เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 484 เด็กสาวที่ส่งไปไม่พ้น
พวกผู้ชายอายุประมาณสี่สิบกว่า พวกเขาใส่ชุดสูทเต็มยศ ในตัวแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความเยือกเย็นที่คงที่ ทำให้คนรู้สึกว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาด้วยความหวังดี
สมองของนุชวราว่างเปล่าไปหลายวินาที มีความรู้สึกเหมือนกระต่ายน้อยเจอกับหมาป่าเข้า
ผู้ชายคนที่เข้าประตูมาเป็นคนสุดท้ายปิดประตูลง แล้วก็ใช้ร่างกายที่สูงใหญ่บังที่ลูกบิดประตูเอาไว้ เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ต้องการให้นุชวราหลบหนี
ความจริงนุชวราตกใจจนอึ้งไปแล้ว และสมองก็ตอบสนองช้าไปหลายเท่า ไม่ได้อยากจะหลบหนีเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกัน ในผับที่มีเสียงเพลงดังกระหึ่ม
ญาณีนั่งอยู่ที่บาร์ แสงไฟกะพริบสาดส่องลงมาที่ตัวเธอไม่หยุด ทำให้รู้สึกถึงความโศกเศร้าที่ดูเลือนราง
รอบข้างมีแต่หญิงชายห้าตาดีที่โยกตัวไปตามเสียงเพลง ทุกคนโยกย้ายส่ายร่างกายที่ยังหนุ่มสาวไปอย่างเมามัน เหมือนกับว่ามีแต่ทำอย่างนี้ถึงจะวางใจที่ว้าวุ่นอยู่ไม่สุขดวงนั้นลงได้
ญาณีไม่ได้ดื่มเหล้ามากมาย เธอไม่ได้ออกมาหาความมึนเมา เธอแค่ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวเฉย ๆ เท่านั้น
บางทีอาจจะมีแค่ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ถึงจะสามารถลบเลือนภีมพลออกไปจากความทรงจำได้ชั่วคราว
ในช่วงที่เธอยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ และโลกทั้งใบกลับกำลังรื่นเริง ความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่าเยาะเย้ยจริง ๆ
ตอนที่เธอโดดเดี่ยวและซึมเศร้านั้น ภีมพลกับนภาลัยกำลังมีความสุขอยู่ใต้หลังคาเดียวกันอยู่
ในตอนที่เธอยังหวนนึกถึงอดีตอยู่นั้น ไม่มีใครหยุดลงเพื่อเธอ แถมยังไม่มีเวลาว่างหันมามองเธอเลยสักนิด
นี่ก็คือความโศกเศร้าของการไม่ถูกรัก
ด้านนอกสายฝนยังคงโปรยปราย ยิ่งตกยิ่งหนัก
จนเกิดการประกาศเตือนระดับกลางแล้ว รถแท็กซี่หยุดการสัญจรไปหมดแล้ว ร้านค้าและซูเปอร์มาเก็ตมากมายต่างก็ปิดแล้ว
รถไมบัสของวริศขับเคลื่อนไปท่ามกลางสายฝน ไปตามทางที่เบญญาบอก หลังจากที่ฝ่าฟันมาครึ่งค่อนเมืองแล้ว ในที่สุดก็มาจอดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง “เหอะ เหอะ ถึงแล้ว”
วริศไม่รู้จะว่าอะไรเธอดี นี่มันไม่ใช่ทางผ่านเลยสักนิด!
และที่สำคัญเธอก็ไม่บอกสถานที่มา เอาแต่พูดว่าใกล้ถึงแล้วใกล้ถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแล้วตรงไป อย่างกับกลัวว่าจะทิ้งเธอไว้กลางทาง
ถ้าหากว่าเธอบอกชื่อสถานที่มา ก็ยังจะสามารถเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดได้
“ขอบคุณนะ” เบญญารู้อยู่เต็มอก และก็รู้สึกผิดมากด้วย “เดี๋ยววันหลังฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณนะ”
พูดจบ เธอก็แกะเข็มขัดนิรภัยออกอย่างรวดเร็ว พอเปิดประตูออกก็ฝ่าสายฝนลงจากรถไป แล้วปิดประตูรถลงและหมุนตัววิ่งไปทางคฤหาสน์
วริศกลับรถไปอย่างสงบนิ่ง เพราะทิศทางไม่ถูกต้อง
ขับรถฝ่าสายฝนกลับบ้าน คิดว่าคงต้องใช้เวลากว่าสี่สิบนาที แต่ในใจวริศไม่ได้มีคำพร่ำบ่นเลยสักนิด
พอเขากลับรถเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเหยียบคันเร่งลงไป แล้วขับรถจากไปนั้น ประตูที่นั่งข้างคนขับก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง แล้วเด็กสาวที่ตากฝนจนเปียกก็มุกเข้ามาในรถอีกครั้ง
วริศถูกเธอทำให้ตกใจจนสะดุ้งอีกครั้ง
เห็นแต่เบญญาปิดประตูรถ แล้วดึงกระดาษไปซับน้ำฝนบนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะคะ ฉันลืมเอากุญแจมา เปิดประตูไม่ได้”
เธอรักเสื้อตัวนี้มาก เป็นเสื้อรุ่นลิมิเต็ดที่เสียเงินเป็นล้านไปแย่งซื้อมา ได้ยินมาว่าให้เปียกน้ำไม่ได้ด้วย
“…….” วริศมองไปที่เธออย่างหมดคำพูด
ไม่นาน เบญญาก็ดึงกระดาษหมดไปครึ่งกล่อง ในที่สุดก็ซับน้ำบนเสื้อจนแห้งได้ “คือว่า……คุณเป็นคนดีก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด ช่วยส่งฉันไปโรงแรมหน่อยได้ไหมคะ?”
พอพูดจบลง เธอก็หันหน้าไปมองเขา
วริศสบตาเข้ากับเธอ แล้วไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“ขอร้องคุณละค่ะ” เด็กสาวจ้องมองเขาไปอย่างน่าสงสาร
เขาเก็บสายตากลับไปแล้วก็ขับรถออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง วริศก็เปิดปากพูดขึ้น คุณรู้ตำแหน่งหรือเปล่า?” เขาไม่คุ้นเคยกับแถวนี้
ฝนตกหนักเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีที่ปัดน้ำฝนแต่ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ วริศจึงต้องลดระดับความเร็วของรถลงเป็นขับช้ามาก ๆ
ตอนนี้รถบนท้องถนนมีไม่มากแล้ว
ร่างกายของเบญญาโน้มไปข้างหน้า แล้วเบิกตากว้างขึ้นมา! พยายามมองสำรวจเส้นทางข้างหน้าไป “เลี้ยวไปทางขวาเหมือนจะมีโรงแรมห้าดาวอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าอะไรนะ?” เธอครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตบหน้าผากทีหนึ่ง “ชื่อว่ารามาดา!”
ไปตามทางที่เธอบอก รถไมบัสเปิดไฟเลี้ยวขวาขึ้นมา ในที่สุดวริศก็มาจอดรถตรงนอกห้องโถงรับแขก
เหลือศีรษะเป็นตึกสูงใหญ่ที่รอบนอกดูสง่างาม และยังมีเถาวัลย์สีเขียวห้อยย้อยลงมาเล็กน้อย บดบังสายฝนเต็มท้องฟ้าไป
“คือว่า……” เด็กสาวหันไปมองอย่างรวดเร็ว แล้วพูดออกมาว่า “ฉันขอใช้บัตรประชาชนของคุณไปเปิดห้องได้หรือเปล่า? เพราะว่าฉันไม่ได้พกบัตรประชาชนมาค่ะ”
วริศส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด
“ขอร้องคุณเถอะนะคะ เป็นคนดีต้องเป็นให้ถึงที่สุดนะคะ!” สิบนิ้วของเธอประสานกัน ทำท่าคำนับให้กับเขา
เขาพูดขึ้นว่า “ผมก็ไม่ได้เอาบัตรประชาชนมาเหมือนกัน”
“……”
ตาสี่ข้างสบเข้าด้วยกัน ในรถเกินความเงียบเฉียบขึ้นมาชั่วครู่