มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 74 ไม่เหมาะที่จะเข้ามา
“คุณออกมาทำไมครับ?”
ยามเมื่อมู่เซิ่งเห็นเจียงหว่านแล้ว ดังนั้นจึงหมุนกายกลับมาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ขอโทษนะคะ”
หยาดน้ำตาของเจียงหว่านไหลรินไม่ขาดสาย ก่อนจะเพิ่มความเร็วในการสาวเท้าเพื่อพุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา หลังจากนั้นจึงออกแรงสวมกอดเขาอย่างรวดเร็วทันที
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอ้อมกอด และจมูกก็ยังได้กลิ่นหอมสะอาดบางเบา ภายในหัวใจของมู่เซิ่งกระตุกทันที สุดท้ายก็สวมกอดเจียงหว่านเอาไว้แน่เฉกเช่นเดียวกัน
“มู่เซิ่ง ขอโทษนะคะ เป็นเพราะว่าฉันเอง ถึงได้ทำให้คุณได้รับความไม่เป็นธรรมในบ้านมาโดยตลอด” เจียงหว่านออกแรงสวมกอดมู่เซิ่งเอาไว้ ก่อนจะกล่าวต่อ “ฉันขอโทษคุณแทนแม่ฉันด้วยนะคะ คุณกลับไปกับฉันได้ไหมคะ?”
มู่เซิ่งสูดลมหายใจเข้าหนึ่งหน พยักหน้าขึ้นลงพลางกล่าว “ได้ครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
เจียงหว่านเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินเป็นทางตรงหางตา ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่โทษคุณ”
มู่เซิ่งส่ายหน้าไปมา
“หลังจากนี้ขอแค่มีฉันอยู่ ฉันก็จะไม่ให้แม่ฉันมากล่าวโทษคุณอย่างแน่นอนค่ะ” เจียงหว่านเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “ฉันจะเปลี่ยนความคิดของแม่ฉันให้ได้อย่างแน่นอน เพื่อให้เขาสามารถยอมรับคุณ”
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ภายในหัวใจของมู่เซิ่งจึงพรั่งพรูความรู้สึกประทับใจออกมาไม่น้อย หลังจากบีบปลายจมูกของเจียงหว่านไปหนึ่งหนแล้วจึงกล่าวอย่างขบขันว่า “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้คงจะต้องพึ่งคุณภรรยาผู้ยิ่งใหญ่ของผมแล้วอย่างนั้นสิ?”
“เหอะ ๆ เดิมทีฉันก็เก่งกว่าคุณอยู่แล้ว การคุมครองคุณเป็นเรื่องที่ฉันสมควรที่จะทำค่ะ” สุดท้ายเจียงหว่านก็เผยรอยยิ้มที่ยากจะมีออกมาแล้ว ก่อนจะยืดอกแล้วเอ่ยพูดอย่างลำพองตน
ในตอนที่ทั้งสองคนกลับมาที่บ้าน จ้าวหลินได้กลับเข้าห้องนอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุจากคำขู่ของเจียงหว่าน หรือไม่ก็อาจเนื่องด้วยสาเหตุอื่น ๆ หลังจ้าวหลินพบเห็นมู่เซิ่งแล้วก็ส่งเสียงหึเย็นชาสูง ๆ หนึ่งเสียง แต่ก็ไม่ได้พูดจาไม่ไว้หน้าเหมือนในตอนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ทว่าท่าทียังคงเย็นชาแข็งกระด้างอยู่เช่นเดิม ยังดีได้ไม่ถึงไหนเท่าไหร่นัก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มู่เซิ่งก็ไม่ได้สนใจ ขอแค่เขาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีก็พอ
สองวันหลังจากนั้น งานแถลงข่าวของมู่ซื่อ กรุ๊ปที่ทั่วทั้งเจียงหนานต่างก็เฝ้ารอก็ถือว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เพื่อวันนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลในเจียงหนานทั้งหมดต่างก็เฝ้าคอยมานานมากเพียงใด เป็นเพราะว่าพวกเขาทราบดี ขอเพียงแค่สามารถแย่งชิงโครงการมาได้สักนิดหน่อยเท่านั้น ก็จะสามารถทำให้สถานะของตระกูลทั้งตระกูลยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้น ณ ตอนนี้งานแถลงข่าวนี้ก็ถือได้ว่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ที่ศูนย์ประชุม ทางด้านนอกนั้นได้ถูกรายล้อมไปด้วยนักข่าวที่กระทั่งสายน้ำก็ไม่อาจผ่านตั้งนานแล้ว มีบริษัทไม่น้อยที่ได้ยินข่าวลือแล้วลงมือแย่ชิงบัตรเรียนเชิญเพื่อให้ได้เป็นแขกรับเชิญ ทุก ๆ คนล้วนเดินเข้าไปในสถานที่จัดงานประชุมกันอย่างโอ่งอ่าง ส่วนคนที่ได้รับบัตรเรียนเชิญนั้นก็ไม่ได้ถอดใจเช่นเดียวกัน ล้วนออกันอยู่ที่ปากประตูทั้งสิ้น เพราะต่างก็ปรารถนาที่จะเห็นบุคคลสำคัญของมู่ซื่อ กรุ๊ป
ตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ของเมืองเยียนจิงที่มากัน ขอเพียงแค่โครงการเล็ก หลุดมือออกมาได้เท่านั้น ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาได้กินได้ดื่มแล้ว
“เจียงหว่าน คุณมาแล้ว”
จางเหวินเจี๋ยรออยู่ที่ปากประตูศูนย์ประชุมอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นเจียงหว่านแล้วจึงรีบโบกไม้โบกมือทันที ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาก่อนด้วยตนเอง
ทางด้านข้างของเขามีเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมปลายสิบคนที่ถูกเขาใช้โควตาพามาด้วยกัน
เจียงหว่านกำลังสวมใส่แว่นกันแดดอยู่ บอกตามตรงว่าเธอไม่คิดอยากที่จะคลุกคลีกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย หลังเห็นจางเหวินเจี๋ยแล้วจึงพยักหน้าขึ้นลงอย่างเย็นชาหนึ่งหน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปในสถานที่จัดงานประชุม
จางเหวินเจี๋ยเองก็ไม่ได้เกิดโทสะเช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินตามหลังเจียงหว่านต่อ ทั้งยังเผยสีหน้าลำพองตนออกมาอีกด้วย
“จริงสิ เจียงหว่านครับ สามีของคุณละ?”
ทางด้านหลังเขาคือเพื่อนนักเรียนสิบคน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขาทั้งนั้นจึงมีสิทธิ์เข้ามาได้ ดังนั้นคนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเดินตามหลังจางเหวินเจี๋ยทั้งสิ้น สุดท้ายจึงกลายเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีเขาอยู่ใจกลาง
พวกเขารายล้อมจางเหวินเจี๋ยก่อนจะกล่าวขึ้นมากันว่า
“ใช่สิ มู่เซิ่งไอ้ขยะนั่นล่ะ? เขาไม่ได้บอกว่าจะมาเหมือนกันหรอกหรือ?”
“ฮ่า ๆ ๆ เกรงว่าจะโม้กระมัง ไอ้ขยะนั้นจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเข้ามายังสถานที่เช่นนี้? ดูจากตัวเขาแล้ว มันเหมาะสมหรือที่จะให้สวีเจ๋อปิงเป็นคนเชื้อเชิญด้วยตัวเอง?” สายตาของเย่ขุยกวาดมองคนในสถานที่จัดประชุมไปหนึ่งรอบ มองเห็นคุณชายจากตระกูลชั้นหนึ่งมากมาย ทว่าเดิมทีก็ไม่เห็นมู่เซิ่งเลย
“เย่ขุย ระวังคำพูดคำจาของนายหน่อย ชื่อของท่านสวีนายจะเรียกออกมาตรง ๆ ได้อย่างไร”
จางเหวินเจี๋ยกล่าวเตือนเสียงเย็นยะเยือก
ถึงแม้ว่าสถานะที่แสดงออกมาของเขาจะเป็นซีอีโอของบริษัทมู่หรานก็ตาม ทว่า ณ ที่แห่งนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าสวีเจ๋อปิงเป็นคนของตระกูลมู่?
เย่ขุยรีบหยุดปากทันที ก่อนจะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
จางเหวินเจี๋ยพึงพอใจต่อฐานะของตนเองเป็นอย่างมาก พยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนมู่เซิ่งไอ้ขยะคนนั้น คำที่เขาพูดนายก็เชื่อเหมือนกันหรือ? นายไม่ลองมองดูคนเหล่านี่ที่อยู่ที่นี่หน่อยล่ะ มีใครบ้างที่ไม่มีฐานะทางบ้านระดับล้านหมื่นล้านขึ้นไป? มู่เซิ่งจะมีสิทธิ์เข้ามาได้อย่างไร?”
“ใช่สิ ใช่สิ” คนที่อยู่ทางด้านข้างส่งเสียงตามกันขึ้นมา
“แต่เพียงเพราะเขาไม่ได้มาเท่านั้น แต่หลังจากนี้เห็นใครเข้าก็คงต้องคุกเข่าเรียนรู้วิธีสุนัขร้องแล้วกระมัง?” เย่ขุยหันศีรษะสบตามองเจียงหว่านก่อนจะหัวเราะเยาะ
สีหน้าของเจียงหว่านเย็นยะเยือกทันที ทว่าไม่ได้เอ่ยคำ
ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาตอนเช้า มู่เซิ่งยังหลับใหลอยู่ บอกตามตรง เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสรุปแล้วมู่เซิ่งจะมาหรือเปล่า
“เฮ้อ เกรงว่าคงจะไม่มาแล้วกระมัง”
เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ยืนอยู่ที่ปากประตูอยู่ครู่หนึ่ง หลังไม่พบเห็นมู่เซิ่ง จางเหวินเจี๋ยจึงแสร้งส่ายหน้าไปมาราวกับผิดหวัง กล่าวว่า “เดิมยังนึกอยู่เลยนะว่าเขาจะแอบย่องเข้ามา ตอนนี้กระทั่งความกล้านี่ก็ไม่มีเสียแล้ว ดูท่านับตั้งแต่นี้ต่อไปฉันคงจะต้องเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งแล้วกระมัง”
“ฮ่า ๆ ๆ”
ทุกคนพลันระเบิดหัวเราะกันออกมาทันที
“ถ้ามู่เซิ่งนี่มีนายเหวินเจี๋ยที่เป็นเจ้าของที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เกรงว่าปลื้มใจก็คงไม่ทันแล้วกระมัง”
“คงจะเป็นแบบนั้น มิฉะนั้นแล้วทำไมเขาจะต้องพนันด้วยล่ะ? ไม่แน่ว่าอาจคิดอยากที่จะประจบขาใหญ่นี้ของเหวินเจี๋ยก็ได้นะ”
“ใช่สิ คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้ขยะคนนี้ยังฉลาดมากอีกด้วย”
เหล่าเพื่อนนักเรียนเย้ยหยันถากถางกันขึ้นมา ต่างก็ไม่แม้แต่จะไว้หน้ามู่เซิ่งเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งจางเหวินเจี๋ยเองก็หัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุดด้วยเช่นเดียวกัน ในสายตาของเขา การเรียกมู่เซิ่งว่าคุณพ่อนี้ คือการตัดสินใจที่จะเรียกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงกล่าวต่อ “ช่างเถอะ มีไอ้ขยะพรรค์นี้แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ฉันว่าฉันคงโกรธจนตายแน่”
“ฮ่า ๆ ๆ ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
เดินเข้ามาในสถานที่จัดงานประชุมแล้ว อ้างอิงตามตำแหน่งที่นั่งและตามระยะเวลาที่ผลัดออกไป ตำแหน่งที่นั่งแทบจะมีกลุ่มคนนั่งกันจนเต็มแล้ว ทว่ามู่เซิ่งยังคงไม่ปรากฏกายเช่นเดิม จางเหวินเจี๋ยจึงยิ่งมั่นใจต่อเรื่องพรรค์นี้มากยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเอง
ณ ห้องส่วนตัวชั้นบนสุดของ Royal Club
“มู่สวีน การเซ็นสัญญาในครั้งนี้ คุณถือว่าพอใจหรือเปล่าครับ?”
สวีเจ๋อปิงนั่งเอ่ยพูดอยู่บนโซฟา
“พอใจครับ ผมย่อมพอใจอยู่แล้วครับ”
กู่มู่สวีนพยักหน้าขึ้นลง หัวเราะจนไม่อาจหุบริมฝีปากลง
เดิมทีเขานึกว่าถึงแม้ว่าจะสนิทกับสวีเจ๋อปิงแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อนี่เป็นโครงการของตระกูลมู่ ต่างก็บอกกันว่าบนเส้นทางธุรกิจนั้นไร้มิตรสหาย ทว่าในหนนี้กลับสามารถได้โครงการที่ทำเงินหลายร้อยล้านมาได้ ดังนั้นเขาจึงพึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว
สุดท้ายก็คิดไม่ถึงเลยว่าพอท่านสวีเอ่ยปากขึ้นมา ว่าจะนำโครงการร่วมสัญญาหนึ่งในสามมอบให้กับเขาโดยตรงทันที และถ้าหากเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กำไรก็เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าพันล้าน!
กู่มู่สวีนปลื้มปีติราวกับคนบ้า ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงรับคำไม่หยุด
“ประธานสวี เวลาของงานแถลงข่าวมาถึงเรียบร้อยแล้วครับ ยังมีคนมากมายกำลังรอให้คุณไปปรากฏตัวที่งานแถลงข่าวอยู่นะครับ” เลขาธิการเอ่ยพูดอยู่ที่ปากประตู
แขกเหรื่อที่มาและนักข่าวต่างก็รวมตัวกันหมดแล้ว และกำลังรอให้งานแถลงข่าวเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“ใช่ ๆ ๆ เจ๋อปิง คุณสมควรออกโรงได้แล้ว ทุกคนคงรออย่างอดใจไม่ไหวกันแล้ว” กู่มู่สวีนเอ่ยพูดพลางพยักหน้า
“ไม่รีบครับ”
สวีเจ๋อปิงกลับมีสีหน้าเฉยเมย กล่าวว่า “คนสำคัญของวันนี้ไม่ใช่ผมหรอกนะครับ”
“ไม่ใช่คุณหรือครับ ถ้าอย่างนั้นคือใครกัน?” กู่มู่สวีนขมวดคิ้ว
หรือว่าวันนี้ยังมีบุคคลที่สำคัญยิ่งกว่าสวีเจ๋อปิงมาที่ยังสถานที่จัดงานอยู่อีกหรือ?
“ฮ่า ๆ คนคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบหลักของโครงการในครั้งนี้ครับ คุณคงจะรู้จัก” สวีเจ๋อปิงผุดลุกยืน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกนอกประตูไป
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของกู่มู่สวีนคันยุบยิบไปหมดแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เจ๋อปิง คุณอย่าสร้างสถานการณ์สิ รีบ ๆ พูดมาเถอะครับ ผมคิดไม่ออกแล้วจริง ๆ ว่ายังจะมีใครที่จะสามารถมีสิทธิ์รับผิดชอบในโครงการครั้งนี้มากกว่าคุณอยู่อีก”
สวีเจ๋อปิงไม่ได้กล่าวคำ เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องเรสสิเดนซ์แล้วจึงผลักประตูเปิดออก
ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ กำลังสบตามองทัศนียภาพนอกกระจกอย่างเงียบเฉียบ
“มู่ น้องมู่…”
กู่มู่สวีนจังงังไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว