มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 273 ช่วยเหลือ
จางเจ๋อถามอย่างเย็นชาทันทีว่า”มู่เซิ่ง คุณไม่ได้ยินที่เหอเหยียนนีพูดเหรอ?ค่าอาหารต่อเดือนของคนเหล่านั้นอยู่ที่ 14,500 บวกกับการจ้างครู และบางครั้งก็ป่วย อย่างน้อยเดือนละ 20,000 เงินบริจาคของคุณยังไม่พอ จะช่วยอะไรได้เหรอ?”
ในคำพูดของจางเจ๋อมีการดูถูกและเยาะเย้ยอย่างมาก
“คุณมีงานทำมั้ย?เดือนละ 20,000 คุณเอาออกมาได้ทุกเดือนไหม?”
“ผมไม่มีงานทำ ผมจึงไม่มีเงินเดือน”มู่เซิ่งส่ายหัวแล้วพูด
“พู่–”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางเจ๋อก็พุ่งน้ำชาทั้งหมดที่เขาเอาเข้าปากในเมื่อกี้นี้
ผู้ชายคนนี้ เขาสมองพิการเหรอ?
ไม่มีงานทำและไม่มีเงินเดือน ยังอวดดีว่าสามารถสนับสนุนเงิน 20,000 ต่อเดือนให้กับบ้านเอื้อเฟื้อ ตลกจริงๆ?
“หรือคุณก็เติบโตมาในบ้านเอื้อเฟื้อด้วยใช่ไหม?” จางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขายังสงสัยว่ามู่เซิ่งก็เป็นผู้พิการด้วยใช่ไหม
“หวังว่าคุณจะพูดอะไรก็คิดดีๆหน่อยนะ ในบ้านเอื้อเฟื้อ ผมไม่อยากเห็นเลือด” มู่เซิ่งพูดอย่างเฉยเมย
“คุณ–”
ดวงตาของจางเจ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดง และเขากำลังจะโมโห แต่ถูกห้ามโดยหลู่เยว่เยว่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้เพื่อแก้ปัญหาไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่จางเจ๋อพูดนั้นผิดอยู่แล้ว และมู่เซิ่งก็ทำเพื่อบ้านเอื้อเฟื้อ เป็นเรื่องที่ดีแม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ก็ตาม จางเจ๋อก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดประชดประชันแบบนั้น
“คุณน้าเหอคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป ต้องมีทางออกแน่นอน แม้ว่าคุณมู่จะช่วยไม่ได้มาก แต่ฉันจะช่วยอีกแรง”หลู่เยว่เยว่กล่าว
เหอเหยียนนีพยักหน้าอย่างอุ่นใจ”เยว่เยว่ คุณก็อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป พวกคุณสามารถมาเยี่ยมเด็กๆบ่อยๆ ฉันก็ดีใจมากแล้ว”
“สำหรับความยากครั้งนี้ ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ไหม เพราะเงินเยอะเกินไป”
“ที่อยู่ใหม่หาไม่ได้แน่นอน ราคาบ้านในตอนนี้แพงมาก หาที่อยู่ใหม่ก็ต้องใช้เงินอย่างน้อยสองสามล้าน สำหรับเงินทุนในการซ่อมแซม เราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ตอนนี้ก็พยายามอยู่ไปให้ได้ในแต่ละวันก่อนแล้วกัน”
“ถ้าบ้านพังจริงๆ เกรงว่าในอนาคตจะไม่มีบ้านเอื้อเฟื้อในเจียงหนานอีกแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเหอเหยียนนีเปลี่ยนเป็นสีแดง
เธอทุ่มเทความพยายามอย่างมากกับบ้านเอื้อเฟื้อ สำหรับเธอ เด็กๆเหล่านี้คือลูก ๆของเธอ และผู้สูงอายุก็เทียบเท่ากับพ่อแม่ของเธอ เหอเหยียนนีเข้าใจดีว่าเด็กๆ และผู้สูงอายุในบ้านเอื้อเฟื้อเปราะบางเพียงใด เมื่อบ้านเอื้อเฟื้อปิดตัว เกรงว่าพวกเขาคงจะอยู่ไม่ได้ในสังคมนี้และอาจจะอดตายด้วยซ้ำ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เหอเหยียนนีรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก
“ยังไงพวกคุณก็อยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ทำไมไม่ปิดตัวลงตอนนี้เลยล่ะ ขายบ้านที่นี่ ยังสามารถหาเงินได้บ้าง” จางเจ๋อก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร แม้ว่าฉันจะเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขายบ้านหลังเดียวของเด็กๆเหล่านั้น!” สีหน้าของเหอเหยียนนีเปลี่ยนไปอย่างมาก
จางเจ๋อต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกหลู่เยว่เยว่หยุดไว้ หลู่เยว่เยว่ยืนขึ้นและพูดว่า “คุณน้าเหอวันนี้เรายังมีธุระ งั้นขอตัวไปก่อนนะ ครั้งหน้าค่อยมาใหม่นะ”
“โอเค” เหอเหยียนนีพยักหน้า
เธอดูออกว่าหลู่เยว่เยว่อยากจะช่วยบ้านเอื้อเฟื้อจริงๆ แต่แฟนของเธอไม่สนใจเรื่องนี้เลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ และเธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบังคับ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าและส่งหลู่เยว่เยว่กับจางเจ๋อออกไปจากบ้านเอื้อเฟื้อ
หลังจากที่จางเจ๋อเดินออกจากบ้านเอื้อเฟื้อ เขาก็ตบสูทบนร่างกายของเขา ถ่มน้ำลายรดพื้นอีกครั้ง และพูดว่า”หลู่เยว่เยว่ผมยังพูดไม่จบเลย คุณลากผมออกมาทำไม?”
“คุณยังพูดไม่จบ คุณจะพูดอะไรอีก?มู่เซิ่งทำอะไรผิดหรือ?ทำไมคุณถึงชอบพูดจาถากถางเขาอยู่เรื่อยเลย?” หลู่เยว่เยว่นั่งอยู่ในรถ เห็นได้ชัดว่าเธอก็โมโหเหมือนกัน
เดิมทีเธอคิดว่าจางเจ๋อเป็นเพียงผู้ชายที่มุ่งเน้นการหาเงิน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังดูถูกเหยียดหยามอีกด้วย
ในใจของหลู่เยว่เยว่ ได้เริ่มทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองอีกครั้ง
เธอไม่ชอบผู้ชายที่ไม่มีน้ำใจมาเป็นแฟน
“พอแล้ว ทำไมคุณต้องโกรธขนาดนั้นด้วย ผมแค่ไม่ชอบผู้ชายขี้โม้อย่างมู่เซิ่ง คุณดูเขาสิ ผู้ชายจนๆที่ไม่ได้เรื่อง ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ และเขายังต้องการช่วยเหลือบ้านเอื้อเฟื้อ?เขามีความสามารถนั้นมั้ย?ตลกจริงๆ” จางเจ๋อนั่งอยู่ในรถเบนซ์ของเขา เย้ยหยันอย่างเหยียดหยาม
ทั้งๆที่ไม่มีเงินเลย แต่ยังจงใจแสร้งทำเป็นรวยที่จะสนับสนุนบ้านเอื้อเฟื้อ สิ่งที่จางเจ๋อเกลียดที่สุดคือผู้ชายอย่างมู่เซิ่ง ที่ทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต
“ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็มีใจที่อยากจะช่วย แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”หลู่เยว่เยว่กล่าว
“เห้อ เยว่เยว่คุณมีประสบการณ์ทางสังคมน้อยเกินไปแล้วนะ อย่างน้อยเขาก็มีใจที่จะทำแบบนี้?มีแค่ใจจะมีประโยชน์อะไร มีใจแล้วสามารถเอางินเป็นล้านออกมาเพื่อช่วยให้บ้านเอื้อเฟื้อผ่านพ้นความยากลำบากได้ไหม?ไม่ใช่ผมว่านะ มู่เซิ่งคนนี้ อย่างมากก็แค่แสร้งทำเป็นมีน้ำใจ เพื่อหลอกลวงสาวน้อยเหล่านั้น” จางเจ๋อกล่าวต่อ
“สาวน้อยเหล่านั้นค่อนข้างไม่มีประสบการณ์และชอบช่วยเหลือคน ดังนั้น ไอ้กระจอกจนๆแบบนี้จึงชอบใช้การมีน้ำใจเพื่อเข้าใกล้สาวน้อยเหล่านี้”
“ผมไม่เปิดโปง ถือว่าไว้หน้าคุณมากแล้ว”
หลู่เยว่เยว่ส่ายหัวและถอนหายใจ
พูดตามตรง เธอก็อยากจะช่วยจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เธอเป็นเพียงพนักงานธรรมดาในบริษัท และหลังจากจ่ายค่าเช่าค่าไฟค่าน้ำต่างๆ เงินที่เธอสามารถเอาออกมาช่วยเหลือบ้านเอื้อเฟื้อนั้นก็แค่พันสองพัน
อย่างไรก็ตาม หากคราวนี้ไม่มีใครช่วย บ้านเอื้อเฟื้ออาจหายไปจากเจียงหนานจริงๆ
“อย่าเสียใจไป ก็แค่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ?ผมได้ยินมาว่าวันนี้มีร้านอาหารเปิดใหม่ในเมืองและเป็นที่นิยมมาก ผมจะพาคุณไปทานอาหารเย็นที่นั่นนะ”จางเจ๋อกล่าว
“คุณไปเองเถอะ ฉันไม่อยากไปแล้ว”
หลู่เยว่เยว่ส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูด
“ไปกินเถอะน๊า ผมจองที่นั่งไว้ให้แล้ว จะได้ไม่เสียเที่ยว”
ภายใต้การร้องขอของจางเจ๋อในที่สุดหลู่เยว่เยว่ก็พยักหน้าและตอบตกลง ตลอดทางจางเจ๋อรู้สึกตื่นเต้นมาก บางทีอาจเป็นเพราะบ้านเอื้อเฟื้อกำลังจะปิดตัวลงในไม่ช้า ถึงตอนนั้น เขาไม่ต้องจ่าย 50,000 ด้วยซ้ำ
หลังจากที่จางเจ๋อกับหลู่เยว่เยว่จากไปแล้ว เหอเหยียนนีก็ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเศร้าและพูดว่า”ที่นี่ทรุดโทรมเกินไป ดังนั้นฉันจะไม่ชวนให้พวกคุณอยู่ต่อแล้วนะ ขอบคุณสำหรับขนมและของขวัญของพวกคุณในวันนี้ ในอนาคต อาจไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กๆเหล่านี้แล้วก็ได้นะ”
“คุณน้าเหอคุณอย่าพูดแบบนั้น”ฉู่อีอีได้ยินเช่นนี้ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด
พี่ชายของเธอออกจากบ้านตั้งแต่เธอยังเด็ก และพ่อของเธอเป็นขี้พนัน ดังนั้นเธอจึงเป็นเหมือนเด็กกำพร้า จึงทนเห็นฉากดังกล่าวไม่ได้เลย
“คุณน้าเหอ เรื่องนี้ บางทีผมอาจช่วยได้นะ” ในขณะนี้ มู่เซิ่งลุกขึ้นยืนทันทีและพูด
“คุณ……”
เหอเหยียนนีผงะและมองไปที่มู่เซิ่ง