มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 255 การเย้ายวนของเวยปิงเอ๋อร์
ในช่วงเวลานี้มู่เซิ่ง กำลังเก็บรวบรวมพวกหนังสือบู๊โบราณเหล่านี้อยู่จริง ๆ
การที่เขารวบรวมหนังสือเหล่านี้นั้น เพื่อใช้ในการค้นคว้าประกอบข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
ตำราทองตำนานเสวียนนั้นยอดเยี่ยมมาก และอธิบายทุกอย่างโดยละเอียดเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ศิลปะการต่อสู้ ฯลฯ แต่ตำราทองตำนานเสวียนนั้น มีเพียงสองเล่ม ตอนนี้ มู่เซิงได้อ่านเกือบทุกอย่างแล้ว บนนั้นและเขายังต้องการค้นหาหนังสือโบราณอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเขา ก็ได้รับหนึ่งข้อความ
“คุณมู่ วันที่สิบสี่เดือนสิบ ขอเชิญคุณมาพบปะสังสรรค์ที่คฤหาสน์ไห่ว่าย—-กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน”
หลังจากที่เห็นอักษรคำลงท้ายนั้นแล้ว มู่เซิ่งก็หรี่ตาลง กลิ่นอายลมหายใจรอบกาย ก็พวยพุ่งขึ้นในทันที
กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน?
ฝ่ายที่เชื้อเชิญเขานั้น ไม่นึกว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรนักเสวียนในตำนาน แต่ว่า กลุ่มพันธมิตรนักเสวียนนี้ รู้ได้อย่างไรว่าเขาได้เข้าสู่แดนนักเสวียนแล้ว?
มู่เซิ่งขมวดคิ้วขึ้น เหตุการณ์ในการเข้าร่วมประลองยุทธ์นั้น เขาได้สั่งให้เหยาเผิงบอกพวกผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลเหล่านั้นแล้วว่า ห้ามไปเผยแพร่อย่างเด็ดขาด เชื่อว่าพวกประธานบริษัทรวมถึงเจ้าบ้านตระกูลเหล่านั้น คงจะไม่กล้าพูดออกไปแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วพวกกลุ่มพันธมิตรนักเสวียน ไปรับรู้เรื่องราวดังกล่าวมาจากที่ไหนล่ะ ว่ามู่เซิ่งได้เข้าสู่ระดับนักเสวียนแล้ว?
ในใจก็คาดเดาไปต่างๆ นา ๆ ท้ายที่สุดมู่เซิ่งก็ไม่ไปคิดอะไรมากแล้ว จึงลบข้อความนี้ทิ้ง
ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงวันที่สิบสี่เดือนสิบ ไปเข้าร่วมงานที่คฤหาสน์ไห่ว่าย ก็รู้แล้ว
นอกจากนี้มู่เซิ่งยังได้ยินมาว่ากลุ่มพันธมิตรนักเสวียนสามารถแลกเปลี่ยนปณิธานระหว่างกันได้ ซึ่งช่วยเหลือนักเสวียนได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งเขากำลังอยากที่จะไปค้นหาคำตอบให้ชัดเจน
หลังจากที่การประลองยุทธ์ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลง
การค้าในต่างประเทศ ก็ดำเนินกิจการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
มู่เซิ่งก็ยังไปตรวจดูเครื่องประดับที่ร้านอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพื่อฆ่าเวลา แล้วก็หาเวลาว่างโทรศัพท์ไปหาเจียงหว่าน เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์ที่เจียงหนาน
แม้ว่าตอนนี้เจียงหว่านจะตกเป็นเป้าหมายรังแกของเจียงมู่หลงอย่างต่อเนื่อง สถานภาพของบริษัทไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ สิ่งนี้ทำให้เจียงมู่หลงปวดศีรษะอย่างมาก เพราะพวกเขาทำสงครามราคา เป็นไม้ตายที่ทำลายฝ่ายตรงข้ามบางส่วนแต่กลับสร้างความเสียหายต่อตนเองมากกว่า หากยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไป บริษัทของพวกเขาก็คงจะต้องขาดทุนอย่างหนักแน่นอน
แม้ว่าคนลึกลับนั้นจะให้เงินตนเองมาพันล้าน แต่ถ้าเขาใช้เงินพันล้านขาดทุนไปจนหมดเกลี้ยง ก็เกรงว่าตนเองก็คงจะจบเห่เช่นกัน
การยืนหยัดของเจียงหว่าน ทำให้เจียงมู่หลงเริ่มลังเลใจ ถึงขนาดที่เริ่มเพิ่มราคาโครงการความร่วมมือขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ทำให้เจียงหว่านพอจะมองเห็นโอกาสได้บ้าง จึงรีบนำทีมงานในบริษัท เริ่มโจมตีกลับทันที
มู่เซิ่งเพิ่งจะเข้ามาที่บริษัท ก็ได้ยินเลขามิโนยิเดินเข้ามาและพูดว่า: “คุณมู่ ด้านนอกมีคนต้องการพบ”
มู่เซิ่งโบกมือ บอกให้เขาเข้ามา
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ คนที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่น ไม่นึกว่าจะเป็นลูกสาวของคุณวิลเลี่ยม ที่ชื่อว่าเวยปิงเอ๋อร์
ดูเหมือนว่าเวยปิงเอ๋อร์เพิ่งจะตื่นนอน สวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู แต่งกายอย่างงดงาม ท่วงท่าก้าวเดินคล่องแคล่วว่องไว เสื้อผ้าที่กระชับกับร่างกาย ทำให้ส่วนของร่างกายที่อิ่มเอิบนั้น ผสมรวมเป็นรูปทรงที่โดดเด่นออกมา
พูดถึงเฉพาะรูปร่างหน้าตาแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคุณมิโนยิ ก็ยังถือว่าดูดีกว่าระดับหนึ่ง
“พี่มู่”
หลังจากที่เดินเข้ามา มองเห็นมู่เซิ่ง เวยปิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าท่าทางดีใจ ขณะที่เอ่ยปากเรียกขึ้นนั้น ก็ได้ยื่นมือออกมาเพื่อจะดึงแขนของมู่เซิ่งเอาไว้ด้วย
มู่เซิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอนตัวหลบมือของเวยปิงเอ๋อร์
“พี่มู่” เวยปิงเอ๋อร์ไม่ยอมสละโอกาส คิดที่จะยื่นมือออกไปคล้องแขนของมู่เซิ่งอีก ด้วยท่วงท่าที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเผยให้เห็นช่วงไหล่ที่ขาวนวล และส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอีกด้วย
“เวยปิงเอ๋อร์ คุณมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ? ”
หลังจากที่หลบหลีกได้อีกครั้งแล้ว มู่เซิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามขึ้น
หญิงสาวคนนี้ มาหาถึงที่โดยไร้เหตุผล ก็เพื่อที่จะจับมือของตนเองน่ะเหรอ?
“พี่มู่ ฉันเพิ่งจะมาที่เมืองเยียนจิง จึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้นัก ดังนั้นอยากที่จะให้คุณพาฉันไปเดินชมบริเวณโดยรอบสักหน่อย พร้อมกับถือโอกาสปรึกษาปัญหาทางด้านการกลั่นยากับคุณเล็กน้อยด้วย”
“เพราะว่า คนอย่างพี่มู่ที่มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปี ก็มีพรสวรรค์ด้านหารกลั่นยาที่สูงส่งขนาดนี้ ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย”
เวยปิงเอ๋อร์พูดชื่นชมอย่างยิ้มแย้ม ด้วยใบหน้าที่เบิกบาน แดงก่ำเปล่งปลั่ง “ที่จริงแล้ว ในด้านการบำเพ็ญ ฉันเองก็ไม่ถือว่าด้อย ได้ฝึกกลั่นยามาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะยังห่างไกลจากระดับนักกลั่นยาอีกมาก แต่จากการประเมินของอาจารย์ ฉันก็ใกล้ที่จะเป็นนักกลั่นยาแล้ว”
“ฉัน ที่อยู่ในตระกูลใหญ่ขนาดนี้ ก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่เยี่ยมยอดแล้ว”
ขณะที่เวยปิงเอ๋อร์พูด ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นด้วย
เธอหยิ่งทะนงตน นั่นก็เป็นเพราะเธอเองมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ดังนั้น เวยปิงเอ๋อร์จึงต้องการที่จะสรรหาผู้ชายที่คู่ควรเหมาะสมกับเธอมาโดยตลอด
นอกจากนี้ เวยปิงเอ๋อร์ยังเชื่อมั่นในรูปลักษณ์หน้าตาและความสามารถของตัวเองอย่างที่สุด
กู่คูหรานในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ของตระกูลกู่ ผู้หญิงรอบข้างที่ตามจีบเขานั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ทว่า เพียงแค่เวยปิงเอ๋อร์ทำงอน เล่นลูกไม้นิดหน่อย ก็ทำให้กู่คูหรานคลั่งไคล้หลงใหลอย่างที่สุด เมื่อพบเจอกับมู่เซิ่งก็แสดงท่าทีต่อต้านเกลียดชัง เป็นเป้าเล่นงานในทุกเรื่อง
แต่ตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างกู่คูหรานกับมู่เซิ่งแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่ขยะ เพราะเวยปิงเอ๋อร์ทอดทิ้งกู่คูหรานไปอย่างเด็ดขาด และหันมาตามจีบมู่เซิ่งแทน
เธอเชื่อว่า เพียงแค่เธอใช้วิธีการเดียวกัน แม้แต่มู่เซิ่งก็คงไม่สามารถต้านทานความงดงามของเธอได้
แต่กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ไม่เป็นไปอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้
มู่เซิ่งเพียงแค่กวาดสายตามองไปที่เวยปิงเอ๋อร์เล็กน้อย โดยสีหน้าท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด และพูดขึ้นว่า: “เวยปิงเอ๋อร์ เวลาของฉันมีจำกัด ถ้าหากคุณต้องการจะเดินเที่ยวเล่น ก็ให้คุณวิลเลี่ยนพ่อของคุณไปเดินเล่นกับคุณก็ได้แล้ว”
“ตอนนี้ฉันยังจะต้องเข้าร่วมประชุมอีก ขอเชิญคุณออกไปเถอะ”
“เอ่อ? คุณ……” เวยปิงเอ๋อร์ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่ามู่เซิ่งจะเย็นชาขนาดนี้ เธออดไม่ได้จึงสอบถามขึ้นอย่างไม่เต็มใจว่า: “พี่มู่ คุณ ไม่ชอบฉันอย่างนั้นเหรอ? ”
“แต่ว่า ถ้าหากคุณไม่ชอบฉันแล้ว งานเลี้ยงสังสรรค์การกลั่นยาในวันนั้น ทำไมคุณต้องจงใจพูดต่อหน้าฉันว่าเป็นนักกลั่นยาด้วยล่ะ? ที่คุณทำแบบนี้ น่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากฉันใช่ไหมล่ะ? ”
“ฉันรู้แล้วว่า พี่มู่ยังคงจะโกรธเคืองฉันในเรื่องก่อนหน้านี้อยู่อย่างแน่นอน”
“พี่มู่ ฉันผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย คุณพูดสิว่า เพียงแค่คุณยกโทษให้ฉัน จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เวยปิงเอ๋อร์พูดคำว่า ‘ทำอะไรก็ได้’ อย่างเน้นย้ำ โดยถึงขนาดที่เอนตัวไปข้างหน้า และดึงเสื้อผ้าลงมาเล็กน้อย เพื่อเผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวนวล
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว มู่เซิ่งก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
เวยปิงเอ๋อร์ คุณก็แค่ดูดีกว่ามิโนยิเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับภรรยาของฉันแล้ว ก็ยังคงห่างไกลกันลิบลับ คุณนึกหรือว่าเมื่อฉันเห็นคุณแล้วก็จะหยุดชะงักไปไหนต่อไม่ได้แล้ว?
ช่างยกยอตัวเองมากเกินไปแล้ว
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
“สำหรับที่คุณพูดว่า ฉันยังคงโกรธเคืองคุณในเรื่องก่อนหน้านี้อยู่นั้น ต้องขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยได้สังเกตและสนใจในตัวคุณมาก่อนเลย”
หลังจากที่มู่เซิ่งพูดจบแล้ว ก็ยื่นมือออกไป ‘ปัง’ เพื่อปิดประตูทันที
“มู่เซิ่ง คุณ คุณหมายความว่าอย่างไร? ”
เวยปิงเอ๋อร์แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน
ในใจของเธอได้เตรียมพร้อมทางด้านนั้นมาเป็นอย่างดีแล้ว ต่อให้มู่เซิ่งดูถูกเหยียดหยามเธอ เธอก็ไม่แปลกใจ แต่คำพูดของมู่เซิ่งที่ว่า ‘ฉันไม่เคยได้สังเกตและสนใจในตัวคุณมาก่อนเลย’ มันทำร้ายส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีในตัวของเวยปิงเอ๋อร์อย่างมากทีเดียว
ราวกับว่าในสายตาของมู่เซิ่ง เธอก็เป็นแค่ขยะข้างทางชิ้นหนึ่ง แม้แต่ผู้คนก็ยังไม่ปรารถนาที่จะโกรธเคืองด้วยซ้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนแต่เป็นการหมางเมินโดยสิ้นเชิง!
“มู่เซิ่ง คุณหมายความว่าอย่างไร? ”
“ออกมาเดี๋ยวนี้ พูดกันให้ชัดเจน! ”
เวยปิงเอ๋อร์ชี้ไปที่ประตูและดุด่าเสียงดัง แต่ประตูที่อยู่ด้านหน้าก็ยังคงปิดอย่างสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
ราวกับว่าเหมือนกันกับที่เขาพูดอย่างนั้น ก็คือไม่เคยสังเกตและสนใจในตัวเธอมาก่อนเลย
เสียงร้องโวยวายของเธอ ยังได้ดึงดูดให้เลขามิโนยิเดินเข้ามาหา โดยหล่อนยืนอยู่ที่ด้านข้างของเวยปิงเอ๋อร์และพูดว่า: “คุณหนู ขอเชิญคุณออกไป มิเช่นนั้น พวกเราจะเรียกรปภ.แล้ว”
สีหน้าของเวยปิงเอ๋อร์ทั้งโกรธและแค้น สุดท้าย จึงได้พยายามระงับความโกรธลง “มู่เซิ่ง คุณกล้าที่จะหมางเหมินฉันแบบนี้ ฉันสาบานว่า ฉันจะทำให้คุณผิดหวังและเสียใจในภายหลังแน่นอน! ”
เธอจ้องมองไปที่ประตูอย่างดุดัน แล้วจึงกัดฟัน และหันหลังเดินจากไป