เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 67 ไปทำความเข้าใจในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมาของเธอ
“คุณภีมของพ่อบ้านส่งคนมาสะกดรอยตามฉัน คอยเตรียมป้องกันฉันในทุกๆที่”นภาลัยพูดออกมาตรงๆ“พ่อบ้านคิดว่าเขามองว่าฉันเป็นคนของตัวเอง? คนแบบเขา ไม่มีทางเชื่อใจคนอื่นหรอก ไม่มีความรู้สึกมีแค่ผลประโยชน์เท่านั้น”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”พ่อบ้านปวิธพูดอธิบาย“เขาอาจจะไม่มีความรู้สึกต่อคนอื่นก็จริง แต่ว่าจะต้องมีความรู้สึกต่อท่านกับเหล่าลูกๆอย่างแน่นอนครับ ผมเข้าใจเขาเป็นอย่างดีมากๆ ตั้งแต่ที่พวกคุณนายเข้ามา เขาก็ดูอบอุ่นขึ้นเยอะมากเลยครับ”
เธอหันไปมอง ยืนยันอย่างยิ้มแย้มเล็กน้อย“ที่เขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว แค่เพื่อลูกเท่านั้นแหละ”
“……”พ่อบ้านหมดคำจะพูดต่อล้อต่อเถียง
นภาลัยดูเหมือนจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้“ใช่แล้ว ไวศิษฎ์คือใครเหรอ?”
“ไวศิษฎ์?”พ่อบ้านปวิธส่ายหัว“ผมไม่เคยได้ยินคนคนนี้มาก่อนเลยครับ”
นภาลัยไม่เห็นร่องรอยของการโกหกจากสีหน้าท่าทางของเขา จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง?
ช่วงเวลาพลบค่ำ ภีมพลไม่ได้กลับมา
อาหารค่ำที่วางไว้มากมายเต็มโต๊ะก็ใกล้จะเย็นชืดหมดแล้ว เหล่าเด็กน้อยก็ท้องร้องจ๊อกๆ จ้องมองไปยังลานบ้าน
“หม่ามี๊ จะโทรศัพท์หาป่าปี๊สักหน่อยไหม ถามว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร?”แชมป์เล่นตะเกียบ พลางเปิดปากพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไม่โทร ไม่รอแล้ว กินกันเถอะ”พูดจบ เธอก็หยิบช้อนตักซุปให้กับลูกๆ
ขวัญข้าวก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเหมือนกัน อาหารที่หม่ามี๊ทำถูกปากมากจริงๆ!อดทนมาได้ขนาดนี้ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว
แชมป์ที่กะจะกินสามถ้วยก่อนอยู่แล้ว เขาก็ยกตะเกียบขึ้นมาเช่นกัน……
พ่อบ้านปวิธยืนมองแล้วมองอีกอยู่ตรงประตูห้องอาหาร
ทำไมคุณภีมถึงยังไม่กลับมานะ?
คุณนายอุตส่าห์ทำของอร่อยเต็มโต๊ะขนาดนี้ ปกติแล้วเขาไม่ทำงานล่วงเวลานี่นา
ข้างใต้อาคารหลักของทีเอ็ม กรุ๊ป คนขับรถเปิดประตูรถลัมโบร์กินี่ออก ภีมพลที่สูงส่งเข้าไปนั่งที่เบาะหลังของรถ
ตอนที่สตาร์ทรถ เขาก็พูดกับคนขับรถ“ไปที่กรินทร์”
“ได้ครับ คุณภีม”
ภายในรถ เขาฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำอย่างใจเย็นนิ่งสงบ……
คิดถึงรสชาติของบะหมี่ซอสมะเขือเทศไข่ คิดถึงนภาลัยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว……
คิดถึงในค่ำคืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อน คิดถึงการเจอกันครั้งที่สองที่หมู่บ้านซันไลต์……
รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องกับเธอผุดเข้ามาในหัว
หลังจากผ่านไปสิบนาที บนโซฟาในห้องรับแขก ภายในวิลล่าของกรินทร์
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันที่โต๊ะ กรินทร์รินไวน์สองแก้ว ครั้งที่แล้วที่มาก็มาทำการยืนยันความเป็นพ่อลูก
“เล่าเรื่องของเธอมาให้ผมฟังหน่อย”ภีมพลขมวดคิ้วเบาๆ อารมณ์หนักอึ้งเล็กน้อย“เจ็ดปีมานี้ของเธอคุณน่าจะค่อนข้างเข้าใจเป็นอย่างดี”
กรินทร์รู้สึกได้ว่าท่าทีของเขาดูผิดแปลกไป อย่างน้อยอารมณ์ก็ดูไม่ค่อยจะดีมากนัก
การที่เขาอยากจะทำความเข้าใจกับเธอ ก็เป็นความเป็นห่วงเป็นใยแบบหนึ่งเหมือนกัน
กรินทร์ยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก“จะให้บรรยายเธอแค่คำสองคำมันยากมากๆ”
พูดจบ เขาก็เงยมอง เห็นความนิ่งลึกนั้นในแววตาของภีมพล
กรินทร์พูดขึ้นมาอีก“ตอนที่ผู้หญิงตั้งท้อง เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด แถมเธอก็ตั้งท้องถึงสองคนในครรภ์เดียว แน่นอนว่ายิ่งลำบากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
ภีมพลฟังจบ ก็ดื่มไวน์ไปอย่างนิ่งเงียบ
“แต่ถือว่าเธออุ้มท้องได้อย่างราบรื่นดี ผมได้มีการตรวจครรภ์ให้กับเธอ เธอตัดสินใจจะเอาเด็กไว้ตั้งแต่แรก เพราะว่านี่เป็นสองชีวิตที่ไร้เดียงสา เธอจิตใจดีมากๆ นิสัยแบบนี้ของเธอไม่สามารถทอดทิ้งพวกเขาได้ แม้ว่าหนทางในอนาคตจะยากลำบากมากก็ตาม”กรินทร์รู้สึกซาบซึ้งใจกับความกล้าหาญของเธอ
“จริงๆแล้วเธอรู้ว่าพ่อของลูกคือใคร”กรินทร์พูดขึ้น“แต่จะไม่ไปหาเขา เพราะว่าลูกเป็นการตัดสินใจของตัวเธอเอง”
“หลังจากที่แชมป์กับขวัญข้าวคลอดออกมาแล้ว ยังไม่ทันครบเดือนก็เป็นโรคปอดอักเสบ ช่วงเวลานั้นค่อนข้างยากลำบาก เธอคอยอยู่เฝ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ตาก็ไม่ยอมหรี่ลง กลัวว่าพอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็จะไม่เห็นลูกน้อยอีกแล้ว……”
พอได้ฟังเรื่องพวกนี้ ภีมพลก็รู้สึกอัดอั้นอยู่ภายในใจ
“เธอเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง เริ่มจากคุณแม่มือใหม่คนหนึ่งที่คลำผิดคลำถูก ทำการตรวจสอบและทำการบันทึกข้อมูล เปลี่ยนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงดูบุตร”
“สอนให้พวกเขาหัดพูด จนถึงวัยหัดเดิน ล้วนแต่เป็นกระบวนการที่มันไม่ง่ายเลย ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง……”
“มีวันหนึ่งในที่สุดเธอก็เหนื่อยจนล้มทรุดไป เป็นไข้สูง แชมป์เป็นคนโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากผม ตอนที่ผมไปถึงเธอก็หมดสติไปแล้ว……”
พอได้ฟังกรินทร์เล่าเรื่องพวกนี้ ภีมพลก็รู้สึกหดหู่อยู่ภายในใจ เจ็บปวดหัวใจอยู่เบาๆ