เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 41 มาอย่างน่ากลัวมาก
เข้าไปในห้องรับแขกนภาลัยพูดกับพ่อบ้านปวิธว่า “วันนี้ฉันจะกลับไปที่หมู่บ้านหน่อย เมื่อวานมีคนในชุมชนคนหนึ่งขาได้รับบาดเจ็บ ถ้าภีมพลโทรมาถาม ก็บอกไปว่าฉันหลับอยู่ ฉันจะรีบกลับมาก่อนที่เขาจะเลิกงานกลับมา”
“ครับ” พ่อบ้านปวิธรู้สึกขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก เรื่องที่สมเหตุสมผลก็ต้องช่วยปกปิดอยู่แล้ว
ตอนที่นภาลัยขึ้นไปเอากระเป๋าชั้นบน คะนึงนิตย์ก็พาคนใช้ผ้าไหมเข้ามา ข้างหลังยังตามด้วยบอดี้การ์ดสองคน
พ่อบ้านปวิธแปลกใจมาก เพราะสุขภาพของคุณนายนิตย์ไม่ค่อยดี เจอแสงไม่ได้ เธอแทบจะไม่มาที่นี่เลย
“สวัสดีครับ คุณนายนิตย์” ปวิธก้มลงเคารพ
ผ้าไหมเอาร่มสีดำในมือยื่นไปให้บอดี้การ์ดข้างหลัง แล้วพยุงแขนของคะนึงนิตย์ไว้
เธอใส่หน้ากากที่ดูดีครึ่งหน้า ใส่เสื้อผ้าแขนยาว ถุงมือลูกไม้สีขาวปกปิดอย่างมิดชิด เดินเข้ามาหาเขาไม่หยุด ให้ความรู้สึกเกรงขาม
“นภาลัยล่ะ?” คะนึงนิตย์น้ำเสียงเย็นชา
พ่อบ้านปวิธตอบอย่างระวังมาก “คุณนายอยู่ข้างบนครับ ขึ้นไปเอาของเสร็จเดี๋ยวก็ลงมาแล้วครับ” จากนั้นก็แอบเอาโทรศัพท์ออกมา เตรียมจะกดโทรออก
คะนึงนิตย์เห็นท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเขา “นายจะโทรหาใคร?” ถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
โทรศัพท์ของพ่อบ้านปวิธแทบจะตก “…………” เขาไม่กล้าเงยหน้าสบตา
ไม่รอให้เขาแก้ตัว คะนึงนิตย์พูดขึ้นมาทันทีว่า “ห้ามโทรให้ภีมพล!” กวาดตามองรอบๆบ้านด้วยสายตาที่เย็นขา “วันนี้ใครกล้าโทรหาภีมพล ฉันจะไล่ออกเป็นคนแรกเลย”
พวกคนใช้ไม่กล้าขยับเลย แม้แต่หายใจก็ไม่กล้าหายใจแรงๆ
ผ้าไหมพยุงคะนึงนิตย์ไปนั่งลงบนโซฟา เธอจ้องทางลงบันไดไว้อย่างเย็นชา เพื่อรอให้นภาลัยลงมา
ระหว่างทางที่ไปบริษัท ภีมพลนั่งอยู่ในเบาะหลังรถแรมโบกีนี่ แสงยามเช้าที่สวยงามได้ส่องทะลุกระจกเข้ามา ทำให้เขามีเสน่ห์และดึงดูดคนเป็นอย่างมาก
ทั้งๆ ที่ต้องคอยระวังนภาลัย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอนั้นไม่ธรรมดา
แต่ไม่รอให้ลูกน้องรายงานการเดินทางของเธอในวันนั้น เขาก็หาไปถึงบ้านนอก
กินหมี่ที่เธอทำยังไม่พอ ยังพาเธอกลับไปที่คฤหาสน์ ยังมีอะไรกับเธอ……..
ภีมพลไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ในหัวสมองมีแต่ภาพของเธอทั้งนั้น รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ตัวเองเสียการควบคุมตลอด38ปีที่ผ่านมา
ในห้องรับแขกที่ใหญ่เหมือนรีพัลส์เบย์ แสงไฟสว่างจ้า แสงไฟบนพื้นหินอ่อนนั้นขาวจนสะท้อนแสง
คะนึงนิตย์และนภาลัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ พ่อบ้านปวิธและป้าโสนยืนอยู่ข้างหลังของนภาลัย
ผ้าไหมและบอดี้การ์ดสองคนยืนอยู่ข้างๆคะนึงนิตย์ ท่าทีเหมือนกับกำลังจะเจรจา
“ฉันมาดูหลายชายและหลานสาวของฉัน” คะนึงนิตย์สายตาแหลมคม “ดูว่าเวลา6ปีที่พวกเขาอยู่กับเธอ ต้นกล้าสองต้นนี้จะเป็นยังไงไปแล้ว”
“ไปโรงเรียนแล้ว ดูฉันก็เหมือนกัน”
คำตอบของนภาลัยทำให้คะนึงนิตย์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่พ่อบ้านปวิธก็เป็นห่วงแทนเธอ อุ่นหภูมิในห้องลดลงไปหลายองศา…..
สายตาของคะนึงนิตย์มืดลงไปเล็กน้อย “พวกแกถอยลงไป”
นภาลัยไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เผยท่าทีว่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นผ้าไหม เธอไม่วางใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าคุณนายนิตย์จะเสียเปรียบ เพราะดูแล้วนายหญิงน้อยไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ครั้งก่อนก็เห็นแล้ว
พ่อบ้านปวิธและป้าโสนไม่ทำตามไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วง แต่ก็ยังถอยลงไปอยู่
ผ้าไหมได้แต่ตามพวกบอดี้การ์ดออกไปรอหน้าห้องรับแขก แต่ตาคู่นั้นก็จ้องมาแต่ทางนี้ จะให้คุณนายนิตย์เสียเปรียบไม่ได้
นภาลัยเอียงตัวไปข้างหน้าเล็หน้อย เทน้ำชาอย่างระมัดระวังสองแก้ว
คะนึงนิตย์จ้องการกระทำของเธอ สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นมากเท่าไหร่ “เธอรู้จักคนที่ชื่อญาณีไหม?”
นภาลัยเงียบ
“เธอเป็นเด็กกำพร้า ถูกฉันสนับสนุนตั้งแต่อายุ11ปี ครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาก็รู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่พิเศษมากคนหนึ่ง สายตาของเขานั้นดื้อรั้นเหมือนกับนักธุรกิจ ตระกูลกงพลีได้เป็นสปอนเซอร์ให้นักเรียนนับไม่ถ้วน มีแค่เขาที่ไม่เหมือนคนอื่น”
“เขาตั้งใจเป็นอย่างมาก กล้าที่จะต่อกรกับโชคชะตา ไม่เคยบ่นมาก่อน”
“เขาพยายามอ่านหนังสือจนถึงตี4-5ทุกวัน คนอื่นเรียนแค่คณะเดียวก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่เขากลับเลือกเรียน10กว่าอย่าง ในสายตาของฉัน เขาดีเลิศเป็นอย่างมาก”
“เขาฝึกงานอยู่ที่ทีเอ็ม กรุ๊ป ใช้ความพยายามของตัวเองในการเดินมาถึงตำแหน่งรองประธาน เป็นคนที่ฉันและภีมพลเชื่อใจที่สุด”
“เขาเป็นมือซ้ายและขวาของภีมพล เขากับภีมพลอยู่ด้วยกันถึงจะสมบูรณ์ที่สุด”
นภาลัยไม่มีความสนใจต่อคนที่ชื่อญาณี เพราะเธอไม่มีความสนใจต่อเขาเลย
“ฉันเปลี่ยนคำพูดดีกว่า กลัวว่าเธอจะฟังไม่รู้เรื่อง ญาณีฉันเลี้ยงมาเพราะอยากให้เป็นลูกสะใภ้” คะนึงนิตย์ดื่มชาไปคำหนึ่ง พูดเหมือนกับประกาศว่า “ดังนั้นถึงได้วางใจให้เขาเข้าถึงจุดกลางของบริษัท”
พูดจบ คะนึงนิตย์วางแก้วชาลง แล้วมองเธอเหมือนสอบสวน “เธอได้ฟังที่ฉันพูดอย่างไหมเนี่ย?” เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยสักครั้ง