรกของพวกเราจะใช้สกุลตามมารดา มอบเขาให้แก่ตระกูลจง ทั้งนับว่าเพื่อให้ตระกูลจงของพ่อตาแม่ยายได้เหลือผู้สืบสกุล ให้พวกเขาสามารถตายตาหลับ แต่ข้าก็ผิดคำสัญญา เพราะเรื่องนี้แม่ของเจ้าและข้าทะเลาะกันไปไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ทุกครั้งที่นึกขึ้นมาก็มักจะไล่ข้าออกไป…” ยามที่นายท่านเยี่ยนพูดขึ้นมาใบหน้าล้วนมีแต่ความหวานซึ้ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรแม่ของเจ้าล้วนมีท่าทีอ่อนโยน แม้ว่าจะโมโห ก็เพียงทำหน้านิ่งไม่สนใจใครเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่ข้าไม่อาจให้กำเนิดลูกได้อีกก็จะระเบิดอารมณ์ออกมา ลืมรักษาความอ่อนโยนนุ่มนวลเสียสิ้น ตำหนิเสียงดัง…”
ในความทรงจำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มีบางครั้งที่ท่านแม่ตะโกนเสียงดังจริงๆ ทุกครั้งที่ถึงยามนั้น นายท่านเยี่ยนมักจะหลบไปอย่างเศร้าหมอง กระทั่งหว่านล้อมก็ยังไม่กล้า นั่นเพราะอะไรกัน?
“ยามที่แม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้าประสบภาวะคลอดบุตรยาก ร่างกายของนางอ่อนแอ แทบที่จะประคองชีวิตไว้ไม่ได้!” ยามที่นายท่านเยี่ยนหวนนึกก็ยังคงหวาดกลัว กล่าวทั้งถอนหายใจ “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเฝ้าอยู่นอกห้องคลอด ทั้งนับเป็นเพียงครั้งเดียวด้วย ข้าเห็นพวกสาวใช้แม่นมยกชามเลือดออกมาถ้วยแล้วถ้วยเล่า ได้แต่เกลียดตัวเองเป็นอย่างมาก อยากจะย้อนเวลากลับไป หากเป็นเช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจทำให้แม่ของเจ้าตั้งท้อง”
“แม่ของเจ้าดวงแข็ง หลังจากเจ็ดแปดชั่วยามก็ให้กำเนิดเจ้า แต่นางต้องนอนรักษากว่าสองปีจึงค่อยฟื้นฟูพลังชีวิตขึ้นมาได้ ปีนั้น นางพาเจ้าไปจุดธูปไหว้พระที่วัด ครั้งนั้นที่พบกับฮูหยินซั่งกวน เป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้านหลังจากให้กำเนิดเจ้า ก่อนหน้านั้น นางเอาแต่แต่ป่วยติดเตียงอยู่ปีกว่า และหลังจากนางฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาคาดไม่ถึงว่าจะเรียกร้องอยากเพิ่มน้องชายและน้องสาวให้เจ้า ข้าไม่เห็นด้วย จึงลองให้นางใช้ยาคุมกำเนิด…” ยามที่นายท่านเยี่ยนพูดขึ้นมาก็เผยสีหน้าจนใจ สั่นศีรษะทั้งถอนหายใจ “แต่เจ้าก็รู้ว่า แม่ของเจ้าฉลาดหลักแหลมขนาดไหน ยาคุมกำเนิดพวกนั้นถูกนางมองออก ทำลายยาพวกนั้นลงต่อหน้าของข้า ทำให้ข้ารู้ว่าคิดจะลอบวางแผนกับนางนั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงให้หมอจ่ายยาให้ข้า”
ก็หมายความว่านายท่านกินยาบางอย่างแทน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนายท่านเยี่ยนอย่างตกใจ นางไม่กล้าเชื่อเรื่องเช่นนี้ นายท่านเยี่ยนไม่มีพี่น้องคนอื่น และเพื่อไม่ให้ท่านแม่ตั้งท้อง คาดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องคุมกำเนิดตัวเอง แทบที่จะเป็นเรื่องทรยศต่อตระกูลโดยสิ้นเชิง
“ภายหลังกินยามากไป ข้าก็ไม่อาจมีลูกได้อีก เจ้าเจ็ดจึงจะนับว่าเป็นลูกที่อายุน้อยที่สุดของข้า” นายท่านเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเสียใจมากมาย กล่าวยิ้มๆ “ดังนั้น ทุกครั้งที่แม่เจ้านึกถึงเรื่องที่ตัวเองไม่อาจให้กำเนิดได้อีกจึงบันดาลโทสะออกมา และเวลานั้นข้าก็ทำได้เพียงหลบนางไปอย่างซึมๆ เท่านั้น”
“เช่นนั้นเจ้าแปด…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่กล้าเชื่อ ลูกชายที่ทำให้นายท่านเยี่ยนรักและเอ็นดูขนาดนั้น ทำให้ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขากลับไม่ใช่สายเลือดเขาเสียอย่างนั้น
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกของใคร ทั้งไม่มีใจจะไล่เค้นความจริง!” นายท่านเยี่ยนยักไหล่ “ข้ารู้ว่ายามที่นางตั้งท้อง เดิมทีก็คิดจะขายนางออกไป ป้องกันไม่ให้อยู่ขายหน้าขายตาในตระกูล แต่แม่ของเจ้าขอความเห็นใจ กล่าวว่านางเป็นคนน่าสงสาร รอให้นางกำเนิดเด็กก่อน จะจัดการนางก็ไม่สาย คาดไม่ถึงว่าจะคลอดลูกชายออกมา และไท่ไท่กลับคิดว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ไม่ได้รอให้ข้าจัดการอนุภรรยาหก นางก็ชิงจัดการก่อน เลี้ยงเด็กให้อยู่ข้างกายตัวเอง เพื่อเป็นที่พึ่งพิง ข้าคิดว่าก็ดี ข้าไม่มีลูกชาย ทั้งไม่อาจมีลูกได้อีก แทนที่จะรับลูกคนอื่นมา ยังมิสู้เลี้ยงเด็กคนนี้เป็นลูกชาย อีกอย่างมีลูกชายเช่นนี้ ก็สามารถป้องกันปัญหาบางอย่างที่ไม่จำเป็นให้เจ้าได้ จึงปิดบังเรื่องนี้ไว้เรื่อยมา”
เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้นกระมัง! จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกถึงมารดาที่เอาแต่สั่งสอนตัวเอง ให้ตัวเองเปิดเผยจุดอ่อนที่สามารถทำให้คนรับรู้ได้ แต่ไหนแต่ไรนายท่านเยี่ยนก็เห็นเจ้าแปดเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ทั้งยังประคบประหงมขนาดนั้น นั่นไม่ใช่ว่านำเขามาเป็นจุดอ่อนเพื่อให้คนอื่นเห็นได้ชัดหรืออย่างไร หากไม่มีจุดอ่อนนี้ พ่อลูกหยางมู่หลินย่อมไม่อาจเชื่อเขาโดยง่าย ยิ่งไม่อาจคิดว่าเจ้าแปดอยู่ในมือ นายท่านเยี่ยนย่อมจะก้มหน้าก้มตาเชื่อฟังพวกเขา นางสั่นศีรษะ เหตุใดยามนี้จึงดูเหมือนเป็นเขาที่เจ้าเล่ห์ที่สุดเล่า?
“ดังนั้น เจ้าแปดไม่อยู่แล้ว ข้าเสียใจอยู่บ้างจริงๆ อย่าพูดถึงคนที่มีชีวิตเลย แต่แม้จะเป็นหมาแมว เลี้ยงไว้สิบปี จู่ๆ ไม่อยู่แล้วก็เสียใจโศกเศร้าเช่นกัน นี่เป็นหลักธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องเจอ” นายท่านเยี่ยนกลับไม่จำเป็นต้องให้ลูกสาวปลอบเสียแล้ว “แต่ว่า เทียบกันแล้ว ข้ายอมทำผิดต่อเจ้าแปด ดีกว่าต้องเห็นเจ้าบาดเจ็บอันใด เจ้าสามารถอยู่อย่างสงบสุขจึงจะสำคัญที่สุด ข้าจะได้มีหน้าไปพบแม่ของเจ้า”
“ท่านแม่ย่อมรอท่าน” มี่เอ๋อร์กล่าวด้วยใจจริง ไม่ว่าพวกเขาจะไม่เหมาะสมกันเท่าใด ทั้งไม่ว่านายท่านเยี่ยนมีภรรยามากมายขนาดนั้น เพราะบ้ากามมักมากหรือไม่ แต่เขา…เพื่อไม่ให้มารดาตั้งครรภ์อีก ทั้งหลีกเลี่ยงภาวะคลอดบุตรยากที่อาจจะเกิดขึ้น กลับยอมให้ตัวเองไร้ทายาท นั่นได้พิสูจน์แล้วว่าเขามีความรู้สึกที่ลึกล้ำให้มารดาขนาดไหน มีผู้ชายเช่นนี้ สามีเช่นนี้ แม้เขาจะมีข้อเสียมากมายเพียงใดก็สามารถทำเป็นมองไม่เห็นได้
“ประโยคนี้ข้าชอบฟัง” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้มพยักหน้าติดต่อกัน “พวกเราล้วนพูดกันไว้ดีแล้ว ชาติหน้ายังต้องเป็นสามีภรรยากัน แต่ว่า ชาติหน้าข้าจะแต่งกับนางเพียงคนเดียว ทั้งมองนางเพียงคนเดียวเท่านั้น หากกล้าเหมือนชาตินี้ นางย่อมไม่ปล่อยข้าไป พวกเราพูดกันไว้แล้ว ย่อมต้องมีความสุขยิ่งกว่าชาตินี้”
คำพูดนี้เหตุใดจึงคล้ายกำลังกล่าวคำสั่งเสีย? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ มองนายท่านเยี่ยนอย่างกังวล แต่นายท่านเยี่ยนกลับหัวเราะยกใหญ่ “เด็กดี อย่าได้มองพ่อเช่นนั้น พ่อแค่ไม่ได้พูดเรื่องแม่ของเจ้ากับใครมานาน ดังนั้นจึงเสียกิริยาไปบ้างเท่านั้น ข้าไม่อาจทำเรื่องแปลกๆ ออกมาเพราะความรักที่มีมากเกินไปหรอก!”
นั่นก็ดี! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็ชะงัก ความคิดของนางถูกคนมองออกง่ายดายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
“เจ้าเป็นลูกสาวที่ข้าภาคภูมิใจมากที่สุด ข้าเห็นมาจนเติบใหญ่ เจ้าคิดอะไรอยู่ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้มมองลูกสาวที่อ้ำอึ้งไป “แม้พ่อจะมีความกังวลของตัวเอง ไม่อาจใกล้ชิดเจ้าเกินไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่กระจ่างชัดในนิสัยของลูกสาวตัวเอง เจ้าน่ะ ในใจคิดอะไร แม้จะไม่กล้าพูดออกมาทว่าสามารถเดาได้ถึงสิบส่วน แต่เก้าส่วนย่อมไม่มีปัญหาอะไร”
“ท่านพ่อ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำไม่ได้แล้วว่านานเท่าใดที่ตัวเองไม่ได้เรียกเขาเช่นนี้ คล้ายว่าตั้งแต่เล็กนางก็เรียก ‘นายท่าน’ อย่างห่างเหินแล้ว แต่ช่วงเวลานี้ นางเรียกคำห่างเหินเช่นนั้นไม่ออกแล้ว
“พาข้าไปหาหมิงเอ๋อร์เถิด!” แต่ไหนแต่ไรนายท่านเยี่ยนก็ไม่ใช่คนที่อ่อนไหวง่าย เห็นท่าทีเช่นนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง รีบเปลี่ยนประเด็นทันที เขาไม่อยากเล่นฉากพ่อลูกกอดกันร้องไห้ออกมา แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว!
“อื้ม!” เวลานี้จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจอย่างแจ่มชัดขึ้นมาว่านายท่านเยี่ยนคิดอะไรอยู่ พยักหน้าทั้งรอยยิ้ม เดินด้วยฝีเท้าผ่อนคลายมุ่งหน้าไปกับนายท่านเยี่ยน…
———————————–