“ท่านพ่อ ใกล้ถึงเมืองอวิ้นแล้ว ท่านอดทนอีกหน่อย!” หยางรุ่ยหนานเผยใบหน้าซีดขาวกล่าวกับหยางมู่หลินที่ใบหน้าไร้สีเลือดเช่นเดียวกัน ไม่อาจที่จะขี่ม้าเองได้ ทำได้เพียงเปลี่ยนไปนั่งรถม้าเท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่สิบหกหลังออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง ทั้งเป็นวันที่สิบสามที่พวกเขาถูกคนของตระกูลซั่งกวนตามฆ่า สิบสามวันที่ผ่านมาราวกับฝันร้ายฉากใหญ่ ฝันร้ายที่ทำให้หยางรุ่ยหนานล้วนคาดไม่ถึง
เหมือนกับที่ท่านบรรพชนของตระกูลซั่งกวนกล่าว ให้เวลาพวกเขาสามวัน เมื่อหยางมู่หลินออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง หลังจากรวมตัวกับองครักษ์ด้านนอก ก็ออกคำสั่งให้เดินทางทันที หยางรุ่ยหนานกลับไม่คิดเช่นนั้น คิดว่าหยางมู่หลินตื่นตระหนกไปเอง ในความคิดของเขา เขาเป็นลูกหลานของราชวงศ์ แม้ตระกูลซั่งกวนจะเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ก็ไม่อาจส่งคนมาตามฆ่าพวกเขาอย่างไม่สนใจอันใดได้ นั่นต่างอะไรกับการเป็นกบฏ?
“ใครกล่าวว่าพวกเขาไม่อาจส่งคนไล่ตามฆ่าพวกเราอย่างเหิมเกริมได้?” หยางมู่หลินแทบที่จะคำรามเสียงดังใส่ลูกชายที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุด “ยามที่พวกเขากล่าวประโยคนี้ นอกจากพวกเราสองพ่อลูกแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนของตระกูลซั่งกวน พวกเรารู้แจ้งแก่ใจว่ามันเป็นเรื่องอะไร แต่คนอื่นล่ะ? เจ้าคิดว่าตระกูลซั่งกวนจะหลงเหลือเบาะแสอะไรให้กล่าวว่าพวกเขาเป็นคนลงมืออย่างนั้นรึ?”
แน่นอนว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้น! ในที่สุดหยางรุ่ยหนานก็กังวลขึ้นมาบ้าง เขาขมวดคิ้วแน่น “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมากแล้วน่ะสิ? ท่านพ่อ การออกจากตระกูลครั้งนี้ พวกเราไม่อยากให้คนรู้มากมาย จึงพาคนมาไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นส่งคนกลับไปไกล่เกลี่ยก่อนหรืออาจจะเข้าทางฝ่ายท่านอ๋องให้รู้แล้วรู้รอดไป ยืมทหารจากแม่ทัพ…”
“โง่เง่าสิ้นดี!” หยางมู่หลินมองลูกชาย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลูกชายผู้นี้ไม่ได้ฉลาดมากมายถึงขนาดนั้น ก่นด่า “กลับไปไกล่เกลี่ยย่อมไม่ทันแล้ว อีกอย่าง เจ้าคิดว่าตระกูลซั่งกวนจะไม่เตรียมรับมืออะไรเลยรึ? ทางข้างหน้าของพวกเขาย่อมวางกำลังคนไว้แล้ว ส่งคนไปไกล่เกลี่ยก็เหมือนส่งคนไปตาย เท่ากับว่าทำลายแขนขาตัวเอง ส่วนยืมทหารจากคนอื่นนั้น เจ้าไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ พวกเราสามารถยืมทหารจากใครได้? เจ้าและข้าออกจากพื้นที่พระราชทานโดยพลการ หากถูกฮ่องเต้รู้เข้า ย่อมมีความผิด อย่างไรรีบกลับไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
ดังนั้น พ่อลูกหยางมู่หลินที่ไม่มีทางอื่นทำได้เพียงเลือกวิธีเดินทางทั้งวันทั้งคืน หากสามารถไปถึงเมืองอวิ้นเร็วหน่อย พวกเขาก็จะปลอดภัยเร็วขึ้นเท่านั้น
แต่ว่า พวกเขาจะเร็วอย่างไร ก็ไม่อาจเร็วเท่าคนของตระกูลซั่งกวน…ยามที่พวกเขาออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง ซั่งกวนเจวี๋ยก็เคลื่อนกำลังพล ตลอดทางล้วนเริ่มวางกองกำลังไว้ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่สนใจจะจัดการพวกเขาให้ราบคาบในทีเดียวเท่าใด เขารู้สึกว่าใช้มีดทื่อค่อยๆ แล่เนื้อจะดีกว่าอยู่บ้าง
ดังนั้น พลบค่ำในวันที่สี่ พ่อลูกหยางมู่หลินก็ถูกลอบสังหารเป็นครั้งแรก พ่อลูกหยางมู่หลินเตรียมจะพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมข้างทาง กินข้าวกินปลาเสียหน่อยค่อยเดินทางต่อ รวมทั้งองครักษ์ข้างกายห้าสิบคนของพวกเขาที่เพิ่งได้นั่งลงพักหายใจ สิ่งที่บ่าวของโรงเตี๊ยมควรเอามาส่งคืออาหารและสุราที่ร้อนผ่าว ครั้งนี้กลับเป็นมีดที่หมายจะเอาชีวิตคน องครักษ์ที่ไม่ทันตั้งตัวจึงถูกสังหารในเวลานั้นไปกว่าครึ่ง พ่อลูกหยางมู่หลินถูกองครักษ์ที่เหลืออยู่คุ้มกันขึ้นม้าด้วยท่าทีลนลาน พยายามตะบึงม้าหนีจากที่เกิดเหตุโดยไม่สนใจอันใดสุดชีวิต หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม นับจำนวนคนกลับพบว่าหายไปถึงสิบแปดคนเต็มๆ
วันที่ห้า พวกเขาที่ระมัดระวังไม่ได้พบเจอการลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้ง แต่ในอาหารที่พวกเขาซื้อมากลับถูกคนวางยาพิษ…ไม่ได้วางทั้งหมด ในนั้นมีองครักษ์หกคนที่ตายเพราะพิษ ส่วนคนอื่นๆ กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรพ่อลูกหยางมู่หลินก็ไม่เคยกินอะไรเป็นคนแรก ย่อมไม่มีปัญหาอันใด แต่นับแต่นั้นมา ยามที่กินอาหารพวกเขาก็เริ่มระมัดระวังขึ้นมาเป็นพิเศษ กลัวว่าไม่รู้เมื่อใดที่จะถูกเอาชีวิตไป
วันที่หก เข้าสู่ที่พักด้วยความราบรื่น ไม่มีมือสังหาร ไม่มียาพิษ พวกเขาที่อ่อนแรงเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดจึงนอนหลับดีๆ ในโรงเตี๊ยมอย่างวางใจ แต่เมื่อยามที่ฟ้าสว่าง กลับพบว่าองครักษ์สี่คนถูกคนลอบสังหารหน้าประตูโรงเตี๊ยม นั่นเป็นองครักษ์สี่คนสุดท้ายที่เฝ้ากะดึกเมื่อคืน คนที่เหลืออยู่แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่ทันได้กิน รีบออกเดินทางสุดชีวิตทันที
วันที่เจ็ด ยามที่พวกเขาควบม้าอย่างรวดเร็วบนถนนใหญ่ ก็เผชิญหน้ากับกองกำลังกลุ่มหนึ่ง ชั่วพริบตาที่คลาดกัน องครักษ์สามคนก็ถูกคนสังหารอย่างเงียบเชียบ ยามที่พวกเขาสามคนร่วงลงจากหลังม้าจึงถูกพบทันที
วันที่แปด พวกเขาที่ไม่ว่าจะเสียงอะไรก็ระแวงไปหมด ไม่กล้าพักในโรงเตี๊ยมอีกแล้ว กลับค้างคืนในป่าเขา กลางดึกก็สูญเสียอีกสามคน ตายอย่างเงียบเชียบเหมือนเดิม หยางมู่หลินยังดี สามารถฝืนควบคุมตัวเองได้อยู่ แต่หยางรุ่ยหนานกลับร้อนใจบ้าคลั่งไปแล้ว
วันที่เก้า กลุ่มคนที่สติแทบจะพังทลายอยู่รอมร่อต่างแปลกประหลาดใจที่ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด แต่พวกเขากลับไม่กล้ากะพริบตาสักนิด ค่อยๆ เดินทางอย่างเงียบขรึม จนถึงยามฟ้าสว่างจึงโล่งใจยกใหญ่…ไม่มีใครถูกลอบสังหารในความมืด และก็เป็นยามนี้ กลุ่มคนยี่สิบกว่าคนแต่งชุดราวกับกองโจรไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พุ่งเข้ามาโอบล้อมพวกเขาไว้ หลังจากเข่นฆ่าโรมรันอยู่พักใหญ่ องครักษ์สิบเอ็ดคนพยายามปกป้องหยางมู่หลินที่ถูกโจมตีด้วยดาบทั้งหยางรุ่ยหนานที่ไร้รอยขีดข่วน แต่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หนีออกมาอย่างสุดชีวิต พวกเขามาถึงขั้นที่ไร้เรี่ยวแรงจะต้านไว้อีกแล้ว
“พวกเราพักกันก่อนเถิด!” หยางมู่หลินกล่าวตัดสินใจอย่างฉับไว ยามนี้เขาบาดเจ็บ คนทั้งหมดล้วนเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด หากเกิดการตามล่าอีกครั้ง พวกเขาย่อมพังกันไม่เป็นท่าแน่
ดังนั้น พวกเขาจึงพักผ่อนกันอย่างดีๆ หนึ่งวัน คล้ายกับว่าการลอบสังหารเมื่อเช้าได้ทำให้คนของตระกูลซั่งกวนพอใจแล้ว พวกเขาจึงไม่ปรากฏตัวอีก และหยางมู่หลินก็ยิ่งใจกล้า ค้างคืนที่เดิมเพิ่มอีกหนึ่งคืน คืนนี้ไม่มีคนตาย แต่ทุกคนล้วนนอนหลับไม่ลง
จากนั้นการไล่ล่ากลับคล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาใช้เวลาผ่านไปสงบสุขถึงสามวัน แม้จะอยู่แบบอกสั่นขวัญแขวน แต่สำหรับพวกเขาก็นับว่าราวกับสวรรค์แล้ว
หยางมู่หลินไม่รู้ว่านั่นคือคลื่นสงบก่อนพายุจะมา หรือว่าตระกูลซั่งกวนรู้สึกพอใจแล้ว ดังนั้นจึงปล่อยพวกเขาไป แต่พวกเขายังคงไม่กล้าชักช้า ไม่ต้องให้เขาเร่งรัด ทุกคนก็พยายามออกเดินทางด้วยความรวดเร็ว หวังว่าจะสามารถกลับถึงเมืองอวิ้นโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเหมือนที่หยางมู่หลินคิดไว้ นี่เป็นเพียงคลื่นสงบก่อนพายุมาเท่านั้น วันที่สิบสี่ มือสังหารก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในอาหารถูกวางยาพิษที่อันตรายถึงชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าทุกคนจะระแวดระวัง ก็ยังมีองครักษ์สองคนถูกธนูที่ไม่รู้ว่าออกมาจากที่ใดแทงทะลุอก วันนี้องครักษ์ที่เหลือสิบเอ็ดคน ตายต่อหน้าพวกเขาอีกห้าคน สิ่งที่หยางรุ่ยหนานกังวลอีกก็คือ หยางมู่หลินถูกพิษเช่นกัน แม้พิษครั้งนี้จะออกฤทธิ์ถึงตายทันที หลังจากกินยาถอนพิษแล้ว หยางมู่หลินจึงนับว่าพ้นจากอันตราย กระนั้นกลับอ่อนแรงกระทั่งม้าก็ยังขี่เองไม่ได้
ไม่มีทางเลือก ทั้งไม่อาจทิ้งพ่อของตัวเองไว้เช่นนี้ได้ หยางรุ่ยหนานทำได้เพียงซื้อรถม้าหนึ่งคัน องครักษ์ตามรถหนึ่งคน องครักษ์ที่นั่งคุ้มครองหลังรถหนึ่งคน ทั้งคนคอยคุ้มกันด้านซ้ายและขวา และวันนี้ ตระกูลซั่งกวนก็หายไปอีกครั้ง พวกเขาผ่านไปอย่างสงบอีกหนึ่งวัน เพราะเมืองอวิ้นอยู่ไกลไม่เกินร้อยลี้แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาทั้งไม่ต้องวางแผนอะไร ล้วนตัดสินใจเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืน ไปถึงเมืองอวิ้นให้เร็วที่สุด จะได้สลัดพ้นจากการไล่ล่าของตระกูลซั่งกวนให้เร็วขึ้น
เดินทางทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดยามซื่อ[1]ก็เดินทางมาเกือบถึงเมืองอวิ้น สามารถมองเห็นประตูเมืองอยู่ไกลๆ แล้ว คนทั้งหมดต่างอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้ ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าหนีตายเอาชีวิตรอดไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
“ท่านโหว พวกเราถึงนอกประตูเมืองแล้ว เห็นประตูเมืองอยู่ไม่ไกลแล้วขอรับ!” องครักษ์คนหนึ่งรายงานกับหยางมู่หลินที่นั่งในรถม้าอย่างเปี่ยมไปด้วยความสุข ขอเพียงแค่ถึงเมืองอวิ้น เมืองที่หยางมู่หลินอยู่มายี่สิบกว่าปี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเหตุไม่คาดฝันอันใดอีกแล้ว
“ในที่สุดก็ถึงเมืองอวิ้นเสียที!” หยางมู่หลินจำได้อย่างชัดเจน ท่านบรรพชนของตระกูลซั่งกวนกล่าวว่า หากพวกเขากลับถึงเมืองอวิ้น การไล่ล่าก็นับว่าเป็นอันสิ้นสุดลง ฝันร้ายของพวกเขาจะจบลงเสียที
“ถึงแล้วหรือ?” หยางรุ่ยหนานแหวกผ้าม่านรถม้าออกอย่างตื่นเต้น ชะโงกออกไปมองทั้งตัว พบว่าเห็นกำแพงเมืองอยู่ไม่ไกลจริงๆ ประมาณหนึ่งกิโลเมตรพวกเขาก็จะถึงประตูเมือง เพิ่มความเร็วอีกหน่อย ไม่ช้าย่อมเข้าไปในเมืองได้แล้ว
“ท่านพ่อ ในที่สุดพวกเราก็กลับมา!” หยางรุ่ยหนานรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเป็นอย่างมาก สามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าสังหารอย่างกระชั้นชิดของตระกูลซั่งกวน เขาหันกลับไปยิ้มกล่าวกับหยางมู่หลิน “ท่านอดทนอีกหน่อย หมอเทวดาของจวนย่อมสามารถกำจัดพิษในร่างท่านได้อย่างหมดสิ้นเป็นแน่”
“เพิ่มความเร็วอีก!” หยางมู่หลินพยักหน้า ครั้งนี้เขาหวาดกลัวจริงๆ
“อื้ม!” หยางรุ่ยหนานพยักหน้า กระนั้นก็ไม่ยอมกลับเข้าไปในรถม้า เขากล่าวอย่างเคียดแค้น “ตระกูลซั่งกวน…พวกเขาใจกล้าส่งคนมาตามฆ่าพวกเราพ่อลูกถึงขนาดนี้ ทำให้พวกเราสูญเสียองครักษ์มือดีไปมากมาย แค้นนี้ข้าย่อมคืนให้พวกเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
หยางมู่หลินไม่ได้กล่าวอันใด เขาคาดไม่ถึงความโหดร้ายและอำมหิตของตระกูลซั่งกวนเช่นกัน แต่ความโหดร้ายเช่นนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงอำนาจของตระกูลใหญ่อย่างชัดเจน มิน่าเล่ายามที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่มักจะกล่าวว่าคำว่า ‘บ้านเมือง’ ทั้งกล่าวว่าไม่อาจล่วงเกินตระกูลใหญ่ตามใจชอบได้ มิน่าเล่าแม้ตระกูลทั่วป๋าจะมีอำนาจน้อยที่สุดก็สามารถสร้างความสั่นสะเทือนอันใหญ่หลวงและความเสียหายที่คาดไม่ถึงให้กับบ้านเมืองได้ การประเมินตระกูลใหญ่ต่ำไป ทำให้เขาลืมสิ่งที่ท่านพ่อเคยพร่ำสอน ทั้งเขายังล่วงเกินตระกูลใหญ่ไปตระกูลหนึ่ง ล่วงเกินอย่างถึงที่สุด
“ท่านพ่อ ท่านกำลัง…” คำพูดของหยางรุ่ยหนานถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องเจ็บปวด ชั่วพริบตาความเจ็บปวดอย่างมหาศาลก็แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา เขากระอักเลือดสดออกมา พ่นไปที่ร่างของหยางมู่หลินตรงๆ เขามองร่างตัวเองที่มีธนูปักอยู่อย่างสิ้นหวัง ไม่เข้าใจว่าเขากลับถึงเมืองอวิ้นอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดยังประสบภัยร้ายอย่างไม่คาดคิด
“หนานเอ๋อร์…” หยางมู่หลินกอดร่างลูกชายที่ชุ่มไปด้วยเลือดอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ลูกชายคนโตคนเดียวของเขา ลูกชายที่เขาคาดหวังให้เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต เหตุใดจึงได้…
“ท่านโหวหยาง ถึงเมืองอวิ้นแล้วขอรับ พวกเราคงไม่ส่งแล้ว! อย่างไรหวังว่าท่านโหวหยางจะไม่ลืมคืนหนี้ของท่าน!” น้ำเสียงที่คล้ายใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกลล่วงมาสู่หูของหยางมู่หลิน เขามองออกไปอย่างแข็งทื่อ กลับพบว่าเบื้องหน้าตัวเองมีแต่สีเลือดเต็มไปหมด ไม่สามารถมองอะไรได้ชัดเจน
“ท่านโหว!” องครักษ์คนหนึ่งล้วนคาดไม่ถึงว่า ยามที่รถม้าจอดอยู่หน้าประตูเมือง เขาเพียงเข้าไปขับไล่ชาวบ้านที่มาขวางทาง กลับพบกับฉากอเนจอนาถเช่นนี้ ท่านโหวน้อยถูกธนูยิงทะลุหัวใจ ใครก็ไม่อาจช่วยกลับมาได้ทั้งนั้น
“อ๊าก!” หยางมู่หลินกอดลูกชายที่แข็งทื่อพูดไม่ได้อีกต่อไป ตะโกนอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเจ็บปวดที่คนหัวขาวส่งศพคนหัวดำอย่างชัดเจน…
องครักษ์ทั้งหมดล้วนคุกเข่าอย่างเงียบเชียบอยู่เบื้องหน้ารถม้า ไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว จนกระทั่งทหารเฝ้าประตูเมืองอวิ้นโอบล้อมพวกเขาเอาไว้…
———————————–
[1] ยามซื่อ เวลา 09:00 – 10:59