เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 156 ถอดหน้ากากออกให้ฉันเดี๋ยวนี้!
ชั้นบน ผ้าไหมพูดกับนภาลัย “ถ้าคุณไม่ยอมลงไป คุณนายจะให้บ่าวรับใช้ยกอาหารขึ้นมาด้านบน และมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนคุณที่นี่แทนค่ะ”
ผ้าไหมแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน นภาลัยชะเง้อมองไปยังแผ่นหลังของผ้าไหมที่หายลับตาไป รู้สึกว่าจะกินหรือไม่กินก็ต้องลงไปอยู่ดี
จังหวะที่เธอเตรียมจะออกจากห้องวิจัยยานั้น โทรศัพท์มือถือพลันดังขึ้นทันที
จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเหลือบมองหน้าจอที่ปรากฏขึ้น พลางกดรับสาย “สวัสดีค่ะ”
“พวกเราถึงอเมริกาแล้ว พักในคฤหาสน์อันสวยงามหลังหนึ่ง สภาพแวดล้อมดีมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ลูกๆ ดีใจกันยกใหญ่เลยแหละ” ภีมพลเพิ่งจะลงจากเครื่องบินส่วนตัวและรีบรายงานสถานการณ์ทางนั้นทันที
นัยน์ตานภาลัยอมยิ้ม พลันกระซิบพูด “งั้นก็ดีมากเลยค่ะ พวกคุณสนุกกันให้เต็มที่ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ ฉันต้องไปกินข้าวแล้ว”
“ตกลงครับ งั้นคืนนี้ผมโทรศัพท์หาคุณ พวกเรายังไม่ได้เปิดกระเป๋าเดินทางเลยเนี่ย?”
“โอเคค่ะ”
ภีมพลสิ้นสุดการสื่อสาร
นภาลัยเก็บโทรศัพท์ และเดินลงไปชั้นล่าง
เมื่อมาถึงด้านหน้าประตูห้องอาหาร เธอรู้สึกว่าบรรยากาศของวันนี้มันไม่เหมือนวันก่อนๆ
คะนึงนิตย์นั่งเป็นประธานอยู่บนเก้าอี้รับประทานอาหารสีขาวอย่างสงบเสงี่ยม เธอชำเลืองมองมาทางหญิงสาวที่ใส่หน้ากากสีดำที่เพิ่งเดินมาทางนี้ด้วยอารมณ์โกรธเคืองเล็กน้อย
นภาลัยชะงักฝีเท้ายืนนิ่งหยุดอยู่กับที่ ตอนที่เตรียมจะเอ่ยปาก คะนึงนิตย์พลันพูดเสียงแข็งทันที “ถอดหน้ากากออกเดี๋ยวนี้!”
การสบตาเธอ หน้าอกนภาลัยหดตัวลงเล็กน้อย
“เร็วหน่อย!” คะนึงนิตย์ตบโต๊ะและลุกพรวด จนทำให้ทุกคนตกใจจนขวัญเตลิดไปตามๆ กัน
นภาลัยพลันชะงักอย่างเห็นได้ชัด ถูกจับได้แล้วเหรอเนี่ย?
หลังจากนั้นชั่วอึดใจ นภาลัยที่เตรียมใจไว้ดีแล้ว ท่ามกลางการจับจ้องจากคะนึงนิตย์ พลันยกมือขึ้นถอดหน้ากากสีดำลง
ใบหน้าเล็กอันวิจิตรงดงามทำให้หัวคิ้วของคะนึงนิตย์ย่นเข้าหากันทันที นัยน์ตาเย็นชาลงเยอะ!
ราวกับบรรยากาศมันหยุดนิ่งกะทันหัน สมองของผ้าไหมขาวโพลนตาม
คะนึงนิตย์เดินย่างก้าวมาทางด้านหน้า วินาทีที่หยุดนิ่งอยู่ด้านหน้าของนภาลัยนั้น
เพี๊ยะ—!
ใบหน้าของนภาลัยถูกตบจนเอี้ยวไปอีกทาง! ใบหูมีเสียงอื้ออึง ด้านหน้ามีดาวระยิบระยับไปทั่ว!
จากนั้นพลันเกิดอาการบวมแดงขึ้นมาครึ่งใบหน้าของเธอตามมาติด ความรู้สึกเจ็บชาเพิ่มมากขึ้น!
ผ้าไหมที่อยู่ด้านข้างก็ตะลึงพรึงเพริดเช่นเดียวกัน!
ทำไมคุณนายถึงลงมือทำร้ายคนได้เนี่ย?
นภาลัยอดกลั้นความโกรธเอาไว้ในใจ และคอยตักเตือนตนเองว่าเธอเป็นมารดาของภีมพล เป็นย่าของลูก ต้องให้เกียรติเป็นอย่างมาก!
ดังนั้น เธอจึงค่อยๆ หันใบหน้าที่ถูกตบจนหน้าเอี้ยวไปอีกทางกลับมา และชำเลืองมองคะนึงนิตย์
เธอมองเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งที่อยู่ใต้หน้ากาก ดวงตาคู่นั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจงเกลียดจงชังและอาการรังเกียจรังงอน!
“โกหกฉัน โกหกลูกชายของฉัน!” นั่นคือแววตาที่อยากจะสับเธอเป็นหมื่นๆ ชิ้นอย่างทนรอไม่ไหว “แกยังอยากจะเสแสร้งไปถึงเมื่อไหร่?!”
นภาลัยตั้งสติทัน เรื่องโกหกคน เธอจึงกระวีกระวาดกล่าวขอโทษทันที “ขอโทษค่ะ”
ไม่รอให้เธอได้พูดเพิ่มเติม คะนึงนิตย์พูดเหยียดหยามสวนทันควัน “แกกับหมอกรินทร์ได้กันมานานแล้วใช่มั้ย? เด็กสองคนนั้นก็เป็นลูกของเขานะสิ? ไม่งั้นทำไมเขาถึงได้รวมหัวช่วยแกโกหกด้วย?”
“คุณพูดอะไรออกมา?” นภาลัยเลิกคิ้วเพื่อต้องการอธิบาย “กะ….”
“ยังอยากจะหาข้ออ้างอีกเหรอ? หรือว่าสร้างเรื่องได้น่าเชื่อมากกว่า?!” ความโกรธเคืองตีพุ่งจากหัวใจคะนึงนิตย์ “อีนังเด็กบ้านป่าเมืองเถื่อน! กล้าปลอมตัวเป็นเภสัชกรรมิตางั้นเลยเหรอ? ตกลงว่าพวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่!?”
“เด็กๆ เป็นลูกของไอ้กรินทร์ใช่มั้ย?!”
“ปลอมแปลง DNA มางั้นสิ?”
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ นภาลัยหมดคำพูดทันที การเผชิญหน้ากับคนบ้าอันน่าสมเพชเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาสามารถอธิบายอะไรได้
โพรงปากนภาลัยมีกลิ่นเลือดคละคลุ้ง เธอชูมือขึ้นมาเช็ดมุมปากอย่างแผ่วเบา จนเห็นว่ามีเลือดไหลออกมา
“ถ้าไม่ใช่ว่าญาณีคอยเตือนฉันมาอีกที ตระกูลกงพลีคงถูกแกกับไอ้กรินทร์ปอกลอกจนหมดตัวไปแล้วมั้ง?!” คะนึงนิตย์ตะคอกใส่เธอ “พูด! จุดประสงค์ของพวกแกคืออะไร?! เพื่อเงินใช่มั้ย?!”
นภาลัยไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่แค้นเคืองมากขนาดนี้มาก่อน นัยน์ตาคู่นั้นราวกับมีกองเพลิงลุกโชติช่วง
“เขาพัฒนาตัวยา ส่วนแกเข้ามาเพื่อรับเครดิตงั้นสิ?! ตกลงว่าพวกแกอับอายเป็นบ้างมั้ย?! แกคิดว่าตระกูลกงพลีของพวกเราเป็นคนโง่ใช่มั้ย?!”
ผ้าไหมคอยประคองคะนึงนิตย์เอาไว้ เกรงว่าเธอจะลงมือลงไม้ทำร้ายคนอีก
ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธเคือง โกรธจนหายใจไม่สม่ำเสมอ “นังนภาลัย!!”
นภาลัยชะเง้อมองเธออยู่เช่นนี้ ไม่อยากจะอธิบายอะไรเพิ่ม เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เธอสามารถอธิบายอะไรได้
“ไสหัวไป!” คะนึงนิตย์ชี้นิ้วไปทางประตู “รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก!”