เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 225 ตายก็อยากเจอเธอ
เธอลุกขึ้นนั่ง รู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก “คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“ผมรูดการ์ดประตูเข้ามาน่ะ” เขาวางขนมสองกล่องลงบนโต๊ะ “อยากลุกขึ้นมากินขนมไหม? เพิ่งทำมาสดๆ ร้อนๆ รู้สึกดีขึ้นไหม?”
นภาลัยกัดริมฝีปากเบาๆ “ฉันยังปวดท้องอยู่” จากนั้นเธอก็ยกผ้าห่มขึ้นและลุกขึ้น
“หืม?” เขาหันไปมองแล้วรีบเข้าไปช่วยเธอ “ไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยไหม? เด็กสาวไม่ควรฝืนตัวเองเกินไปเวลาอยู่ข้างนอกนะ”
ด้วยความช่วยเหลือของเขา เธอนั่งบนขอบเตียงและสวมรองเท้า เมื่อเธอยืนขึ้น ตาของไวศิษฎ์ก็สะดุดเข้ากับเลือดที่เปื้อนบนผ้าปูที่นอน เขาถามโดยตรงว่า “คุณอยู่ในช่วงมีประจำเดือนเหรอ?”
“เปล่านี่คะ” เธอมองตามสายตาประหลาดใจของเขาและเห็นมัน
ในเวลานี้ อาการปวดท้องเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นภาลัยไม่มีเวลาคิด เธอเอนตัวไปที่แขนของไวศิษฎ์ย่างอ่อนแรง
ไวศิษฎ์โอบแขนรอบเอวของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายส่วนล่างของเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นแล้วก้าวออกจากห้องไป
กระทำทั้งหมดนั้นทั้งชำนาญและคล่องแคล่ว
“คุณอดทนเอาไว้นะ!” เขาปลอบโยนและรีบวิ่งเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเธอในอ้อมแขนของเขา
จู่ๆ นภาลัยก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่หน้าผาก เธอโอบแขนรอบคอแล้วมองดูเขาอย่างอ่อนแรง คางคมชัดนั่นค่อนข้างคล้ายกับภีมพลมากๆ
วินาทีนี้เธอคิดถึงเขาอีกแล้ว เธอคิดถึงเขาจริงๆ …
หลังจากวิ่งออกจากลิฟต์ ไวศิษฎ์ก็อุ้มเธอไปที่ข้างถนน รีบโบกแท็กซี่และพาเธอไปที่เบาะหลังของรถ
“ไปโรงพยาบาล ด่วนที่สุดเลยครับ”
“ครับ”
ประตูปิดลงและรถพุ่งตรงไปยังโรงพยาบาล
ไวศิษฎ์เช็ดเหงื่อของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้า ด้วยท่าทางดูประหม่า “อดทนไว้นะ ใกล้จะถึงแล้ว”
“ขอบคุณนะ ศิษฎ์…” นภาลัยเห็นเขาเป็นน้องชายและรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเขาเป็นอย่างมาก “ได้โปรดอย่า…อย่าบอกภีมพล ได้โปรด”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าไอ้สารเลวภีมพลทำอะไรกับเธอ แต่ไวศิษฎ์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องนี้อยู่แล้ว “ได้ ผมสัญญา แต่คุณต้องรับปากผมนะว่าจะอดทนไว้!”
“แค่ปวดท้อง ไม่ถึงตายหรอกน่า…” เธอทำหน้าล้อเลียนใส่เขา
ใครจะรู้ว่าเขากลอกตามองบนใส่เธอ “ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าโชคร้าย อาจจะจามแล้วตายเลยก็ได้!”
“…”
ในโรงพยาบาล
ภีมพลยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน ไม่มีข่าวดีใดๆ ตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือด
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเจ็ดหรือแปดคนรวมตัวกันเพื่อจัดทำแผนการรักษา
“ผู้อำนวยการครับ ตรวจพบว่าจิตสำนึกในการเอาตัวรอดของคุณภีมเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ”
“ริมฝีปากของเขาพยายามที่จะขยับ ไม่รู้ว่าจะต้องการพูดอะไรครับ”
“ไปฟังสิ”
แพทย์สองคนเอนตัวไปข้างหน้าริมฝีปากบาง ๆ ของภีมพลทันทีและฟังอย่างระมัดระวัง
แพทย์คนอื่นๆ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหยุดเลือดไหล ถ่ายเลือดและพยายามดึงเขากลับมาจากประตูนรก
“นภา… นภา …” ภีมพลไม่รู้สึกเจ็บปวดและเรียกชื่อเธอเบา ๆ ด้วยความตั้งใจที่เหลืออยู่
แพทย์สองคนที่หูดีพยายามอย่างมากที่จะฟังให้ชัดเจน “นภาเหรอ?”
“นั่นชื่อคนหรือเปล่า?”
“น่าจะใช่ครับ”
“จะใช่หรือไม่ เราต้องถามครอบครัวของเขา ตามหาคนคนนี้ได้เจอ!
ในเวลานั้นเอง เฮลิคอปเตอร์มาถึงนิวยอร์กและจอดอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
คะนึงนิตย์และคนอื่นๆ ลงจากเครื่องบินและตรงไปที่ลิฟต์
ครั้งแรกที่พวกเขามาถึงห้องฉุกเฉิน ตาของพวกเขาแดงก่ำและบวมมาก
“สวัสดีครับ คุณนาย คุณญาณี” สมาชิกผู้ติดตามหลายคนของภีมพลทำความเคารพพวกเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ผ้าไหมและชนรพคอยพยุงคะนึงนิตย์ เธอไปที่ประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดอยู่ ก่อนจะเอามือสัมผัสประตูเบา ๆ นี่เป็นสถานที่ที่ใกล้ที่สุดกับลูกชายของเธอ
การมองเห็นของเธอพร่ามัว แถมขาของเธออ่อนแอ และร่างกายของเธอก็สั่นเทา
จิตวิญญาณดูเหมือนจะถูกโจมตีครั้งใหญ่ “ลูกเอ๋ย… ลูกภีม… ลูกต้องอดทนไว้นะ”
ไฟเตือนที่ประตูห้องฉุกเฉินยังคงกะพริบอยู่ นั่นแปลว่าสถานการณ์ก็ยังวิกฤตอยู่มาก
ญาณีทรุดตัวลง เธอร้องไห้ไม่ได้ เพราะถูกห้ามไว้ด้วยการศึกษาที่สูงของเธอ และไม่เหมาะที่จะร้องไห้เสียงดังในโรงพยาบาล
ความคิดของคะนึงนิตย์ค่อยไหลกลับมา เธอลืมตาขึ้น ดวงตาที่บวมแดงของเธอดูเย็นชา “อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นได้ยังไง?”