สงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น ทัพเฮยอวี่และหลงเหมิ่งเริ่มการต่อสู้ในช่องเขาเว่ยเป่ย มองจากด้านบน ดูเหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างน้ำและไฟ เป็นความขัดแย้งที่น่ากลัว
หลิวอี้เจาไปที่ช่องเขาเว่ยเป่ยพร้อมกับสัญญาและข้อแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย ผู้บัญชาการของช่องเขาเว่ยเป่ยรู้สึกว่ามันคุ้มค่า เนื่องจากทัพอู่เว่ยอยู่ในสภาพขวัญเสียมาโดยตลอด และมันก็คุ้มค่าที่จะให้ความหวังกับพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ต่อสู้กับทัพเฮยอวี่ เขาต้องการให้ทัพอู่เว่ยทั้งหมดถูกสังหารโดยทัพเฮยอวี่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะสามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมากจากการใช้ตำแหน่งของเขาในฐานะผู้บัญชาการของทัพหลงเหมิ่ง
ในความเป็นจริง เขาไม่จำเป็นต้องให้ทัพเฮยอวี่สังหารหลี่ว์ซู่ก็ได้ เพราะเขาจะหาวิธีเอง คงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…
สำหรับเขาแล้ว หลี่ว์ซู่กำลังยึดตำแหน่งผู้บัญชาการไปจากเขา สิ่งนี้ทำให้เขาเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ จากเรื่องนี้ เขาถึงขั้นคิดว่าเขาสามารถเล่นสนุกกับตำแหน่งผู้บัญชาการได้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาสามารถเอาชนะที่ช่องเขาเว่ยเป่ยได้…
อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องรอง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือต้องช่วยแต่งตัวให้ทัพอู่เว่ย
เมื่อทัพชิงไซมาถึง พวกเขามีอุปกรณ์ครบครันและแต่งกายได้อย่างเหมาะสม แต่ทัพอู่เว่ยกลับโยนอาวุธและชุดเกราะทั้งหมดของพวกเขาทิ้งไป ในขณะที่วิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด
ในที่สุดพวกเขาก็รวบรวมความกล้าและความทะเยอทะยานได้บางส่วน แต่แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่าพวกเขาไม่มีอาวุธบ้าอะไรทั้งนั้น… ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงรู้สึกว่าเขาควรขโมยอาวุธจากทัพเฮยอวี่
นี่อาจฟังดูตลกสำหรับผู้คนในเขตทางเหนือ ทัพชิงไซย่อยยับ ทัพหลงเหมิ่งแห่งช่องเขาเว่ยเป่ยและทัพฉือเหยียนแห่งช่องเขาหลีหยางล้วนอาศัยอยู่ด้วยทรัพยากรที่มีไม่เพียงพอ ขณะที่กองทัพชั้นยอดกำลังซ่อนตัว ทัพอู่เว่ยก็ต้องการที่จะขโมยของจากทัพเฮยอวี่…
จางเว่ยอวี่ถามหลังจากตกตะลึง นี่นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ
ผมไม่ได้บ้า หลี่ว์ซู่ตอบ ผมแค่วางแผนที่จะทำในสิ่งที่ทำค้างไว้ต่อ คุณลืมตัวตนของผมก่อนที่ผมจะกลายมาเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยแล้วเหรอ
จางเว่ยอวี่ตอบอย่างระมัดระวัง หัวหน้าโจรของหมู่บ้านมังกรฟ้า…
ถูกต้อง ผมต้องดำเนินชีวิตไปตามแนวทางของโจร ถ้าผมไม่ขโมยของจากทัพเฮยอวี่ในตอนที่พวกเขาเดินทางผ่านมา ผมจะต้องเสียหน้าแน่ หากว่าข่าวนี้แพร่กระจายออกไปในอนาคต หลี่ว์ซู่กล่าว
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่คิดว่าต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น จางเว่ยอวี่พบว่าหลี่ว์ซู่กำลังสอนบทเรียนวัฒนธรรมให้แก่เหล่าทหารของเขาในวันก่อนที่จะส่งพวกนั้นไปขโมยจากทัพเฮยอวี่!
หลี่ว์ซู่วิเคราะห์ว่า ลองนึกถึงความสามารถของกองทัพเราตอนนี้สิ เรามียอดฝีมือระดับหนึ่งสองคน มีระดับสองยี่สิบเอ็ดคน ส่วนคนที่เหลือแบ่งเป็นระดับสามและสี่อย่างเท่าๆ กัน ผมพูดถูกไหม
ก็ใช่ จางเว่ยอวี่ตอบ แม้แต่ทหารจากทัพชิงไซก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน
แล้วทัพเฮยอวี่ล่ะ หลี่ว์ซู่ถามอย่างใจเย็น ผู้บัญชาการคนเดียวเป็นผู้นำกองทัพกี่กองทัพ
ผู้บัญชาการหนึ่งคนนำทัพสามพันคน โดยครึ่งหนึ่งเป็นพวกระดับห้า ส่วนที่เหลือ…
แล้วพวกเขาแข็งแกร่งเท่าพวกเราหรือเปล่า หลี่ว์ซู่ถาม
ก็น่าจะไม่… จางเหว่ยอวี่ถอนหายใจ อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถคำนวณความแข็งแกร่งของกองทัพในลักษณะนี้ได้ ไม่มีทหารคนใดในทัพชิงไซที่ได้รับการฝึกฝนยุทธวิธีการรบ
ใจเย็นก่อน หลี่ว์ซู่ปลอบจางเว่ยอวี่หลังจากตบไหล่เขา พวกเราไม่ได้จะต่อสู้กับทัพเฮยอวี่โดยตรงเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงแม้ว่าพวกเราจะขโมยของจากพวกเขา เราก็ต้องรอให้กลุ่มต่อไปพัฒนาทักษะของพวกเขาก่อน ผมรู้ว่าคุณกังวล แต่ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งพอ กลยุทธ์ของทัพอู่เว่ยก็คือการไม่มีกลยุทธ์
หลังจากหลี่ว์ซู๋ปลอบใจเขา จางเว่ยอวี่ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น…
เขาจะไม่ต้องการกลยุทธ์ใดๆ เลยถ้าเขาอยู่กับทหารมังกรจักรพรรดิ
เส้นชีวิตของทัพอู่เว่ยทั้งหมดกำลังพัฒนาขณะที่วันเวลาผ่านไป น้ำมันจากยาสมุนไพรหมดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการฝึกฝนกับคนกลุ่มนี้ จางเว่ยอวี่ต้องย้ายไปที่เนินเขาอื่นทุกวัน หนึ่งคือเพื่อเก็บเกี่ยวยาสมุนไพรทั้งหมดบนภูเขา และอีกอย่างหนึ่งคือเพื่อล่าสัตว์ร้ายบนภูเขา
ในตอนแรก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบ แต่การมาถึงของกลุ่มโจรกลับทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อพวกเขากำลังล่าสัตว์ร้าย …
หลังจากการฝึกซ้อมของวันนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่เชิงเขา จากนั้น หลังจากนั่งสมาธิมาทั้งคืน พวกเขาก็ได้รับการฟื้นฟู
ทุกคนค่อยๆ คุ้นเคยกับการฝึกอย่างเข้มข้น ในความเป็นจริง เมื่อเส้นชีวิตของพวกเขาพัฒนาขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น จางเว่ยอวี่จึงต้องการเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกให้มากขึ้น
หลี่ว์ซู่ประทับใจจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มาก ในตอนกลางคืน พวกเขาต้องผลัดกันปรุงสมุนไพรและอุณหภูมิที่ใช้ก็จะต้องได้รับการดูแล ในตอนกลางวัน พวกเขาต้องเรียนรู้บทเรียนวัฒนธรรมและการฝึกฝน และสามารถนอนหลับได้ในช่วงพักเพียงสั้นๆ เท่านั้น แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ยังคงกระตือรือร้น
ราวกับว่าที่พวกเขามีความสุขก็เพราะกองทัพพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนแรก หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ไม่ชอบจางเว่ยอวี่และคนที่เหลือ และพวกเขายังคิดอีกว่าการให้กลุ่มคนธรรมดามาฝึกผู้บำเพ็ญนั้นดูแปลกๆ แต่ความนับถือที่พวกเขามีต่อจางเว่ยอวี่และคนที่เหลือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ช่วงนี้หลี่ว์ซู่มีความสุขมาก ความเร็วในการฝึกของเขาเพิ่มขึ้น แต้มอารมณ์ก็เช่นกัน
ความก้าวหน้าของบทเรียนวัฒนธรรมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน หลังจากที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขโมยอาหารมา ช่องเขาเว่ยเป่ยก็เริ่มควบคุมเสบียงที่มอบให้กับทหารแต่ละคน และเมื่อเหล่าทหารเริ่มเห็นว่าส่วนแบ่งอาหารของพวกเขาลดลงเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ให้แต่อารมณ์จำนวนมหาศาล
จริงๆ แล้ว หลี่ว์ซู่ไม่ได้คาดหวังว่าการขโมยอาหารจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายขนาดนี้ เขาอยากจะขอให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปจัดการที่เก็บอาหารของทัพหลงเหมิ่งอีกสักครั้ง…
แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะทัพหลงเหมิ่งกำลังสู้กับทัพเฮยอวี่อยู่ เมื่อทัพหลงเหมิ่งพ่ายแพ้ ทัพเฮยอวี่ก็คงจะมีพลังงานเพียงพอที่จะออกค้นหา ‘ทัพชิงไซที่หายไป’ ในภูเขาได้
ในขณะที่ทัพเฮยอวี่และทัพหลงเหมิ่งกำลังต่อสู้กันอย่างสุดกำลัง สถานการณ์ที่ภูเขาราชาหลี่ว์ก็ค่อนข้างเงียบสงบ ราวกับว่าทุกคนกำลังยึดอำนาจของตนเองไว้
หลิวอี้เจากลับมาพร้อมกับคำแนะนำ ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในฐานะผู้บัญชาการทัพเว่ยอวี่แล้ว ดังนั้นในที่สุดเขาก็สามารถเขียนจดหมายรับรองการคัดเลือกเข้าสู่กระท่อมกระบี่ได้
หลี่ว์ซู่ก็อยากรู้เล็กน้อยเช่นกัน กระท่อมกระบี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่พิเศษ ตามตำนานเล่าว่า ถึงแม้ทั่วทั้งโลกจะตกอยู่ในความโกลาหล แต่พวกเขาก็จะไม่ให้เวลาผู้สมัครในการหยุดหย่อนเลย
บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์ในวันคัดเลือกเข้ากระท่อมกระบี่เดินทางไปที่พระราชวังพร้อมกระเป๋าเดินทาง ผู้บัญชาการกองทัพก็ไม่สนใจและสนับสนุนพวกเขาเช่นกัน
หากบุคคลในตำนานของกระท่อมกระบี่ปรากฏตัวในกองทัพของพวกเขา เมื่อคู่ต่อสู้ประสบความสำเร็จในอนาคต ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะต้องช่วยเขา นี่นับเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และผลลัพธ์ของความล้มเหลวก็คือการสูญเสียทหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทุกคนสามารถจัดการเรื่องนี้ได้
เป็นเวลาเกือบหกเดือนในการคัดเลือกกระท่อมกระบี่ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็น