มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 3 แกคู่ควรจะมอบอะไรให้
มู่เซิ่งชำเลืองมองดูเล็กน้อย ก่อนจะยกขาขึ้นเตะอย่างสบายๆ ราวกับไม่สนใจสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเลยแม้แต่น้อย
“กร๊อบ !”
เสียงกระดูกหักดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
“อ๊ะ! ขาฉัน !” หัวหน้าแก๊งคุกเข่าลงบนพื้น กอดขาลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด เสียงคร่ำครวญของเขาดังก้อง
มู่เซิ่งก้าวไปทางซ้าย ชกเข้าไปที่ใบหน้าของลูกน้องอีกคนอย่างแรง
“กร๊อบ !”
เสียงกระดูกแตกขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายกระแทกเข้ากับผนัง ร่างกายของเขาค่อยๆ ทรุดลง คอพับโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เมื่อจัดการกับลูกน้อง 2 คน ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกตะลึง
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ว่ากันว่าลูกเขยตระกูลเจียงกระจอกมากไม่ใช่เหรอ? เขาจะมีพลังมากขนาดนี้ได้ยังไง?
“ไอ้พวกเศษสวะ ฉันจะเลี้ยงพวกแกไปทำไม! จัดการมัน” หวังกุ้ยชี้ไปที่มู่เซิ่งและคำราม ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
แต่ทุกคนกลับพากันหวาดกลัว เขาไม่เห็นหรือไงว่าลูกน้อง 2 คนก่อนถูกกำจัดไปแล้ว แล้วพวกเขาจะกล้าทำอะไรกับมู่เซิ่งได้ยังไง!
“มีอีกไหม? เรียกออกมาให้หมดสิ” มู่เซิ่งเหลือบมองไปยังหวังกุ้ยเบา ๆก่อนจะเดินเข้าไปช้าๆ
หวังกุ้ยตกใจมากจนถอยหลังกลับครั้ง เขาชี้ไปที่มู่เซิ่งและพูดด้วยเสียงสั่นเทา
“แก…มู่เซิ่ง แกมันไม่รู้อะไรเลยแกรู้ไหมว่าถ้าทำให้ฉันโกรธจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะสั่งหยุดการจัดหาวัสดุก่อสร้างทั้งหมดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
“พอบริษัทล้มละลาย เจียงหว่านก็จะอยู่ในตระกูลเจียงต่อไปไม่ได้อีก!”
“ไสหัวไปให้พ้น!” หวังกุ้ยตะโกน
มู่เซิ่งหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยดวงตาเหมือนน้ำแข็ง
ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตกลงไปในขุมนรกในทันที ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดคืบคลานมาจากทั่วทุกมุมราวกับจะกลืนกินเขา
หวังกุ้ยสั่นสะท้าน
“ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะฆ่าแกแน่”
มู่เซิ่งทิ้คำพูดไว้และพาเจียงหว่านออกจากห้อง
หวังกุ้ยยังคงขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าของเขาบวมช้ำ เขาไม่กล้าพูด อะไร ทำได้แค่มองไปยังแผ่นหลังของมู่เซิ่งด้วยดวงตาดุร้าย
หลิงเหยียนหรานรออยู่ที่ประตู เมื่อเธอเห็นเจียงหว่านเดินออกจากห้อง เขาก็รีบทักทายเธอทันที เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างหลังจากเห็นมู่เซิ่ง แต่เจียงหว่านส่ายหัว นั่นแสดงว่าเรื่องได้รับการแก้ไขแล้ว
ทั้งสองขับรถกลับบ้านโดยไม่พูดอะไรกันอีกเลย
ทันทีที่เธอกลับถึงบ้าน จ้าวหลินเห็นมู่เซิ่งและเจียงหว่านเข้ามาที่ประตู เธอเหลือบมองยังแขนของ เจียงหว่านที่บวมเล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่ง “เจียงหว่าน มานี่ซิ”
“แม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เจียงหว่านเดินไปและอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“มู่เซิ่ง นั่งลง!”
มู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย บรรยากาศตรงหน้าเขาดูจริงจังแปลกๆ
เขานั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ได้พูดอะไร
“แม่เพิ่งอ่านใหม่อีกรอบ อันที่จริงมีเวลาไม่ถึง 60 วันก็จะถึงวันที่พ่อของลูกต้องการ” จ้าวหลินกล่าว “แต่ถ้าให้พวกแกหย่ากัน แล้วหาแฟนใหม่เองคงจะยาก แถมดูรีบร้อนไปหน่อย”
“ฉะนั้น… เจียงหว่าน แม่ได้หาคู่หูที่เหมาะกับลูกแล้ว เขาจะกลับมาประเทศจีนในสัปดาห์หน้า แม่จะนัดให้พวกเธอสองคนได้พบปะติดต่อกันก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องอื่น”
“ผมไม่เห็นด้วยครับ!” ในขณะนั้น มู่เซิ่งก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
เขาไม่ได้โกรธเพราะหึงวงแต่อย่างใด
เขารู้อยู่แก่ใจว่าแม้หลังจากแต่งงาน 3 ปีก็ไม่มีความรักระหว่างเขากับเจียงหว่าน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายในขณะที่รู้ว่าหย่าร้างในอีกสองเดือน
แต่สิ่งที่เขาสนใจคือนันคือศักดิ์ศรี! ถ้าเจียงหว่านอยู่กับคนอื่นก่อนหย่า นั่นแปลว่าเขากำลังถูกสวมเขา!
นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนไม่มีวันทนได้เด็ดขาด!
“ไอ้คนไร้ประโยชน์! ฉันถามความคิดเห็นของแกหรือไง?” จ้าวหลินตวาดใส่มู่เซิ่ง “ฉันแค่บอกแก แต่ไม่ได้ให้แกพูด!”
มู่เซิ่งกำหมัดแน่น แม้ว่าเขาจะเคยชินกับการถูกจ้าวหลินผู้เป็นแม่ยายทารุณ แต่การทำแบบนี้มันแย่มาก เขาไม่มีทางปล่อยไว้แน่!
ก่อนที่มู่เซิ่งพูดขึ้นอีกครั้ง เจียงหว่านที่นั่งอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นเดินไปหาจ้าวหลินและพูดว่า “แม่ หนูก็ไม่เห็นด้วย! ถ้าทำแบบนี้มันจะต่างอะไรกับพวกผู้หญิงเล่นชู้ล่ะ!”
“ทำไมถึงไม่เห็นด้วยล่ะ? ยังไงพวกแกก็จะหย่ากันอยู่แล้ว เริ่มดูใจกับคนอื่นตอนนี้จะเป็นไรไป”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวหลินไม่ได้คาดหวังว่าเจียงหว่านจะมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ “แกอยากใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับคนงี่เง่าแบบนี้ แล้วต้องโดนเยาะเย้ยอยู่ตลอดหรือไง”
“ใช่ หนูยอมรับว่าหนูดูถูกเขา แต่ถึงแม้หนูจะไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตกับเขา แต่หนูจะไม่ทำแบบนั้นก่อนหย่าแน่นอน!” เจียงหว่านกล่าวอย่างหนักแน่น
เธอจำได้ภาพที่มู่เซิ่งยืนอยู่ตรงหน้าเธอในRoyal Clubได้ดี และทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ตั้งแต่เขาถูกพ่อพากลับมาที่บ้านหลังนี้ เขาก็ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยไม่เคยโต้เถียงสักคำ แม้จะดูเลี้ยงดูราวกับสุนัขมาหลายปี ยิ่งกว่าไปนั้นถ้าไม่ได้เขาช่วยเหลือเธอไว้ในวันนี้ เธอคงกลายเป็นของหวังกุ้ยไปแล้ว
“หนูไม่มีทางรับปากเรื่องนี้แน่”
มู่เซิ่งที่กำลังนั่งอยู่ถอนหายใจ จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แค่รังเกียจเขาเพียงอย่างดียว ในเวลานี้ เธอยังยินดีที่จะพูดแทนเขาอีกด้วย
แม้จะเป็นเพียงน้ำใจก็ตาม
“ถ้าเหนื่อยแล้วต้องการความช่วยเหลือก็บอกผมนะ”
มู่เซิ่งกระซิบอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันหลังกลับไปที่ห้อง
“อะไรนะ?” เจียงหว่านได้ยินไม่ชัด
“ไอ้ขยะ แกกล้าเดินออกไปก่อนที่ฉันจะพูดจบงั้นเหรอ? ไสหัวกลับไปเลยนะ!”
…
หลังจากได้รับบทเรียนของมู่เซิ่ง หวังกุ้ยก็ไม่กล้าที่จะสั่งหยุดวัสดุ ทำให้ของในบริษัทของเจียงหว่านมีเสถียรภาพมากขึ้นเช่นกัน
คืนนั้นมู่เซิ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก เจียงหว่านซึ่งสวมชุดสีม่วงเดินเข้ามาและโยนเงินลงบนเตียงของมู่เซิ่ง “เงินค่าขนมเดือนนี้ของนาย”
ความหนาของเงินน่าจะอยู่ที่หลักหมื่น มู่เซิ่งเหลือบมองแล้วพูดเบา ๆ “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ทำไม? นายหาได้มากกว่านี้หรือไง?” ตอนแรกเจียงหว่านต้องการหาโอกาสที่จะขอบคุณมู่เซิ่ง แต่หลังจากเห็นท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของอีกฝ่าย หัวใจของเธอก็โกรธอย่างอธิบายไม่ถูก “พรุ่งนี้คุณปู่ของฉันจะทำการรักษาเสร็จ และออกจากโรงพยาบาล คนในครอบครัวของเราต้องไปเยี่ยม อย่าลืมซื้อของขวัญกับเสื้อผ้าดีๆแล้วกัน อย่าให้ฉันต้องอับอายขายขี้หน้า”
หลังจากพูดจบ เจียงหว่านก็กระแทกประตูและเดินออกไป
“ผู้หญิงคนนี้กินรังแตนมาหรือไง?” มู่เซิ่งขมวดคิ้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การพาเขาไปด้วยดูเหมือนจะไม่ใช่สไตล์ปกติของเจียงหว่านเอาซะเลย
แต่…
เนื่องจากเจียงหว่านให้เงินเขาเป็นจำนวนมาก มู่เซิ่งจึงทำตามคำสั่งนั้น หลังจากเลือกเสื้อผ้าและของขวัญแล้ว เขากับเจียงหว่านจึงไปโรงพยาบาลชั้นนำในเมือง เจียงหนานด้วยกัน
ชั้น 5 ของโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ชั้นเยี่ยม และขนาดของแต่ละวอร์ดประมาณห้าสิบตารางเมตร
ในเวลานี้ วอร์ดผู้ป่วยเต็มไปด้วยผู้คน เมื่อพวกเขาเห็นเจียงหว่านและมู่เซิ่งเข้ามา พวกเขาก็หันไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
“ดูสิ เจ้าลูกเขยไร้ประโยชน์มาแล้ว”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเจียงหว่านชอบผู้ชายแบบนี้ได้ยังไง”
“เงียบเสียงหน่อย อย่ารบกวนคุณปู่”
เสียงพึมพำโดยรอบดังขึ้น จ้าวหลินฟังแล้วรู้สึกอึดอัด เธอจ้องไปที่มู่เซิ่ง ดวงตาของเธอดูเหมือนจะบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะลูกเขยไร้ประโยชน์แบบนี้ คนอื่นจะมาดูถูกได้ยังไง
มู่เซิ่งก้มหน้าลงเดินตามเจียงหว่าน
เขาคุ้นเคยกับการถูกละเลย หลังจากประสบกับเรื่องราววุ่นวาย เขาก็ยังสนุกกับชีวิตของคนธรรมดา
“ไง เจียงหว่าน เธอพาสามีที่ไร้ประโยชน์มาด้วยสินะ ไม่กลัวคุณปู่เห็นแล้วส่งผลต่ออารมณ์หรือไง” ทันใดนั้นเสียงที่น่าขยะแขยงมาจากด้านข้าง เจียงหว่านเงยหน้าขึ้นและถูกต้อง เขาคือเป็นคนที่เธอเกลียดที่สุด เจียงมู่หลง พี่ชายคนที่สองอาศัยความจริงที่ว่าปู่ย่าตายายชอบเขาและมักจะรังแกเธอเป็นประจำ
“สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะอารอง” เจียงหว่านแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และกล่าวทักทายอย่างสุภาพ เธอถือของขวัญเดินไปที่เตียงของโรงพยาบาลแล้วยิ้ม “คุณปู่ นี่คือของขวัญที่หนูเอามาให้ ขอให้หายป่วยโดยเร็วนะคะ…”
คนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นชายชราผมหงอก มีจุดสีดำบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาดูไม่ค่อยดีนัก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “วางไว้ตรงนั้น”
มู่เซิ่งเดินตามเข้าไป นำของขวัญที่เตรียมไว้มาข้างหน้าและกล่าวว่า “คุณปู่ ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะครับ”
เมื่อเห็นเจียงหว่านไม่สนใจเขา เจียงมู่หลงก็รู้สึกโกรธ
“ฟึ่บ!”
ของขวัญที่เพิ่งวางบนโต๊ะก็หล่นลงอย่างกะทันหัน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“แกเป็นใคร? มีคุณสมบัติอะไรที่จะมอบของขวัญให้คุณปู่ของฉัน?”