เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 678 นุชวราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“…” เมื่อคิดว่าลูกสาวตัวเองโตแล้ว ก็ต้องแต่งงาน คุณิตาเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกเข็มแทง
มีภาพเบญญาตอนเด็กผุดเข้ามาในหัวของเธอ มันเป็นภาพที่ชัดเจน และอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เด็กตัวเล็กๆคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว… เธอกำลังจะมีแฟน
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ธามเมธีถอนหายใจเบาๆ เธอวิเคราะห์ต่อ “ในฐานะพ่อแม่อย่างเรา ไม่ควรห้ามลูก แต่ต้องปกป้องลูก วริศคนนี้ไม่ใช่คนเลว เพราะเขาเป็นคนของประธานภีม”
เพราะอีกฝ่ายคือประธานภีม เขาจึงไม่เป็นกังวลใช่ไหม?
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาคงจะถลกหนังผู้ชายคนนั้นด้วยตัวเอง
“คนดีไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสามีที่ดี ไม่ได้หมายความว่านิสัยของเขาจะเข้ากับเบญญาของเรา” เธอมีความคิดเห็นของตัวเอง “คุณคิดว่ามันคือการทำธุรกิจอย่างนั้นเหรอ ยังไงก็จะประมาทไม่ได้ ลูกไม่ควรปิดบังผู้ปกครอง”
“พวกเขาเลยไม่ได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน แต่แค่คบกันก่อน”
คุณิตาหันมามองเขา เธอมองเขาด้วยสายตาที่สงสัย “คุณ…” สายตาของเธอเฉียบแหลมขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมเหรอ ผมพูดอะไรผิดไป” ธามเมธีถามอย่างอารมณ์ดี
“คุณคะ คุณบอกฉันตามความจริง คุณรู้เรื่องนี้นานแล้วใช่ไหม” เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ “คุณสนิทกับประธานภีม แล้วก็สนิทกับผู้ช่วยคนนี้ คุณรู้ว่าพวกเขาคบกันนานแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ผมไม่รู้!” เขายืดตัวตรง “ผมไม่รู้จริงๆ!”
พวกเขาสองมองหน้ากัน เขาพูดความจริง ในสายตาของเขาไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
คุณิตาก็ไม่เค้นถามต่อ
รอ!
ดูว่าคืนนี้เธอออกมาไหม
เย็นวันนี้เมืองไนร์ก้าสวยงามมาก มีแสงพระอาทิตย์ตกที่แดงอร่าม
นุชวราออกมาจากทีเอ็ม กรุ๊ป เธอไม่ได้กลับบ้านทันที แต่กลับถือบัตรเครดิตของญาณีไปที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไนร์ก้า
และไม่ได้เบียดรถเมล์ไป ครั้งนี้เธอเรียกแท็กซี่ไป
ลงมาจากรถ ยืนอยู่หน้าประตูห้างสรรพสินค้า มองดูแสงไฟที่สว่างไสวข้างใน เธอรู้สึกเวียนหัว
สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยืดตัวตรงและเดินเข้าไปข้างใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่ เมื่อก่อนทุกครั้งที่เดินผ่านข้างนอก มองไปที่หน้าต่างข้างในที่หรูหรา เธอมักจะรู้สึกอิจฉา
คนส่วนใหญ่ที่เดินเข้าออกที่นี่ได้คือคนรวยที่อยู่แถวหน้าของวงการแฟชั่น
คู่รักแต่ละคู่ที่แต่งตัวหรูหรา ผู้หญิงหน้าตาดีที่ควงแขนผู้ชายอย่างสนิทสนมด้วยใบหน้าที่เขินอาย
มันทำให้นุชวราอิจฉา ความรักแบบนี้ช่างสวยงามจริงๆ
ซื้อเสื้อผ้าก่อนดีกว่า!
คนธรรมดาอย่างเธอเดินมาที่โซนเสื้อผ้า พนักงานที่รูปร่างสูงเดินเข้ามาต้อนรับอย่างเป็นมิตร “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
เมื่อพนักงานเห็นเสื้อผ้าของนุชวราในระยะใกล้ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
เธอคิดในใจว่า ผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าแผงลอยคนนี้ จะมีปัญญาซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมเหรอ
“คุณผู้หญิงมาผิดทางรึเปล่าคะ” พนักงานเตือนด้วยความหวังดี เธอเดินเข้ามากระซิบข้างหูนุชวรา “ร้านเราเป็นร้านแบรนด์เนม เสื้อผ้าชิ้นเดียวก็ราคาเป็นหมื่น”
จากนั้น ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพาเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน มีพนักงานเดินเข้าไปต้อนรับอย่างเป็นมิตร
นุชวรากลั้นความโมโหไว้ในใจ “ร้านแบรนด์เนมแล้วทำไม ฉันไม่มีปัญญาซื้อเหรอ อย่าดูถูกกันหน่อยเลย”
“…” พนักงานยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอแค่เตือนด้วยความหวังดี เพื่อไม่ให้นุชวราขายหน้า
“ไม่ต้องห่วง ฉันมีเงิน คุณบริการฉันให้ดีก็พอ” นุชวรามองไปรอบๆ จากนั้นก็เริ่มมองหาสไตล์ที่ตัวเองชอบ
พนักงานเดินตามหลังเธออย่างระมัดระวัง มองดูรองเท้าหนังที่ถูกเช็ดจนหนังถลอกของเธอ สำหรับเรื่องที่เธอมีเงินรึเปล่า พนักงานยังไม่ค่อยมั่นใจ
พนักงานอีกสองคนกำลังบริการชายวัยกลางคนและเด็กผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาในร้านอย่างขยันขันแข็ง
“คุณผู้หญิงสวยจังเลยค่ะ มาดูรองเท้าหรือเสื้อผ้าคะ รุ่นล่าสุดของร้านเราเพิ่งมา หุ่นคุณดีขนาดนี้ ฉันว่ามันเหมาะกับคุณมากเลยค่ะ”
“ที่รัก ชอบอะไรก็เลือกเลย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยท่าทีใจป้ำ
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มหน้าบาน “อย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะคะ วันนี้ฉันจะซื้อเยอะๆเลย”
นุชวราได้ยินคำพูดพวกนั้นทุกคำ มันทำให้เธอรู้สึกแสบแก้วหู เธอหันไปมอง สองคนนั้นอายุห่างกันตั้งยี่สิบสามสิบปี
“ชีวิตมักจะรังแกคนจน ความรักก็เหมือนกัน”
คำพูดของญาณีดังเข้ามาในหูของเธออีกครั้ง