ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี – บทที่ 150 นักร้องประจำ

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ช่วงค่ำ

ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูสาขาหลัก

หม่าหยางกับจางหยวนนั่งจิบค็อกเทลอยู่ตรงหน้าต่างพลางมองลูกค้าจำนวนหยิบมือเดินเข้าร้าน ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกหดหู่ใจยังไงไม่รู้

ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านเลย!

ตอนนี้ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูอีกสองสาขาอยู่ในช่วงปรับปรุง น่าจะเปิดทำการได้เร็วๆ นี้

ส่วนร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูสาขาหลักก็ยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

กิจการเริ่มอยู่ตัวแล้ว ลูกค้าประจำบางส่วนสนิทกับพนักงานที่ร้าน แต่ไม่ว่าจะคำนวณยังไง ลูกค้าจำนวนหยิบมือนี้ก็ไม่สามารถช่วยให้ร้านไปรอดได้

หม่าหยางกับจางหยวน คนหนึ่งเป็นผู้จัดการกลางของร้านอินเทอร์เน็ตโมหยู ส่วนอีกคนเป็นผู้จัดการเขตดูแลร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูทุกสาขาในเมืองจิงโจว

จางหยวนยกค็อกเทลดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “เดี๋ยวจะขึ้นไปร้องสักเพลงสองเพลงนะ”

หม่าหยางยื่นมือออกไปห้าม “ไม่ต้องก็ได้พี่ ร้องไปยังไงก็ไม่มีใครฟัง…”

นับรวมทั้งสองแล้ว มีคนทั้งหมดแปดคนที่กำลังนั่งดื่มอยู่

จางหยวนลุกขึ้นยืน “ไม่เป็นไร อยากร้องเพลงคลายเครียดสักหน่อย”

เขาขึ้นไปบนเวทีแล้วดีดกีตาร์เหมือนอย่างเคย ในหัวเริ่มคิดว่าวันนี้จะร้องเพลงอะไรดี

กลุ่มคนที่นั่งดื่มอยู่ด้านหน้าล้วนเป็นลูกค้าที่คุ้นหน้ากันดี พวกเขาไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นจางหยวนขึ้นไปบนเวที

ร้านอินเทอร์เน็ตไหนไม่มีนักร้องประจำบ้าง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไร

ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่นาน ทุกๆ คืนจางหยวนจะขึ้นไปร้องเพลงอย่างเต็มที่ไม่มีขาด แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ถึงจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ร้านได้ แต่ก็เพิ่มได้ไม่มาก

พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มร้องเพลงน้อยลงเรื่อยๆ คืนนี้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขาอยากขึ้นเวที

จางหยวนไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาปรับเครื่องสายก่อนจะเริ่มร้องเพลง

ชายหนุ่มไม่ได้ร้องเพราะปานนักร้อง แต่ก็ถือว่าเสียงใช้ได้ทีเดียว จะให้นักร้องประจำบาร์ร้องเพลงไม่เพราะได้ยังไง

เสียงทุ้มแหบห้าวดังก้องไปทั่วร้าน

ที่ผ่านมาจางหยวนร้องแต่เพลงร็อกหนักหน่วง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าลูกค้าดูจะไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมด้วยสักเท่าไหร่

ดังนั้นเขาเลยเปลี่ยนไปร้องเพลงช้าแทน

อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บรรยากาศร้านดูอึดอัด

หม่าหยางจิบเครื่องดื่มเคล้าไปกับเพลงของจางหยวน ตาหันมองออกไปนอกหน้าต่าง

ตอนนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆ ยืนอยู่ด้านนอกผนังกระจก ดูเหมือนเงานั่นจะกำลังลังเลใจอยู่ตรงประตู

ตอนนี้มืดมากแล้ว ไฟในร้านสว่างกว่าด้านนอก ทำให้คนด้านนอกมองเข้ามาเห็นทุกอย่างในร้านได้อย่างชัดเจน แต่คนจากด้านในมองออกไปเห็นสภาพข้างนอกได้ไม่ค่อยชัดนัก

แต่หม่าหยางก็มั่นใจว่าเห็นคนยืนอยู่ด้านนอก และกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตู

“ลูกค้าใหม่เหรอ

“ถ้ากำลังลังเลก็แปลว่ายังมีโอกาสอยู่!”

หม่าหยางตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ถึงตอนนี้ชายหนุ่มจะเป็นผู้จัดการกลางของร้านอินเทอร์เน็ตโมหยู แต่ใครบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ไปพูดชวนลูกค้าให้ลองเข้ามาใช้บริการ

จะเป็นผู้จัดการหรือผู้จัดการกลางก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่

เขาเปิดประตูร้านพร้อมกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น “คุณครับ ลองเข้ามาดูก่อนไหมครับ”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูผงะไป ระหว่างที่กำลังเดินคิดวนไปวนมาอยู่หน้าประตู เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ประตูเปิดออกแล้ว แถมยังมีใบหน้าใหญ่ยาวกำลังจ้องมองมาอยู่

เขาก้มหน้าลงอย่างเหนียบอาย “ผม… ผมไม่ได้มาเล่นอินเทอร์เน็ตครับ”

“ไม่เป็นไรครับ เข้ามาดื่มสักหน่อยก็ได้” หม่าหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

หม่าหยางมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้า สภาพของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดยุ่ยดูกระเซอะกระเซิง

ชายหนุ่มเกาหัวที่มีสภาพยุ่งเหยิง “ผม… ผมอยากถามว่าที่นี่เปิดรับนักร้องประจำไหมครับ”

หม่าหยาง “…”

เขาดูจะผิดหวัง

ที่ขาดไม่ใช่พนักงาน แต่เป็นลูกค้าต่างหาก!

ถ้าไม่มีลูกค้า จะร้องดีแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์

ชายหนุ่มรีบพูดเสริมเมื่อเห็นท่าทีที่แสดงออกมาบนใบหน้ายาวใหญ่ของหม่าหยาง “ผมว่าผมเก่งกว่าคนนั้น ก็เลยอยากลองมาสมัครดูน่ะครับ”

หม่าหยางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจได้ว่าก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

ตอนนี้จางหยวนเป็นผู้จัดการเขตของร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูในเมืองจิงโจว จะให้ขึ้นไปร้องเพลงทุกวันก็ไม่น่าไหว

จ้างนักร้องประจำสักคนก็ดี

“ลองดูก็ได้ แล้วชื่ออะไร”

“เฉินเหล่ยครับ”

“โอเค เข้ามาก่อนสิ”

หม่าหยางพาเฉินเหล่ยเข้าไปนั่งในร้าน

ผ่านไปสักพักจางหยวนก็ร้องอีกเพลงจบแล้วลงจากเวที

หม่าหยางผายมือไปทางเวที “เอาเลย ไม่ต้องเครียดนะ”

หม่าหยางไม่ได้เก่งเรื่องดนตรี เขาแยกไม่ออกว่าอันไหนดีอันไหนแย่ คิดแค่ว่าถ้าร้องได้ไม่แย่มากก็จะจ้างมาร้องแทนจางหยวน

จางหยวนรินน้ำใส่แก้วก่อนจะหันไปเห็นว่ามีคนขึ้นไปแย่งที่บนเวทีแล้ว

ชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตากำลังปรับกีตาร์ เหมือนว่าเตรียมจะร้องเพลง

จางหยวนหันมองหม่าหยางด้วยความงุนงง “น้องหม่า นั่นใครน่ะ”

“เขาชื่อเฉินเหล่ยครับ มาสมัครเป็นนักร้องประจำ ถ้าร้องได้ดีก็ว่าจะจ้างมาขึ้นเวทีแทนพี่ พี่จะได้มีเวลาพักผ่อน”

หม่าหยางว่าต่ออย่างเป็นห่วง “งานพี่เยอะเกินไป ไหนๆ ก็จ้างคนมาชงเหล้าแล้ว จ้างนักร้องประจำมาอีกสักคนก็น่าจะดี พี่จะได้มีเวลาให้กับเรื่องดูแลจัดการร้าน”

จางหยวนอยากจะบอกออกไปว่าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากมายหรอก แต่พอได้ยินหม่าหยางพูดอย่างนั้นก็อดซึ้งขึ้นมาไม่ได้

เอ๊ะ ไม่สิ เราไม่เคยจ้างนักร้องประจำเลยนี่นา

จางหยวนกำลังจะหันมาถาม แต่ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องแหบห้าวเล็กน้อยดังก้องไปทั่วร้านอินเทอร์เน็ต

“สกุณากลางวสันต์ ลมโบกฤดูสารท อาทิตย์ลับแสงยามเมหันต์…”

จางหยวนอึ้งไป “นั่นเพลงเก่านี่”

เพลงนี้เป็นที่รู้จักกันดี แทบทุกคนในร้านเคยได้ยินมาก่อน

ตอนที่เฉินเหล่ยเริ่มร้อง เกือบทุกคนในร้านที่กำลังนั่งดื่มอยู่ก็หันไปทางเวที

ราวกับว่ามีธารใสสะอาดกำลังพวยพุ่งออกมาจากเวทีเข้าห้อมล้อมทุกคน

จางหยวนยังตะลึงอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงตาม

หม่าหยางดื่มต่อเงียบๆ แล้วหันไปกระซิบกับจางหยวน “ผมว่าเขาร้องไม่เก่งเท่าพี่”

จางหยวนเหลือบมองหม่าหยางอย่างไม่พอใจ “น้องหม่า… เขาร้องเก่งกว่าพี่อีก”

“จริงเหรอ” หม่าหยางอึ้งไป “เสียงก็ไม่ได้สูงแล้วก็ไม่ได้ต่ำ เขาเก่งกว่าตรงไหนเหรอพี่”

จางหยวนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาคุยกันคนละภาษา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไงหม่าหยางก็เป็นหัวหน้า จึงได้แต่ยิ้ม

“นักร้องที่ดีจะทำให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามได้ เพลงช้าร้องด้วยเสียงแบบนี้ฟังแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย”

“ผมไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย”

“ถ้าไม่เชื่อก็หันไปดูลูกค้าสิ”

หม่าหยางหันไปมองลูกค้า

ก่อนหน้านี้ตอนที่จางหยวนขึ้นไปร้องเพลง ทุกคนสนใจแต่เครื่องดื่มตรงหน้าและเอาแต่พูดคุยกัน ถึงหูจะฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

แต่พอเฉินเหล่ยขึ้นไปร้อง ทุกคนดูจะมีอารมณ์ร่วมกันหมด

พวกเขาถือแก้วไว้ในมือแล้วร้องตาม ไม่มีใครคุยกัน บางคนเหม่อมองไปทางเวทีเหมือนว่าความทรงจำมากมายเกี่ยวกับเพลงนี้กำลังพรั่งพรูขึ้นมา

จางหยวนซาบซึ้งกับบทเพลงมาก “น้องหม่า ไปหาคนเสียงดีแบบนี้มาจากไหน”

หม่าหยางเงียบไปครู่หนึ่ง “…เขามาของเขาเอง”

“บังเอิญจริงๆ”

“ก็ไม่เชิงนะพี่” หม่าหยางตอบ “เขาบอกว่าได้ยินเสียงพี่จากข้างนอก แล้วคิดว่าเสียงตัวเองดีกว่าเลยอยากลองมาสมัครดู จริงๆ แล้วต้องยกความดีความชอบให้พี่เลย”

จางหยวน “…”

“น้องหม่า พี่เปลี่ยนใจแล้ว เราไม่จ้างเขาดีมั้ย”

“ไม่ดี”

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

Status: Ongoing
ต้องทำธุรกิจให้ “ขาดทุน” เขาถึงจะรวย แต่ไม่รู้ดวงดีหรือดวงซวย ถึงได้แต่ “กำไร” เนี่ย!เผยเชียนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนโดยมีระบบสั่งให้เขาตั้งบริษัทอะไรก็ได้เพื่อหาเงินทำกำไรโดยจะมีการประเมินกำไรขาดทุนเป็นรอบๆแต่เผยเชียนเป็นคนหัวหมอ เขาดูแล้วว่าถ้าเขาทำธุรกิจได้กำไร เขาจะได้ส่วนแบ่งเข้ากระเป๋าตัวเองแค่ 1:100แต่ถ้าเขาขาดทุน เขาจะได้ส่วนแบ่ง 1:1 เขาจึงคิดจะตั้งบริษัทเกม และหาทางทำให้บริษัทขาดทุนด้วยการสร้างเกมที่ไม่น่าจะฮิตบ้างล่ะ ขายเกมราคาถูกบ้างล่ะ เอาเงินไปละลายกับการเช่าตึกและซื้ออุปกรณ์ทำงานต่างๆ บ้างล่ะแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ขาดทุนสักที เกมที่คิดว่าไม่น่าจะขายได้ก็ดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทำไมการทำธุรกิจให้ขาดทุนมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ล่ะเนี่ย?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท