“ท่านแม่ ข้าอยากถามเรื่องหนึ่งกับท่าน ท่านต้องบอกข้าตามความเป็นจริง” ใบหน้าของเซียวเฉียงเผยสีหน้าเคร่งขรึม เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างตกใจ ตั้งแต่เล็กจนโตนางแทบจะไม่เคยเห็นลูกสาวมีท่าทีจริงจังเช่นนี้มาก่อน นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม อยากเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าจะพูดอะไร
“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกสาวของท่านจริงๆ ใช่หรือไม่?” คำถามของเซียวเฉียงทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตาโต ไฉนนางจึงมีคำถามเช่นนี้ได้?
“เฉียงเอ๋อร์ เหตุใดจู่ๆ จึงมีคำถามแปลกประหลาดเช่นนี้ได้ เจ้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของข้าแล้วจะเป็นลูกใครได้อีก?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ในหัวของลูกสาวกำลังคิดอะไรอยู่ ไฉนจึงถามคำถามที่สร้างความตกตะลึงให้ตัวเองเช่นนี้
“หรือที่พวกนางพูดจะเป็นความจริง?” ท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ใบหน้าเล็กของเซียวเฉียงเผยความตกใจ น้ำตารื้นขึ้นมา แทบจะไหลลงมารอมร่อ หัวใจดวงน้อยเชื่อข่าวลือที่ได้ยินผ่านหูมาพวกนั้นเสียสิ้น
“เฉียงเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองลูกสาวอย่างจริงจัง “แม่ไม่รู้ว่าเจ้าไปฟังคนอื่นพูดจาไร้สาระอะไรมา แต่แม่จะบอกเจ้าให้ชัดเจน เจ้าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของแม่อย่างแน่นอน เจ้าและเวยเอ๋อร์ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ จุดนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล”
“จริงหรือ?” เซียงเฉียงเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างจริงจัง น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ค่อนวันในที่สุดก็ร่วงลงมา ถลาเข้าไปในอ้อมกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ร้องไห้เสียงดังขึ้นมา กล่าวสะอึกสะอื้น “ข้าคิดว่าที่พวกนางพูดเป็นเรื่องจริงเสียอีก…ฮือๆ…เห็นได้ชัดว่าข้าและน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่น้องสาวเหมือนท่านแม่ไม่ผิดเพี้ยน ข้ากลับหน้าตาไม่เหมือนท่านแม้แต่น้อย…ใครเห็นก็ล้วนพูดเช่นนี้…”
ตบหลังลูกสาวที่ร้องไห้เสียใจเบาๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ นางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ลูกฝาแฝดคู่นั้นของหลิงหลง แม้นิสัยจะไม่เหมือนกัน แต่ใบหน้ากลับเหมือนกันราวกับแกะ แต่ลูกสาวคู่นี้ของตัวเอง คนหนึ่ง เซียวเฉียงเหมือนพ่อ คนหนึ่ง เซียวเวยเหมือนแม่ หากไม่พูด ย่อมไม่มีคนเดาได้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง เพียงแต่เป็นใครกันที่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้? แม้พวกสาวใช้จะสงสัยเช่นนั้นก็คงไม่กล้าพูดเรื่อยเปื่อยกระมัง!
“เอาล่ะ แม่ช่วยเจ้าเช็ดน้ำตาดีกว่า” ในที่สุดเซียวเฉียงก็ร้องไห้พอ ใบหน้าเล็กนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สงสารและขบขัน เช็ดคราบน้ำตาให้ลูกสาวอย่างระมัดระวัง ให้นางอิงแอบในอ้อมกอดของตัวเอง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดจู่ๆ เฉียงเอ๋อร์จึงถามคำถามแปลกประหลาดเช่นนี้กัน? ใครพูดอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าเลย!” เซียวเฉียงลำบากใจอยู่บ้าง ส่ายศีรษะอย่างขัดเขิน แต่แววตาของนางทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้อย่างชัดเจน นางกำลังปกปิดใครบางคนอยู่
“วันนี้เฉียงเอ๋อร์ทำอะไรบ้าง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ไม่ได้ไล่ต้อนต่อแต่อย่างใด กลับเปลี่ยนไปอีกเรื่อง “เหตุใดจึงไม่อยู่กับน้อง พวกเจ้าสองคนไม่ใช่ว่าแทบจะอยู่ตัวติดกันหรอกรึ?”
“น้องสาวกำลังพูดเล่นเป็นเพื่อนน้องซีอยู่…” จู่ๆ เซียวเฉียงก็พบว่าตัวเองเหมือนหลุดพูดอะไรไป ปิดปากฉับ และการกระทำของนางย่อมทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่า ผู้ที่พูดเรื่องเหล่านี้แปดถึงเก้าส่วนคงเป็นคนข้างกายของซั่งกวนซี ลูกสาวของซั่งกวนอิง ซั่งกวนซีได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดที่สุด ควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไรย่อมรู้จักความเหมาะสม แต่คนข้างกายของนางไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น คนเหล่านั้นล้วนเป็นตันสยาที่ฝึกฝนอบรมออกมา หรือบางทีพวกนางอาจจะจงใจพูดเรื่องพวกนั้นเพราะได้รับคำแนะนำมาจากน้องสะใภ้ที่ไม่พอใจตัวเองผู้นั้นกระมัง
“เป็นน้าสะใภ้หรือคนข้างกายของซีเอ๋อร์ที่พูดคำเหลวไหลพวกนั้น?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้ามืดมนเล็กน้อย หากพวกนางพูดอะไรไปเรื่อยก็สามารถทำให้ลูกสาวตนคิดว่าเป็นจริงได้ เช่นนั้นลูกสาวคนนี้ของตัวเองก็หูเบาเกินไปแล้ว นิสัยเช่นนี้ไม่ดีนัก
“ไม่…เป็นน้าสะใภ้ที่พูด!” สีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เซียวเฉียงเปลี่ยนคำพูดงึมงำที่กล่าวออกมาทันที มองสีหน้าไม่ยินดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง กล่าวเสียงต่ำ “น้าสะใภ้พูดว่า ข้าเป็นลูกของสาวงามคนสนิทของท่านพ่อ โม่จิ้ง เรื่องที่คนผู้นั้นกับท่านพ่อนัดเจอกันในเดือนแปดของทุกปีเป็นที่รู้กันไปทั่ว วันเกิดของข้าอยู่ในเดือนห้า คำนวณวันแล้วก็ตั้งท้องเดือนแปดพอดี กล่าวว่าฝาแฝดก็เพียงเพราะว่าปกปิดฐานะลูกสาวนอกสมรส น้าสะใภ้ยังพูดว่านี่เป็นความลับที่เปิดเผยกันระหว่างตระกูลใหญ่ แต่เพราะท่านพ่อออกคำสั่งให้ปิดเป็นความลับ ดังนั้นบ่าวใช้ของตระกูลซั่งกวนจึงไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ นางยังพูดว่า…พูดว่าท่านแม่ก็เป็นเพียงคนไร้ตัวตน รอหลังจากผู้หญิงคนนั้นเข้าตระกูลมา เกรงว่ากระทั่งที่ให้อยู่ยังจะไม่มี…”
เป็นหญิงสาวน่าชังผู้นั้นอย่างที่คิดจริงๆ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย หลังจากสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวเร้นกายได้ครึ่งปี ซั่งกวนอิงก็กลับมา เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องจะแยกตัวออกไป เหมือนดั่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดการณ์ไว้ เขาขอแค่เพียงทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้เขา ทั้งเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมอบให้หลินตันสยาที่ใบหน้าถมึงทึงเป็นคนจัดการ ส่วนตัวเองก็ออกเดินทางไกลอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
เวลาไม่ถึงครึ่งปี หลินตันสยาก็ตอบแทนผู้อาวุโสตระกูลเดิมของตัวเอง มอบของขวัญรางวัลให้พวกพี่ๆ ตัวเอง ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้ทรัพย์สินทั้งหมดไปเกือบแปดส่วน และนางก็กลับตระกูลซั่งกวนอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ขอร้องซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์มอบให้นางอีกสักส่วน เป็นลูกชายของนาง ซั่งกวนเสาที่อายุเพียงเจ็ดปีออกหน้าปฏิเสธนาง และหลังจากนางโวยวายอยู่หลายครั้งอย่างไร้ผล จึงเกลียดชังสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งยิ่งเคียดแค้นซั่งกวนอิงที่ไม่สนใจนาง นางที่หงุดหงิดจนโมโหจึงไปร้องขอความเป็นธรรมที่เรือนพำนักอวี้ฉิงทันที
ผลลัพธ์กลับทำให้นางผิดหวัง ไม่มีคนเห็นนางอยู่ในสายตา ยิ่งไม่มีใครคิดตัดสินความเป็นธรรมให้นาง ตรงกันข้าม นางถูกบรรดาผู้อาวุโสไม่กี่คนสั่งสอนอย่างรุนแรงไปชุดใหญ่ ยื่นรายการค่าใช้จ่ายหลังจากที่นางเข้ามาในตระกูลซั่งกวนให้นางดูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งบอกนางอย่างกระจ่างชัด หากซื้อลูกสะใภ้ เงินพวกนั้นก็เพียงพอให้ซื้อถึงแปดคนสิบคนแล้ว ตระกูลหลินก็ดี นางก็ดี ไม่อาจเอาอะไรจากตระกูลซั่งกวนได้อีกทั้งนั้น
หลินตันสยาออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงอย่างเศร้าหมอง เกลียดคนทั้งหมดของตระกูลซั่งกวนเข้ากระดูกดำ ในนั้นรวมถึงซั่งกวนเสา ลูกชายแท้ๆ ของนางที่ปฏิเสธนางอย่างไม่ลังเลผู้นั้น
“คำพูดของนาง เจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองลูกสาวอย่างผิดหวังเป็นอย่างมาก หลินตันสยาเป็นใคร นางและซั่งกวนเจวี๋ยได้พูดกับลูกๆ มากมาย แต่พวกนางล้วนไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ควรจะสามารถทราบเรื่องราวจากการใกล้ชิดหรือสังเกตในวันปกติได้บ้าง ไฉนจึงถูกปั่นหัวเช่นนี้ได้?
“ข้าก็รู้ว่าคำพูดของนางไม่อาจเชื่อได้ แต่ว่า…” เซียวเฉียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปทีอย่างขลาดกลัว ท่าทีนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหเป็นอย่างมาก…ราวกับสาวใช้ที่ใจกล้าในวันปกติจู่ๆ ก็แสร้งถูกรังแกขึ้นมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรล้วนดูไม่เข้ากัน
“พูดดีๆ แสร้งไม่เหมือนก็อย่าแสร้งเลยดีกว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่พอใจนัก “เซียวเวยแสร้งน้อยใจกลับยังเหมือนอยู่มาก แต่เจ้าอย่าได้ทำจะดีกว่า!”
“เรื่องเช่นนี้ที่จริงลูกไม่ใช่ได้ยินเป็นครั้งแรก!” เซียวเฉียงรู้ว่าตัวเองไม่มีใบหน้าที่น่าสงสาร ทั้งรู้ว่าลูกไม้เล็กๆ ของตัวเองไม่อาจปกปิดสายตาเฉียบคมของมารดาได้ จึงไม่แสร้งต่อไปอีกแล้ว “ตอนงานชมดอกบัว ลูกก็ได้ยินคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่กี่คนพูดซุบซิบนินทาเรื่องเหล่านี้ พวกนางล้วนกล่าวว่าฐานะของลูกมีที่มาไม่ชัดเจน และมารดาของข้าเก้าส่วนอาจจะเป็นโม่จิ้งผู้นั้น…ข้าไม่เคยพบผู้หญิงคนนั้นมาก่อน แต่ข้ารู้ว่าข้าหน้าตาไม่เหมือนท่านแม่แม้แต่น้อย!”
“หากเจ้าจะเป็นลูกสาวของโม่จิ้งก็ได้เหมือนกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ เรื่องที่นางเป็นโม่จิ้งนั้นถูกซั่งกวนหมิง เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยนั้นรู้เสียแล้ว นางไม่รู้ว่าตนเองเผยพิรุธตรงไหนไป แต่เจ้าเด็กคนนั้นรู้แล้ว ทั้งยังจับจุดอ่อนมาข่มขู่ตนเองอย่างชั่วร้าย ให้ตัวเองอย่าได้จัดการเรื่องงานแต่งของเขาอย่างเรื่อยเปื่อย
“ท่านแม่…” เซียวเฉียงร้องอย่างตกใจ ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาในชั่วพริบตา นางมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่กล้าเชื่อ แม้นางจะเป็นฝ่ายมาถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงเรื่องนี้ แต่ที่นางมาก็เพราะอยากได้ความสบายใจ ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกนางด้วยปากตัวเองว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง แต่เหตุใดจู่ๆ มารดาจึงกลับคำ หรือว่า…หรือว่า…
“เฉียงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าแม่อ่อนแอกับเรื่องนี้มากใช่หรือไม่? ปล่อยให้พ่อของเจ้าและโม่จิ้งอวดตัวอยู่ภายนอก แต่ตัวเองกลับหลบอยู่ในเรือนสดับวายุอย่างเศร้าใจ อย่างอื่นล้วนไม่อาจทำอะไรได้ทั้งนั้น?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามไปถึงในใจของเซียวเฉียง นางรู้สึกว่าแปลกใจมาโดยตลอด แม้ท่านแม่จะดูเปราะบาง แต่ไม่ใช่คนที่ใครที่ไหนจะมาควบคุมได้ง่ายๆ เรื่องภายในตระกูลซั่งกวนนางสามารถจัดการอย่างเหมาะสมเพียงลำพัง ผู้อาวุโสของตระกูลยกย่องชื่นชมนางเป็นอย่างมาก นางที่เป็นเช่นนี้ไฉนจึงกล้ำกลืนฝืนทนปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมีตัวตนและเป็นอิสระได้?
“นั่นเพราะแม่มีเหตุผลที่ไม่อาจจัดการกับนางได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสีหน้าลูกสาว จงใจปิดบังไว้ รอจนนางใกล้จะร้องไห้ออกมาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดแม่และนางจึงไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน?”
“ท่านแม่…” เซียวเฉียงร้องเรียกอย่างน่าสงสาร หากเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงอดไม่ไหวจริงๆ แล้ว
“ที่จริงพูดเช่นนี้คล้ายจะไม่ถูกเช่นกัน ควรพูดว่าแม่พบกับนางทุกวัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่น่าสงสารของลูกสาว จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ยามที่แม่หวีเผ้าสางผมทุกวัน ยามที่ส่องกระจก ยามที่มองเห็นเงาสะท้อนในน้ำ…”
“ท่านแม่…” เซียวเฉียงไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม นางหลักแหลมเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่ได้มีไหวพริบที่ลึกล้ำหรือความคิดที่พิเศษอะไรนัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว นางย่อมสามารถเดาออกมาได้
“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มมองลูกสาว เห็นใบหน้าที่ไม่กล้าเชื่อของนางพยักหน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ้มบางขึ้นมาอีกครั้ง “ปีนั้นยามที่ข้าและพ่อของเจ้าอยู่ที่เซียวเซียง[1]ได้ตั้งท้องเจ้าและเวยเอ๋อร์ จึงนำคำว่า ‘เซียว’ มาตั้งชื่อ หากพูดว่าเจ้าเป็นลูกสาวโม่จิ้ง นั่นก็ไม่ผิดแม้แต่น้อยเช่นกัน”
“ก็หมายความว่าท่านแม่มีวรยุทธ์เช่นกัน?” เซียวเฉียงไม่มีความเสียใจหลงเหลือแม้แต่น้อย มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยดวงตาที่ใสแจ๋ว “สามารถสลัดฐานะทิ้งโดยไม่มีอะไรผูกมัด ร่อนเร่ในยุทธภพกับท่านพ่อ คงจะเป็นอิสระ ผ่อนคลาย สบายใจมากกระมัง!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ กล่าวยิ้มๆ “ดังนั้น แม่จึงไม่เคยละทิ้งทั้งสองฐานะนั้นมาโดยตลอด”
“ท่านแม่…” น้ำเสียงของเซียวเฉียงแฝงความหวานอยู่มาก ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ วิธีออดอ้อนของพวกนางมีไม่มากจริงๆ กลับไปกลับมาอยู่แค่นี้
“ข้าว่า งานประลองยุทธ์ปีนี้โม่จิ้งคงจะพาลูกสาวตามหลัง…” เซียวเฉียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างคาดหวัง แววตานั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดสั่นศีรษะไม่ได้
“ข้าจะครุ่นคิดดีๆ เสียหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อ่อนให้แล้ว ลูกสาวต้องตามใจบ้าง ไม่อาจขังอยู่แต่ในบ้าน เฉียงเอ๋อร์และเวยเอ๋อร์อายุสิบสามปีแล้ว ออกไปข้างนอกบ้าง เปิดหูเปิดตาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป นางกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้เจ้าต้องพูดคุยกับเวยเอ๋อร์ดีๆ แม่ไม่อาจจะลำเอียง หากจะพาไปย่อมต้องสลับกันไป ไม่อาจพาไปเพียงคนเดียวได้ หลังจากพวกเจ้าปรึกษากันดีแล้วก็เข้ามาให้คำตอบแม่พร้อมกัน”
“เข้าใจแล้ว!” เซียวเฉียงรับปากอย่างดีใจ รีบไปหาน้องสาวที่มักจะตัวติดกันเป็นเงาทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองลูกสาวจากไปด้วยรอยยิ้ม ควรจะจัดการอย่างไรดีนะ…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ซั่งกวนเจวี๋ยมอง ‘ลูกสาวนอกสมรส’ ข้างกายโม่จิ้งทั้งปากที่เต็มไปด้วยรสขมปร่า แม้จะมองใบหน้าใต้หน้ากากไม่ชัดเจน แต่ดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นทำให้เขารู้ว่า นั่นเป็นซั่งกวนเซียวเฉียงลูกสาวสุดที่รักของเขา และในเมื่อนางปรากฏตัวแล้ว เกรงว่าเซียวเวยก็คงเตรียมตัวแล้วเช่นกัน…
———————————–
[1] เซียวเซียง ชื่อเมืองโบราณ อยู่แถบมณฑลหูหนานในปัจจุบัน