มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง – บทที่ 58 งานเลี้ยงรุ่น

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 58 งานเลี้ยงรุ่น

มู่เซิ่งขมวดคิ้ว ถ้าถูกผู้หญิงคนนี้ตามต่อไป เธอต้องตามกลับไปที่บ้านอย่างแน่นอน สู้แก้ปัญญาเสียแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า? ผมยังมีธุระต้องไปทำอีก ผมมีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

“แค่นี้ก็พอแล้ว ไปกันเถอะ ไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนฉัน!”

กู่ชิงเสวียนจับมือมู่เซิ่ง แล้ววิ่งไปที่ห้างสรรพสินค้า

ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นธุรกิจของตระกูลกู่ กู่ชิงเสวียนเลือกเสื้อผ้า ส่วนมู่เซิ่งเป็นคนจ่ายเงิน ในสายตาของคนภายนอกแล้ว พวกเขาเหมือนคู่รักที่สวรรค์สรรค์สร้าง ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกอิจฉา

ไม่นาน กู่ชิงเสวียนก็ซื้อเสื้อผ้าได้มากมาย ปกติแล้วเธอจะซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ราคาหลายพันหรือหลายหมื่น แต่วันนี้เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เธอเลือกซื้อ เป็นเสื้อผ้าแบรนด์ธรรมดาที่ราคาเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น แต่มันไม่สามารถทำให้เธอหยุดยิ้มได้ หลังจากบอกลามู่เซิ่งแล้ว เมื่อเธอกลับถึงบ้าน เธอจัดเก็บเสื้อผ้าด้วยความระมัดระวัง ดูเหมือนเธอตั้งใจจะไม่สวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้

เธอวางเสื้อผ้าเหล่านี้ไว้กลางตู้ เธอไม่ได้มองแบรนด์ดังที่ราคาเป็นหมื่นที่อยู่ทั้งสองข้างด้วยซ้ำ สำหรับเธอแล้ว เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าที่มู่เซิ่งซื้อให้ เสื้อผ้าพวกนั้นไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

หลังจากกู่ชิงเสวียนออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว มู่เซิ่งยังคงอยู่ในห้างสรรพสินค้าต่อ เขาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับราคาแพง และหยุดมองเป็นเวลานาน เพราะเขาเห็นสร้อยคอที่อยู่ในตู้โชว์ของร้านขายเครื่องประดับสวยมาก ถ้าเจียงหว่านใส่สร้อยคอเส้นนี้ จะต้องสวยมากอย่างแน่นอน

ขณะที่มู่เซิ่งกำลังมองเครื่องประดับ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน

เมื่อผู้หญิงเห็นท่าทางที่หลงใหลของมู่เซิ่งแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะกล่าวเยาะเย้ยว่า “ที่รัก คุณดูสิ มีแต่คนไม่เอาถ่านแบบนี้เท่านั้น ที่ได้แต่เฝ้ามองเครื่องประดับเท่านั้น ไม่เหมือนพวกเรา ที่อยากจะซื้ออะไรก็สามารถซื้อได้ตามต้องการ”

ผู้ชายก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเช่นกัน เขาหยุดฝีเท้า ทันใดนั้นดูเหมือนเขาจะจำได้ และกล่าวว่า “คุณคือสามีของเจียงหว่าน?”

“ใช่ครับ”

มู่เซิ่งกล่าวเบา ๆ

ผู้ชายคนนี้เคยเห็นตนเองมาก่อน เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายของเจียงหว่านเหมือนกับจางเหวินเจี๋ย

“ฮ่า ๆ เป็นไอ้ขยะจริง ๆ มิน่าคุณถึงได้หมอบมองอยู่บนกระจกเหมือนหมาตัวหนึ่ง” ผู้ชายคนนั้นกล่าวเยาะเย้ย “ใกล้จะถึงงานเลี้ยงรุ่นแล้ว คุณคงไม่คิดจะซื้อสร้อยคอให้ เจียงหว่านใช่ไหม?”

“ผมขอแนะนำว่าอย่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่ เพราะเครื่องประดับของที่นี่ ราคาขั้นต่ำก็หลายหมื่นแล้ว คนที่เกาะผู้หญิงกินอย่างคุณ มีเงินเหรอ?”

“คุณไปซื้อตามแผงลอยข้างทางดีกว่า”

พนักงานขายที่อยู่ในร้านแสดงท่าทางเหยียดหยามเช่นกัน ที่แท้เป็นแค่ไอ้ขยะ มิน่าเขาถึงได้เฝ้ามองเครื่องประดับเท่านั้น แต่ไม่ซื้ออะไรเลย

มู่เซิ่งขมวดคิ้ว แล้วจับใจความที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมา และกล่าวว่า “งานเลี้ยงรุ่น?”

“ถูกต้อง เจียงหว่านไม่ได้บอกคุณใช่ไหม?” ผู้ชายคนนั้นแสร้งทำเป็นเข้าใจทันที และกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ว่า “จริงสิ ทุกครั้งที่เจียงหว่านไปร่วมงานเลี้ยง เธอจะเสียหน้าทุกครั้ง ถ้าคราวนี้เธอพาคุณไปด้วย เกรงว่าเธอคงจะไม่มีหน้าไปพบคนอื่น? ฮ่า ๆ ๆ!”

ผู้หญิงปิดปากแล้วหัวเราะ มองมู่เซิ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม และกล่าวว่า “แต่งงานกับคนจนอย่างคุณ มันน่าอายจริง ๆ เฮ้อ ไม่กล้าแม้แต่จะไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นด้วยซ้ำ”

“อีกอย่าง คราวหลังพวกคุณอย่าปล่อยให้คนอะไร ก็เข้ามาในร้านได้ ทำให้วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะซื้อเครื่องประดับแล้ว”

หลังจากพูดกับพนักงานขายแล้ว ผู้หญิงและผู้ชายก็เดินออกไปจากร้านอย่างสง่าผ่าเผย

มู่เซิ่งยืนขมวดคิ้ว งานเลี้ยงรุ่น เขาเป็นเขยแต่งเข้าสามปีแล้ว เขาไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นจริง ๆ และไม่สนใจที่จะไปร่วมงานเลี้ยงเปรียบเทียบฐานะเช่นนี้อีกด้วย แต่ตามที่ผู้ชายคนนั้นพูด ดูเหมือนว่าเจียงหว่านจะได้รับความอัดอั้นตันใจทุกครั้งที่ไปร่วมงาน?

เขาทนให้คนอื่นดูถูกตนเองได้ แต่เขาไม่สามารถทนให้เจียงหว่านอัดอั้นตันใจได้แม้แต่น้อย

“เฮ้ คุณมองพอหรือยัง? ออกไปจากร้านได้แล้ว”

“ฉันบอกแล้วว่าควรจะไล่เขาตั้งนานแล้ว แต่คุณไม่ฟัง คนจนแบบนี้ จะมีปัญญาซื้อเครื่องประดับได้อย่างไร”

“ถูกต้อง เขายังทำให้ลูกค้าอีกคนออกไปจากร้านด้วย ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการขายของพวกเรา”

ขณะนี้ พนักงานขายในร้านหลายคนทนไม่ได้อีกต่อไป และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

หลังจากมู่เซิ่งเดินเข้ามาในร้านแล้ว พวกเขาไม่ได้มาต้อนรับ พวกเขาคิดว่ามู่เซิ่งไม่มีปัญญาซื้อ เพียงแค่มาดูเล่น ๆ เท่านั้น หลังจากพวกเขาได้ยินผู้ชายคนนั้นเล่าประวัติของมู่เซิ่งแล้ว พวกเขาเยาะเย้ยมากยิ่งขึ้น

มู่เซิ่งกวาดมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วเดินออกไปจากร้านขายเครื่องประดับร้านนี้ จากนั้นเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับอีกร้านที่แพงพอ ๆ กัน ที่อยู่ถัดไป

“โอ้ ถูกพวกเราทำให้โกรธจนเดินออกไปจากร้านแล้ว”

“ฮ่า ๆ ๆ เขาคงไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ พวกเรารีบไปที่ร้านนั้นเร็ว อย่าปล่อยให้คนแบบนี้อยู่ในร้าน”

“ถูกต้อง ไอ้ขยะแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะเข้าร้านค้าชั้นนำหรอก!”

พนักงานขายพวกนั้นเตรียมตัวจะไปร้านที่อยู่ถัดไป เพื่อเปิดโปงสถานะของมู่เซิ่ง

พวกเขาเกลียดคนไม่เอาถ่านอย่างมู่เซิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญญาซื้อ แต่ก็ยังเสแสร้งอีก!

“ที่นี่มีเครื่องประดับลดราคา ราคาขั้นต่ำสามพัน ถ้าคุณสนใจ ฉันจะแนะนำให้คุณทราบ” พนักงานขายน้องใหม่ เดินมาแนะนำ

“น้องสาว คุณอย่าถูกเขาหลอกเด็ดขาด เขาเป็น……”

พนักงานขายของร้านนั้นเดินเข้ามาในร้านนี้

ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปาก เธอก็ถูกมู่เซิ่งขัดจังหวะด้วยความเย็นชา “เครื่องประดับที่แพงที่สุดในร้านของคุณคือชิ้นไหน?”

พนักงานขายน้องใหม่มองมู่เซิ่งด้วยความมึนงง เธอคิดว่ามู่เซิ่งเพียงแค่มาดูเล่น ๆ เท่านั้น หรือไม่ก็ซื้อเครื่องประดับราคาต่ำที่สุด เพราะเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นเสื้อผ้าราคาถูก

“แพง……แพงที่สุด……เครื่องประดับที่แพงที่สุดของร้านคือชิ้นนั้น” พนักงานขายพูดตะกุกตะกัก แล้วชี้ตู้กระจกที่อยู่กลางร้าน

ข้างในเป็นสร้อยคอที่ประณีตงดงาม ด้านบนฝังเพชรหลายสิบเม็ด และทับทิมที่อยู่ตรงกลางเป็นประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงไฟ ราคาขายเก้าสิบกว่าล้าน

“ผมจ่ายเงินทันที นำออกมาห่อเถอะ”

มู่เซิ่งกล่าวโดยตรง

“คุณ…….คุณจะซื้อชิ้นนี้เหรอ? ราคาของสร้อยเส้นนี้คือเก้าสิบสามล้านน่ะ……..” พนักงานขายน้องใหม่พูดตะกุกตะกัก และไม่มั่นใจ

“ผมเห็นป้ายราคาแล้ว” มู่เซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วหยิบบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋า “รูดบัตร”

“ห๊ะ! คุณซื้อชิ้นนี้เหรอ?” พนักงานขายน้องใหม่ถือบัตรธนาคาร เธอรู้สึกเหมือนเป็นความฝัน เพราะราคาของสร้อยเส้นนี้คือเก้าสิบสามล้าน ไม่ใช่เก้าพันสาม จะรูดบัตรซื้อแบบนี้เลยเหรอ?

พนักงานขายของร้านนั้นเดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ฮ่า ๆ เก้าสิบสามล้าน คุณมีปัญญาจ่ายเหรอ? คุณพูดเล่นใช่ไหม?”

“เจ้าหนู ฉันรู้ว่าคุณไม่สามารถทนการเยาะเย้ยของพวกเราได้ ถ้าคุณอยากจะเสแสร้ง ก็ต้องดูว่าตนเองมีความสามารถแบบนั้นหรือเปล่า?”

“รีบไสหัวออกไป ถ้ายังไม่ออกไปอีก พวกเราก็จะแจ้งตำรวจ น้องสาว เจ้าหมอนี้เป็นแค่เขยแต่งเข้าเท่านั้น เขาจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร รีบไล่เขาออกไปจากร้านเถอะ”

“ห๊ะ?”

พนักงานขายน้องใหม่ถือบัตรธนาคารอยู่ในมือ มองมู่เซิ่งด้วยสีหน้ามึนงง

ท่าทางของมู่เซิ่งสงบมาก ถ้าร้านนี้ไม่ขาย เขาก็จะไปร้านอื่น

พนักงานขายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงกฎของพนักงานขาย เธอกัดฟัน แล้วเสียบบัตรเข้าไปในเครื่องรูดบัตร “คุณผู้ชาย กรุณาใส่รหัสผ่านค่ะ”

“เฮ้ คุณคงไม่คิดว่าเขาจะมีเงินมากขนาดนั้นใช่ไหม?”

“ราคาของเครื่องประดับชิ้นนี้คือเก้าสิบกว่าล้านเชียวน่ะ!”

“สาวน้อย คุณเป็นพนักงานใหม่ใช่ไหม อย่าถูกคนแบบนี้หลอกเด็ดขาด เขาไม่มีเงินหรอก คุณอย่าเสียเวลากับเขาอีกเลย รีบไล่เขาออกไปเถอะ”

พนักงานขายของร้านนั้นมองมู่เซิ่งด้วยสายตาถากถาง พวกเธอจะคอยดูดว่าเขาจะเคลียร์เรื่องนี้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา มีสลิปออกมาจากเครื่องรูดบัตร

สีหน้าของพวกเธอเปลี่ยนไปพร้อมกัน

นี่มัน……

เป็นไปไม่ได้!

ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าราคาถูก จะมีเงินรูดซื้อสินค้าที่ราคาเก้าสิบกว่าล้านได้อย่างไร

สีหน้าของพนักงานขายน้องใหม่เต็มไปด้วยความอึ้งเช่นกัน

นี่มัน……รูดได้จริง ๆ ด้วย?

เก้าสิบสามล้าน เงินที่พวกเธอทำงานทั้งชีวิตก็ไม่สามารถหามาได้ แต่เขาจ่ายเงินแบบนี้…..ต่อหน้าพวกเธอ?

พนักงานขายน้องใหม่ถือบัตรธนาคารด้วยมือที่สั่น แล้วยื่นคืนให้มู่เซิ่ง หลังจากนั้นเธอก็ห่อสร้อยคอด้วยมือที่สั่น กลั้นหายใจตลอดกระบวนการ เพราะกลัวว่าตนเองจะกระแทกสร้อยคอโดยไม่ตั้งใจ

“คุณผู้ชายค่ะ ห่อสร้อยคอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางร้านมีของแถมเป็นแหวนมูลค่าสามล้านอีกวงหนึ่งค่ะ” พนักงานขายน้องใหม่กล่าว

“โอเค” มู่เซิ่งหยิบถุงบรรจุเครื่องประดับแล้วเดินออกไป “ส่วนแหวนวงนี้ ผมมอบให้คุณ”

หลังจากพูดจบ มู่เซิ่งก็เดินออกไปจากร้านขายเครื่องประดับแล้ว สีหน้าของพนักงานขายของร้านนั้นขาวซีดมาก กระทั่งมีคนวิ่งตามออกไปดู ออเดอร์เก้าสิบกว่าล้าน เพียงแค่ค่าคอมมิชชั่น ก็เพียงพอที่พวกเธอจะใช้จ่ายได้ตลอดชีวิตแล้ว

เสียใจ

ขณะนี้ พวกเธอรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

Status: Ongoing
ผู้ชายที่แม้แต่ภรรยาตนก็ปกป้องไม่ได้ ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม?พอมู่เซิ่งเห็นภรรยาที่โดนรังแกเท่านั้นแหละ เขยแต่งเข้าที่โดนผู้คนเหยียดหยามมาโดยตลอด ตัดสินใจพลิกไพ่ใบสุดท้าย……

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท