ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี – บทที่ 15 ต่อขอขึ้นราคา

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

“เถ้าแก่ ขอบะหมี่เนื้อกับข้าวผัดอีกอย่างละหนึ่ง! ขอเครื่องเคียงด้วย! แตงกวาแช่เย็นก็ได้!”

เผยเชียนทุ่มเงินเลี้ยงหม่าหยางที่กำลังสวาปามบะหมี่เนื้ออย่างสุขใจอยู่ตรงหน้า “สุดยอดเลยพี่เชียน! พี่ไม่ได้โม้ แต่เป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลรวยจริงๆ ด้วย! แต่…มีเงินขนาดนี้เราไปกินร้านข้างๆ ก็ได้นี่…”

เผยเชียนโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้ๆ ถึงร้านข้างๆ จะไม่ได้แพงมาก แต่มันไม่อิ่มท้อง”

“จริงๆ เราก็ควรกินอะไรดีกว่านี้เพื่อฉลองการเริ่มงาน แต่ฉันเก็บเงินไว้สร้างเกมหมดเลยต้องใช้ประหยัดๆ หน่อย”

จริงๆ แล้วเป็นเพราะได้ความมั่งคั่งส่วนบุคคลมาน้อยต่างหาก ตอนนี้เขามีแค่เจ็ดร้อยหยวน ไม่พอต่อการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

หม่าหยางพยักหน้าขณะกินบะหมี่ “เข้าใจเลย! ต้องทำแบบนั้นแหละ ตอนนี้เรากำลังสร้างตัว เอาเงินไปใช้สิ้นเปลืองไม่ได้”

“เดี๋ยวเกมวางขายแล้วฉันพาแกไปกินบุฟเฟต์ปิ้งย่างหัวละห้าสิบหยวน!”

หม่าหยางพยักหน้ารัว “โอเคเลย!”

บุฟเฟต์ส่วนใหญ่ในช่วงเวลานี้จะอยู่ที่สามสิบหยวนต่อคน บุฟเฟต์หัวละห้าสิบหยวนที่เผยเชียนบอกถือเป็นอะไรที่หรูมาก

แต่สิบปีต่อมา ราคาบุฟเฟต์ก็ขึ้นเป็นหนึ่งร้อยถึงสองร้อยหยวนต่อหัว เอามาเทียบกับตอนนี้ไม่ได้

ถ้าเผยเชียนเสียเงินสามแสนหยวนเพื่อให้แปลงเป็นความมั่งคั่งส่วนบุคคลได้ เขาก็จะกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ

“จริงด้วย เรื่องสัญญา” เผยเชียนตักข้าวผัดไข่ “เดี๋ยวกลับไปแล้วจะไปหาแบบฟอร์มดู เซ็นสัญญาเป็นเด็กฝึกงานจ่ายค่าจ้างสามพันหยวนตอนสิ้นเดือนแล้วกัน”

หม่าหยางรีบตอบ “พี่เชียน ไม่ต้องทำให้เป็นทางการหรอก เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมว่าไม่ต้องเซ็นสัญญาก็ได้”

เผยเชียนส่ายหัว “ไม่ได้ แกทำงานหนักให้ฉันก็ต้องได้เงิน เรากำลังทำธุรกิจกันอยู่ ก็ต้องทำให้มันถูกต้องตามกระบวนการ ต้องมีสัญญา”

“เอางั้นก็ได้ ตามใจพี่เลย” หม่าหยางไม่ได้ดึงดันต่อ ใครกันจะไม่อยากได้เงินฟรีๆ

เขาแค่คิดว่าสามพันหยวนมันเยอะไปหน่อย รู้สึกกระดากใจถ้าจะรับมา

จริงๆ แล้วเผยเชียนอยากให้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ระบบไม่ยินยอม!

ระบบมีกฎห้ามจ่ายเงินเดือนพนักงานสูงกว่ามาตรฐาน หลังจากลองทดสอบดู เผยเชียนก็รู้ว่ามาตรฐานที่เหมาะสมต้องไม่เกินสองเท่าของราคาตลาด

ยกตัวอย่างกรณีของหม่าหยาง

ถ้าเขาไปช่วยงานบริษัทเกมอื่น เงินเดือนเด็กฝึกงานพื้นฐานจะอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวน

แน่นอนว่าอาจมีกรณีที่บางบริษัทใจดีหรือเด็กฝึกงานมีภาระรับผิดชอบเยอะก็จะได้เงินเพิ่มขึ้น

แต่ก็ต้องดูความสามารถของหม่าหยางด้วย ดูแล้วน่าจะไปสร้างปัญหาให้บริษัทมากกว่า…

ดังนั้นเผยเชียนเลยให้ค่าจ้างเด็กฝึกงานที่สามพันหยวนซึ่งเป็นราคาสูงสุดที่ระบบยอมให้ผ่าน

ขณะกำลังกินบะหมี่อยู่ หม่าหยางก็ตบหน้าขาตัวเอง

“เอ้อ! พี่เชียน! ผมนึกอะไรดีๆ ออก! ผมเปลี่ยนแม่ทัพในสามก๊กเป็นผู้หญิงให้หมดเลยได้มั้ย ฉีกแนวพอรึเปล่า”

เผยเชียนแทบสำลักข้าว

“ไม่ได้!”

เขาปฏิเสธเด็ดขาด

หม่าหยางงงไปหมด “ทำไมล่ะ ไหนพี่บอกให้ฉีกแนว”

เผยเชียนพูดอะไรไม่ออก

ทำไมไม่ได้น่ะหรือ

ก็เพราะดูเป็นไอเดียที่น่าจะประสบความสำเร็จไงล่ะ…

แนวคิดจับตัวละครสามก๊กมาเปลี่ยนเพศนั้นมีในมังงะและอนิเมะแล้ว แถมได้กระแสตอบรับดี

แม้ว่าในปี 2009 เกมแนวภาพสองมิติจะยังไม่ค่อยมีกระแสเท่าไหร่ แต่ก็มีสัญญาณว่ากำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากเกมการ์ดหลายๆ เกมก็ออกแบบมาเป็นสไตล์การ์ตูน แปลว่ากระแสนี้ได้รับการยอมรับอยู่กลายๆ

ถ้าสลับเพศแล้วดันไปติดใจพวกเก็บตัวอยู่บ้านแล้วเกมดังขึ้นมาจะทำอย่างไร!

เผยเชียนไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้นแน่

แต่แน่นอนว่าเผยเชียนไม่สามารถบอกความจริงในใจให้หม่าหยางรู้ได้

เขากระแอมกระไอก่อนจะอธิบายเหตุผล “ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะตัวละครแต่ละตัวจะขาดเอกลักษณ์!”

“อย่างถ้าม้าเฉียว เตียวหยุน กองซุนจ้านเป็นผู้หญิง…ตัวละครทุกตัวเป็นผู้หญิงหมดก็ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยสิ!”

“ที่นายทำมาน่ะดีแล้ว ม้าเฉียวเป็นเซ็นทอร์ กวนอูเป็นมังกร ทำแบบนี้แล้วแยกง่ายว่าใครเป็นใคร!”

“เพราะงั้นอันปัจจุบันที่ทำมาน่ะดีแล้ว”

หม่าหยางพยักหน้า ในที่สุดก็เข้าใจ “อ๋อ แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว”

เผยเชียนถอนหายใจยาว เหมือนว่าการจ้างพนักงานจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

ถึงจะเอาเงินไปจ่ายเป็นเงินเดือนเพิ่มได้ แต่กลยุทธ์ของเผยเชียนจะทำให้พวกเขานึกสงสัยและตั้งคำถามได้ พอเป็นแบบนั้น เขาก็ต้องหาคำอธิบายที่มีเหตุผลมาแก้ต่าง

ถ้าไม่ทำแบบนั้น พนักงานอาจสงสัยว่าเผยเชียนตั้งใจทำให้บริษัทขาดทุนหรือเปล่า ถ้ามีใครสงสัยขึ้นมาจะไปละเมิดกฎระบบเอาได้

“โชคดีที่หม่าหยางไม่ฉลาดเท่าไหร่”

“ต่อไปถ้าจะจ้างคนเพิ่มก็ต้องหาคนแบบเจ้านี่แหละ”

เผยเชียนโอดครวญกับตัวเองในใจ

กินข้าวเสร็จ ทั้งสองก็กลับหอพัก

หม่าหยางปีนขึ้นเตียงชั้นบนแล้วทำงานกรอกแบบฟอร์มต่ออย่างกระตือรือร้น

ส่วนเผยเชียนเปิดโน้ตบุ๊กเข้าเว็บไซต์รวมทรัพยากร ข้อความที่ส่งไปมีการตอบกลับแล้ว

หร่วนกวางเจี่ยน: “ต้องการกี่ชิ้น คร่าวๆ อยากได้งานแบบไหน”

เผยเชียนบอกรายละเอียดภาพรวมที่ต้องคร่าวๆ ไปซึ่งรวมถึงจำนวนการ์ด สไตล์ภาพ และอื่นๆ

แบบฟอร์มที่มีข้อมูลละเอียดนั้นยังไม่เสร็จ เผยเชียนจึงทำได้แค่อธิบายไปคร่าวๆ

“ไม่เอาภาพสไตล์การ์ตูน ที่เหลือตามใจคุณเลย”

“ตัวละครมีทั้งหมดห้าสิบตัว แต่ละตัวของานออริจินัลสี่แบบ รวมทั้งหมดสองร้อยชิ้น”

“ตอนนี้กำลังทำข้อมูลแบบละเอียดอยู่ เสร็จแล้วจะส่งให้ทีหลัง”

ผ่านไปสามนาที เผยเชียนก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เขาคิดว่าหร่วนกวางเจี่ยนต้องงงแน่

ตัวอย่างงานมีแต่ภาพสไตล์การ์ตูน แต่สิ่งที่บอกอย่างแรกคือไม่เอางานสไตล์การ์ตูนเนี่ยนะ!

ผ่านไปครู่หนึ่ง หร่วนกวางเจี่ยนก็ตอบกลับ

“ได้ครับ ราคาเซ็ตละสองพันหยวน โอเคไหมครับ ราคาอาจสูงไปหน่อยสำหรับนักวาดหน้าใหม่ แต่ไม่ต้องห่วง งานภาพของผมคุณภาพระดับท็อปแค่ไม่ค่อยมีผลงานลงเท่าไหร่เพราะยังเรียนอยู่”

เซ็ตละสองพัน หมายความว่าภาพละห้าร้อยเองหรือ!

เผยเชียนไม่พอใจอย่างแรงเพราะมันถูกเกินไป!

ก็หมายความว่าจะใช้เงินได้ไม่หมดน่ะสิ!

เขาตั้งราคาไว้ว่าเซ็ตหนึ่งสักสามพันหยวน แต่ตอนนี้ได้ราคามาสองพันหยวน

แปลว่าจะประหยัดเงินไปห้าหมื่นหยวนสำหรับตัวละครห้าสิบตัว

ไม่ ไม่ได้!

“ผมคิดว่าเราต้องคุยกันเรื่องราคา” เผยเชียนตอบกลับ

หร่วนกวางเจี่ยน: “คุณให้เท่าไหร่ นั่นราคาสุดๆ ของผมแล้ว”

เผยเชียน: “ทางเราต้องการอะไรพิเศษหน่อย”

“เราอยากได้งานแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน อยากได้ภาพแบบที่มันแตกต่าง! เพราะงั้นงานก็จะยากขึ้นกว่าเดิมถูกไหม”

“อีกอย่างเรื่องการออกแบบงานภาพเราไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เพราะงั้นรายละเอียดงานที่อยากได้จะดูกำกวม”

“ผมว่าคุณจะต้องทำงานหนักกว่าเดิม”

“ด้วยเหตุผลที่บอกไป ผมคิดว่าเซ็ตละสองพันไม่ค่อยแฟร์กับคุณ เซ็ตละสามพันน่าจะเหมาะกว่า!”

“ราคานั้นรวมออกแบบงานภาพออริจินัลหลักและการปรับแก้เพิ่มเติมภายหลัง ผมหวังว่าคุณจะวาดให้เราแบบพิถีพิถัน เอาแบบนี้เป็นไง”

หร่วนกวางเจี่ยนเงียบไปอีกครั้ง

ชัดเจนว่าเขาไม่เคยเจอลูกค้าขอต่อขึ้นราคาเหมือนเผยเชียน…

ลูกค้าคนนี้อยากให้เงินเพิ่มอีกหนึ่งพันหยวนต่อเซ็ต!

แต่การกระทำของเผยเชียนไม่ได้ขัดต่อกฎ ระบบจึงไม่ได้แจ้งเตือนอะไร

เพราะคำขอของเผยเชียนสมเหตุสมผล เงินที่เพิ่มเข้ามาก็เพราะปัญหาเรื่องระบุรายละเอียดที่ต้องการไม่ชัดเจน ขอเพิ่มคุณภาพงาน รวมถึงการแก้งานในภายหลัง

ไม่กี่นาที หร่วนกวางเจี่ยนก็ตอบกลับมา “โอเค รวมทั้งหมดห้าสิบเซ็ต สองร้อยรูป ราคาหนึ่งแสนห้าพันหยวน รวมปรับแก้งานยี่สิบครั้ง ปรับแก้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ห้าสิบครั้ง”

เผยเชียนยิ้มกว้าง

ฉันจ่ายเงินเพิ่มให้ปรับแก้งานได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ก็ได้!

อย่างไรเสีย ขอแค่งานออกมาน่าเกลียดก็พอแล้ว

ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อยและเตรียมเซ็นสัญญาดิจิทัลบนเว็บไซต์รวมทรัพยากร

จู่ๆ เผยเชียนก็นึกอะไรขึ้นได้ “คุณวาดได้กี่รูปในสามสัปดาห์ เดี๋ยวผมจะได้แก้จำนวนแล้วเซ็นสัญญา”

ระบบกำหนดไม่ให้เผยเชียนมีสินค้าที่ไม่ได้วางจำหน่ายหนึ่งสัปดาห์ก่อนปิดบัญชี

ถ้าเผยเชียนอยากปล่อยเกมก่อนปิดบัญชีหนึ่งสัปดาห์ หร่วนกวางเจี่ยนก็มีเวลาแค่สามสัปดาห์ในการทำงาน

หร่วนกวางเจี่ยน: “ผมวาดทั้งหมดสองร้อยรูปเองไม่ได้แน่ แต่ผมเอางานไปแบ่งให้รูมเมตช่วยทำได้ ไม่ต้องห่วง ผมจะคอยดูงานตลอด รับรองว่างานได้คุณภาพ สไตล์ไปในทางเดียวกันแน่นอน”

เผยเชียนแสนสุขใจ “เอาแบบนั้นเลย! งั้นผมให้คุณทำทั้งหมดเลยนะ!”

หร่วนกวางเจี่ยนยังเรียนอยู่ ถึงความสามารถเขาจะผ่านเกณฑ์ของทางเว็บไซต์ แต่รูมเมตอาจจะไม่ได้เก่งเหมือนเขาก็ได้!

ถือเป็นช่องโหว่เล็กๆ ในการใช้เงินลดคุณภาพงานอย่างถูกต้อง

ยอดไปเลย!

……………

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

Status: Ongoing
ต้องทำธุรกิจให้ “ขาดทุน” เขาถึงจะรวย แต่ไม่รู้ดวงดีหรือดวงซวย ถึงได้แต่ “กำไร” เนี่ย!เผยเชียนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนโดยมีระบบสั่งให้เขาตั้งบริษัทอะไรก็ได้เพื่อหาเงินทำกำไรโดยจะมีการประเมินกำไรขาดทุนเป็นรอบๆแต่เผยเชียนเป็นคนหัวหมอ เขาดูแล้วว่าถ้าเขาทำธุรกิจได้กำไร เขาจะได้ส่วนแบ่งเข้ากระเป๋าตัวเองแค่ 1:100แต่ถ้าเขาขาดทุน เขาจะได้ส่วนแบ่ง 1:1 เขาจึงคิดจะตั้งบริษัทเกม และหาทางทำให้บริษัทขาดทุนด้วยการสร้างเกมที่ไม่น่าจะฮิตบ้างล่ะ ขายเกมราคาถูกบ้างล่ะ เอาเงินไปละลายกับการเช่าตึกและซื้ออุปกรณ์ทำงานต่างๆ บ้างล่ะแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ขาดทุนสักที เกมที่คิดว่าไม่น่าจะขายได้ก็ดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทำไมการทำธุรกิจให้ขาดทุนมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ล่ะเนี่ย?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท