“มี่เอ๋อร์ รอพรุ่งนี้หลังจากพ่อของเจ้าครบสี่สิบเก้าวันแล้ว ข้าก็จะไปบำเพ็ญเพียรที่วัดประจำตระกูล ภายหลังหากไม่มีเรื่องพิเศษอันใดก็ย่อมไม่กลับมา!” ยามที่หวงฝู่เยวี่ยพูดประโยคนี้ ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกเช่นไร ยามที่ซั่งกวนฮ่าว ‘ป่วยหนัก’ นางจึงได้รู้ความลับของตระกูลซั่งกวน ความลับที่ตระกูลซั่งกวนปิดบังนายหญิงของผู้นำตระกูลมาโดยตลอด รอจนยามที่ผู้นำตระกูล ‘ป่วยหนักใกล้ตายแล้ว’ ดูตามสถานการณ์ว่าต้องการจะให้นางรู้หรือไม่ และหลังจากนางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เลือกทางหนีทีไล่ที่ซั่งกวนฮ่าวจัดการไว้เพื่อนาง…ใช้ข้ออ้างเข้าวัดประจำตระกูล เร้นกายไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับซั่งกวนฮ่าว แต่ภายหลังหากในตระกูลมีเรื่องสำคัญอันใด ก็ยังคงออกมาได้
พิธีฝังศพของซั่งกวนฮ่าวจัดในสามวันก่อน บรรยากาศพิธีฝังศพนั้นให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ผู้มาร่วมพิธีที่สนิทสนมเป็นพิเศษไม่กี่คนนั้น ตัวอย่างเช่น ชุยหรูหลิน หวงฝู่เจิ้นหลงและมู่หรงฉวีกุย ใบหน้าดูเหมือนเศร้าอาดูร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเรียบนิ่งและความอิจฉาอยู่เลือนราง ส่วนคนอื่นๆ ก็ธรรมดา ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมาย
เรื่องที่ผู้นำตระกูลซั่งกวนตายอย่างไร้โรคภัยไข้เจ็บก่อนอายุหกสิบปี สำหรับผู้นำตระกูลใหญ่หลายตระกูลล้วนไม่ใช่ความลับอะไร แต่ทุกคนต่างก็ปิดปากเงียบอย่างรู้กันดี เรื่องเช่นนี้เปิดเผยออกมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะรูหน้าต่างกระดาษ[1]แต่อย่างใด ในความคิดของพวกเขา เพียงแค่ลูกชายมีกำลังความสามารถที่จะประคับ ประคองตระกูลแล้ว ดังนั้นคนแก่ก็แสร้งทำเป็นตาย วิ่งไปเสวยสุขเท่านั้น!
แต่ว่า ก็มีเพียงตระกูลซั่งกวนที่มีธรรมเนียมเช่นนี้ ตระกูลอื่นๆ ล้วนไม่มีเรื่องแบบนี้แต่อย่างใด ตระกูลหวงฝู่และตระกูลมู่หรงต่างก็มีสภาผู้อาวุโสเช่นกัน ผู้นำตระกูลทำงานจนเบื่อหน่ายแล้ว รู้สึกว่าลูกชายสามารถรับผิดชอบเรื่องในตระกูลได้แล้ว ย่อมจะเก็บข้าวเก็บของไปเร้นกายใช้ชีวิตที่เรือนของผู้อาวุโส แต่เรื่องภายในตระกูลยังคงไม่อาจปล่อยมือได้เสียหมด ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่หลายปี ตระกูลชุยนั้นยิ่งง่าย ยามที่ลูกชายคนโตเพียงพอที่จะรับผิดชอบเรื่องใหญ่ๆ ได้แล้ว ผู้นำตระกูลก็มักจะอาศัยข้ออ้างออกไปทัศนาจรภายนอกหรือเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายเพื่อเริ่มเร้นกายไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เทียบกับตระกูลหวงฝู่และตระกูลมู่หรงแล้ว สบายกว่ามาก ทั้งเป็นอิสระไม่น้อย
ส่วนตระกูลอื่นๆ ก็ไม่เหมือนกันแล้ว ตระกูลอิ๋งนับว่าลึกลับมากที่สุด เดิมพวกเขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลอื่นบ่อยนัก ผู้นำตระกูลของเขา ยามที่อายุพอเหมาะพอควรแล้ว ก็จะถอนตัวออกไปใช้บั้นปลายชีวิตอย่างสงบ ไม่อาจเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกมากแล้ว แต่ตระกูลหวัง ตระกูลหลี่และตระกูลทั่วป๋ากลับไม่มีเรื่องที่ผู้นำตระกูลถอนตัว เดิมทีผู้นำตระกูลของพวกเขาล้วนใช้ชีวิตจนแก่ชรา ควบคุมดูแลจนวาระสุดท้าย ทั้งล้วนอยากให้ตัวเองอายุยืนยาวเป็นร้อยปี แม้พวกเขาจะรู้ว่า การที่คนแก่ไม่ยอมปล่อยวางอำนาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตระกูลก้าวหน้าอย่างจำกัด แต่ใครก็ไม่ตระหนักถึงเรื่องนั้น เมื่อถึงตาของตัวเองจริงๆ ก็ไม่อาจปล่อยวางอำนาจ ไม่ยุ่งเกี่ยวได้…
“อย่างไรท่านแม่ครุ่นคิดอย่างรอบคอบก่อนเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจดีว่าเหตุใดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงเลือกเช่นนั้น พูดตามตรง นางนั้นโล่งใจเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ แม้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่ค่อยสนใจดูแลเรื่องอะไร แต่ว่า…ควรจะพูดอย่างไรดีเล่า หลายปีนี้ ความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้สนิทสนมกลมเกลียวเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย ทุกคนยังคงมีจุดที่ไม่ตรงใจ อย่างเช่นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเอาแต่ไม่พอใจที่ซั่งกวนเจวี๋ยมีภรรยาแค่คนเดียว บางครั้งซั่งกวนฮ่าวก็ไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่านางสัมผัสถึงความขื่นขมของการมีอนุภรรยาแล้ว เหตุใดกลับยังคิดจะรับอนุภรรยาให้ลูกชายตัวเอง
เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับชัดเจนเป็นอย่างมาก ย่อมเป็นเพราะถูกความเห็นแก่ตัวของการเป็นมารดาครอบงำ มักจะคิดว่าลูกชายของตัวเองนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ควรจะได้เสวยสุขทุกอย่างในใต้หล้า ในนั้นย่อมรวมถึงการมีภรรยาและอนุเต็มบ้าน ลูกหลานห้อมล้อม แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ได้เป็นคนเดียวในบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่ที่ไม่รับอนุภรรยาสักคน แต่การเป็นคนเดียวนี้ไม่ใช่สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยากมองเห็น แต่ว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่นางเลือก ทั้งนางก็พยายามยืนหยัดการแต่งงานครั้งนั้นอย่างถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเคยให้คำสัญญาบางอย่างกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ นางไม่อาจเอ่ยปากรับอนุภรรยาให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้จริงๆ แต่นางยังคงเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาหลายครั้ง ทุกครั้งหากไม่ถูกซั่งกวนฮ่าวโต้แย้งก็ถูกซั่งกวนเจวี๋ยปฏิเสธ ทำให้นางเสียหน้าเป็นอย่างมาก
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาแต่กังวลปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือ หากซั่งกวนฮ่าวเร้นกายไปไม่พาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไปด้วย นางจะเปลี่ยนไปเหมือนทั่วป๋าซู่เยวี่ยในปีนั้นหรือไม่ จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน ยังดีที่ซั่งกวนฮ่าวมอบอำนาจตัดสินใจให้นางว่าจะเร้นกายไปด้วยกันหรือไม่ ไม่ใช่ทำเหมือนบิดาของเขาเอง ละทิ้งโอกาสที่จะอยู่ครองคู่กับภรรยาจนแก่เฒ่าอย่างไม่ลังเล และที่ทำให้คนดีใจคือ หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่งก็ตัดสินใจจะออกไปพร้อมกับซั่งกวนฮ่าวทันที
“ข้าได้ไตร่ตรองอย่างดีแล้ว” หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงตัดสินใจ แม้นางยังคงทำใจจะห่างลูกหลานไม่ได้ แต่ก็เหมือนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลเช่นนั้น นางกังวลว่าเมื่อตัวเองไม่มีซั่งกวนฮ่าวคอยห้ามปราม จะเปลี่ยนเป็นอย่างทั่วป๋าซู่เยวี่ย และซั่งกวนฮ่าวก็พูดกับนางอย่างจริงจังว่านางมีโอกาสเลือกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“เจวี๋ยรู้เรื่องนี้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไรมากมาย นางเป็นคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังภายใน นางไม่อาจ ทั้งไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกล่าวเกลี้ยกล่อมอันใด ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่เตรียมคำพูดมาดีแล้วไม่อาจจะกล่าวอันใดออกมาได้
“ข้าพูดกับเขาแล้ว” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองหน้าลูกสะใภ้ที่แต่งเข้าตระกูลมาสิบกว่าปี เห็นเพียงใบหน้าที่นับวันก็ยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ จึงถอนหายใจ “เจวี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร ภายหลังยามที่พวกเจ้าไปเรือนพำนักอวี้ฉิงก็เข้ามาเยี่ยมข้าได้ นอกจากไม่อาจพบหน้ากันได้ทุกวัน ที่จริงก็ไม่มีอะไรแตกต่างมากมาย”
“ต้องการให้เซียวเฉียงไปอยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวแนะนำ นางไม่อยากให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ว่าตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว เซียวเฉียงได้รับการสืบทอดใบหน้าจากซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งคล้ายหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยู่ห้าหกส่วน จึงเป็นคนที่นางชอบที่สุด ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีไม่น้อย
“ไม่ต้องหรอก” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตาใสกระจ่าง แต่ยังคงปฏิเสธคำแนะนำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เซียวเฉียงเป็นคนที่นางโปรดปรานมากที่สุด แต่นางรู้ว่าหากเป็นเช่นนั้น เรื่องที่ตัวเองและซั่งกวนฮ่าวเร้นกายย่อมทำให้มี่เอ๋อร์รู้เป็นแน่ ซั่งกวนฮ่าวไม่ได้พูดชัดเจนอะไรกับนางเป็นพิเศษ อย่างไรอย่าได้หลุดเผยออกไปจะดีกว่า
“ทางด้านหลินตันสยาต้องฝากเจ้าดูแลมากๆ หน่อย แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนที่ทำให้หนักใจ เจ้าเข้มงวดกับนางเสียหน่อยเถิด ข้าว่าภายหลังอิงเอ๋อร์กลับมาอาจจะออกไปเพราะโมโหนางอีกก็ได้!” พูดถึงภรรยาของซั่งกวนอิง หลินตันสยา หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ปวดหัวขึ้นมา ยามนี้สิ่งที่นางเสียใจคือเหตุใดตัวเองจึงเลือกงานแต่งครั้งนั้นให้ซั่งกวนอิง ซั่งกวนอิงเองเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นตัวอย่าง คิดว่ามารดานั้นอย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย แต่สายตาที่มองหาลูกสะใภ้ย่อมดีเป็นที่หนึ่ง จึงยืนอยู่ฝ่ายมารดาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยที่คัดค้านไม่อาจทำอะไรได้
ชาติกำเนิดของหลินตันสยากลับไม่เลว แต่นิสัยใจจืดใจดำนั้นทำให้คนรับไม่ได้จริงๆ ทั้งไม่มีหูมีตา ยามที่เพิ่งเข้าตระกูลมายังดี แต่พอนางตั้งครรภ์ก็ยโสโอหังขึ้นมาอย่างยิ่ง อยากจะเหยียบย่ำเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลงไป ให้นางมาดูแลตระกูลแทน ทั้งไม่ไว้หน้ามู่หรงชิงหวั่น ภรรยาของลูกอนุผู้นี้แม้แต่น้อย ทำท่าราวกับนางเป็นสะใภ้ที่สูงส่งที่สุดในตระกูลซั่งกวน ทำให้ทั้งสองคนที่คิดจะทำความสนิทสนมกับนางพากันถอยห่างออกมาไกล
ซั่งกวนอิงยิ่งหลบหลีกนางอย่างถึงที่สุด สองสามีภรรยาแต่งงานมาสิบปี นอกจากลูกชายคนโตและลูกสาวคนโตแล้ว ก็ไม่มีลูกคนอื่นอีก ยามที่ลูกสาวลูกชายเพิ่งจะอายุครบหนึ่งปี ซั่งกวนอิงก็ส่งพวกเขาไปที่เรือนพำนักอวี้ฉิงทันที กังวลว่าลูกสาวและลูกชายจะติดนิสัยจากมารดา ภายหลังจะไร้เหตุผลเหมือนกัน ส่วนตัวเองก็ออกจากลี่โจวไปไกล กล่าวว่าจะออกเที่ยวชมแม่น้ำขุนเขาไปทั่ว หลังจากชื่นชมความงามจนพอใจแล้วย่อมจะกลับมา
“เข้าใจแล้ว” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดขึ้นมา ก็ลอบถอนหายใจ บางทีเพราะตัวเองและชิงหวั่น ซั่งกวนอิงจึงคาดหวังภรรยาในอนาคตของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่กลับพบว่าเป็นเพียงฝันร้ายฉากหนึ่ง เขาไม่อาจทำลายฝันร้ายนี้ได้ จึงทำได้เพียงหลบหลีกออกไปเท่านั้น
“ก็ไม่รู้ว่าอิงเอ๋อร์จะกลับมาหรือเปล่า” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอนหายใจ ยามนี้นางเสียใจกับนิสัยของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะความบกพร่องในการตรวจสอบของตัวเอง ก็คงไม่อาจทำให้ซั่งกวนอิงออกจากบ้านไปเช่นนี้หรอก!
“หากเขารู้เรื่องของพ่อย่อมรีบกลับมาอย่างแน่นอน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นปลอบใจ นางรู้ว่าเดิมทีซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้ส่งคนไปรายงานซั่งกวนอิง ทั้งทราบว่าซั่งกวนอิงรู้เรื่องที่ผู้นำตระกูลซั่งกวนจะอ้างความตายเร้นกายไปใช้ชีวิตบั้นปลายมานานหลายปีแล้ว ยามนี้เขาจะกลับมาได้อย่างไร? แม้จะกลับมา ก็คงกลับมาที่เรือนพำนักอวี้ฉิงอย่างเงียบๆ เท่านั้น พบปะกับลูกทั้งสองคนที่ไม่เหมือนมารดาโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็พบกับซั่งกวนฮ่าวที่แสร้งว่าตัวเองตายแล้ว แต่ย่อมไม่อาจเผชิญหน้ากับหลินตันสยาอย่างแน่นอน
“หากคนตระกูลหลินมาถึงหน้าประตูอีกก็ไม่ต้องเกรงใจเกินไป” ยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวประโยคนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เหตุใดพวกเขาจึงคิดว่าลูกสาวแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนก็สามารถได้รับผลประโยชน์มากมายจากตระกูลซั่งกวนเล่า? ตันสยาผู้นั้นก็เหมือนกัน ลูกชายและลูกสาวไม่อาจเลี้ยงดูได้ สามีออกจากบ้านไม่รู้ร่องรอยถึงสี่ห้าปี นางยังไม่เข้าใจอีกว่าตัวเองทำผิดอันใด เอาแต่บ่นพร่ำ บ่นพร่ำเสร็จแล้วก็เริ่มหาผลประโยชน์ให้ตระกูลเก่า นางไม่เข้าใจหรือว่าแบบนี้จะยิ่งสร้างปัญหารุมเร้าให้ตัวเองมากกว่าเดิม?
“ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ เรื่องนี้ซั่งกวนเจวี๋ยก็เคยพูด หลังจากนั้นไม่นานซั่งกวนอิงคงจะกลับมา จากนั้นเขาก็จะคิดทำเหมือนซั่งกวนอวี่ไข่ที่ถูกแยกตัวออกไปในปีนั้น กิจการของเขาอาจจะน้อยกว่าอวี่ไข่ในปีนั้นไปบ้าง อย่างไรลูกๆ ของเขาล้วนไปอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องกังวลมากมายขนาดนั้น ให้หลินตันสยาทรมานเองก็พอแล้ว…แต่หวังว่าก่อนที่นางจะจัดการกับทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในนามตัวเองและซั่งกวนอิงจนหมดสิ้นจะสามารถดึงสติกลับมาได้
“มี่เอ๋อร์ หลายปีมานี้ข้ารู้ว่ามีเรื่องมากมายที่ข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะ…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้ว่ามีบางเรื่องที่ตัวเองมักจะทำผิดพลาด แต่นางไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หากสามารถคุมตัวเองได้ นางก็คงไม่ใช่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้ว
“ท่านแม่ ท่านดีกับข้ามากแล้วจริงๆ” แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้คิดให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อปฏิบัติกับตัวเองเหมือนกับหลิงหลงและจิงอิ๋ง การกระทำของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางไม่แน่ว่าจะเห็นด้วยทั้งหมด แต่ล้วนสามารถเข้าใจได้ สรุปแล้วนางก็เป็นแม่สามีที่ไม่เลวคนหนึ่งจริงๆ
“ข้า…เฮ้อ มีบางเรื่องที่ข้ารู้ว่าในใจเจ้าชัดเจนดีอยู่แล้ว แต่ไม่อยากเอาจริงเอาจังกับข้าเท่านั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอนหายใจ “โดยเฉพาะเรื่องโม่จิ้ง…”
“ท่านแม่ ไม่ใช่กล่าวว่าเรื่องนี้จะไม่พูดอีกแล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตำหนิเบาๆ ก็เหมือนที่ซั่งกวนเจวี๋ยเคยคาดการณ์ไว้ การมีอยู่ของโม่จิ้งยังคงเป็นมีดเล่มใหญ่ที่จ่อหัวของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ให้นางทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น ไม่อยากนั้นนางก็คงส่ง ‘น้องสาว’ มาให้ตัวเองครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“เฮ้อ…ตามนั้นก็แล้วกัน!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างระมัดระวัง “หมิงเอ๋อร์อายุสิบห้าปีแล้ว เจาเอ๋อร์ก็ไม่น้อยแล้วเช่นกัน งานแต่งของพวกเขาเจ้าต้องละเอียดแล้วละเอียดอีก อย่าได้เหมือนกับข้าที่หาคู่ครองเช่นนั้นให้อิงเอ๋อร์”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าในยามนี้คนที่นางรู้สึกผิดมากที่สุดก็คือซั่งกวนอิง นั่นเป็นลูกชายคนสุดท้องที่นางรักและเอ็นดูที่สุด ในบรรดาพี่น้องตระกูลซั่งกวน นอกจากซั่งกวนอวี่ไข่ที่ถูกลบชื่อจากตระกูล ก็มีเพียงเขาที่แต่งงานได้ไม่ดีเท่าใด
“ข้าจะพักผ่อนแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวคำพูดที่ตัวเองอยากจะพูดหมดแล้วจึงให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไปทันที นางอาจจะมีเรื่องอีกมากที่ต้องทำ
“ท่านแม่พักผ่อนดีๆ เถิด ข้าจะไปแล้ว” ก็เหมือนที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคาดเดา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ นางไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุยหวงฝู่เยวี่ยเอ้อตลอดไปได้
————————————-
[1] เจาะรูหน้าต่างกระดาษ อุปมาว่า พูดเรื่องราวออกมาให้กระจ่าง