ช่วงเย็น ที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยู
จู่ๆ จากร้านอินเทอร์เน็ตอันแสนเงียบเหงาก็มีลูกค้าเข้ามาหนาตา
ลูกค้าวัยรุ่นเข้ามาใช้บริการเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน มีหลายคนยืนสำรวจร้านอยู่ด้านนอกว่ามาถูกที่หรือเปล่า ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในร้าน
“แน่ใจนะว่าที่นี่ ป้ายอะไรก็ไม่เห็นมี”
“ใช่ ที่นี่แหละ”
“แล้วคอมพิวเตอร์ที่เรียงเป็นตับนี่มีไว้เพื่อ”
“ก็ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่บาร์ เขาให้เล่นเน็ตได้ด้วย”
“เล่นเน็ตเหรอ… ถ้างั้นไปร้านเน็ตแทนไม่ได้กว่าเหรอ ฉันมานี่เพื่อกินเหล้านะ”
“เหล้าก็มีขาย ค็อกเทลที่นี่ดีกว่าร้านอื่นอีก แต่เรามาที่นี่เพื่อฟังเพลง!”
“ร้องดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“นักร้องประจำร้านนี้ไม่เหมือนร้านอื่น เดี๋ยวได้ฟังก็เข้าใจเอง”
มีลูกค้าหนุ่มสาวเปิดประตูเข้าร้านมาอีกกลุ่ม
พนักงานรีบต้อนรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาไปที่โต๊ะ หลังจากแจกผ้าขนหนูเปียกให้ทุกคนเสร็จก็ถามอย่างสุภาพว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรดี
คนที่ดูร่าเริงที่สุดในกลุ่มคือหญิงสาวแต่งตัวเก่ง หลังจากทุกคนสั่งเครื่องดื่มเสร็จ เธอก็เล่าให้คนอื่นๆ ฟังอย่างตื่นเต้นว่ามาเจอที่ดีๆ แบบนี้ได้ยังไง
“รู้มั้ยว่าฉันเจอที่นี่ได้ยังไง
“จริงๆ แล้วฉันเคยเดินผ่านร้านนี้ แต่พอดูเมนูก็รู้ว่าขายแพง แถมคนก็ไม่ค่อยมีเลยไม่ได้เข้า
“แต่สัปดาห์ก่อนฉันบังเอิญเดินผ่านร้านนี้แล้วได้ยินเสียงคนร้องเพลง!
“ตอนนั้นเพิ่งเลิกงานมา ฉันยืนฟังอยู่หน้าร้านสักพักเลยตัดสินใจเดินเข้าร้านไปสั่งเครื่องดื่มมาแก้วหนึ่ง แล้วก็นั่งฟังจนนักร้องลง!
“เขาร้องดีมาก ไม่ได้พยายามเชียร์แขก แค่ร้องไปเรื่อยๆ ฟังแล้วรู้สึกสบาย แถมเครื่องดื่มกับบรรยากาศร้านก็ดีสุดๆ
“หลังจากนั้นฉันก็มาอีกหลายครั้ง ถึงจะแพงแต่บริการดีมาก พนักงานทุกคนดูแลลูกค้าดีสุดๆ ไม่ต้องตะโกนเรียก แค่เหลือบไปมอง เขาก็เดินตรงมาหาแล้ว รู้สึกดีมากเลย!”
คนหนึ่งในกลุ่มพูดขัดขึ้น “จริงเหรอ พูดอย่างกับว่าพนักงานอ่านใจเราออก”
หญิงสาวปรายตามองอีกฝ่าย “ก็ไม่ได้ขนาดอ่านใจออกหรอกย่ะ แค่จะบอกว่าพนักงานใส่ใจในหน้าที่มากๆ คอยสอดส่องดูลูกค้าอยู่ตลอด แค่ขยับตัวหรือสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อยก็ดูออกแล้ว พอรู้ว่าลูกค้าต้องการความช่วยเหลือก็จะพุ่งมาหาทันที
“แถมพนักงานยังไม่มารบเร้ากวนใจ ไม่แนะนำเครื่องดื่ม ไม่ถามว่าอยากสมัครสมาชิกมั้ย สุภาพมากๆ ฉันติดใจจนมากระทั่งตอนกลางวัน มาจิบกาแฟอ่านหนังสือ รู้สึกดีมากเลยๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวนักร้องก็ขึ้นแล้ว
“เขาชื่อเฉินเหล่ย ได้ยินว่าพักอยู่แถวๆ นี้แหละ พอเรียนจบชั้นมัธยมก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหน เก็บตัวอยู่บ้าน มุ่งมั่นกับเรื่องดนตรี
“ไม่รู้ว่าร้านนี้ไปหาคนเก่งๆ แบบนี้มาได้ยังไง
“หันไปดูเวที! มาแล้วๆ!”
เฉินเหล่ยถือกีตาร์เดินขึ้นเวที เสียงโห่เชียร์ดังกระหึ่มจากฝั่งคนดู มีหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนลั่น “เฉินเหล่ย ฉันรักเธอ!”
เฉินเหล่ยแก้มแดง ปรับไมโครโฟนและดีดกีตาร์สองสามที ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินที่หญิงสาวพูด เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากด้านล่างเวที
ไม่มีการพูดคุยทักทายอะไร เฉินเหล่ยไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกับผู้ชม เพราะเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง
เขากระแอมกระไอก่อนจะเริ่มดีดกีตาร์แลh;เปล่งเสียงร้องใส่ไมโครโฟน
“ฟ้ามืดคล้อย ดวงจันทร์คือแววตาอันเหงาหงอย คอยมองเหล่าคนนอนไม่หลับอยู่เงียบๆ…”
เสียงเสนาะหูดังก้องร้าน
ผู้ชมด้านล่างเวทีจิบค็อกเทล พลางดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเงียบเชียบ
“เพราะมาก”
“ไม่เหมือนต้นฉบับเลย แต่ก็มีกลิ่นอายคล้ายๆ กัน”
“เฉินเหล่นเป็นแบบนี้แหละ จะร้องเพลงอะไร ก็กลายเป็นสไตล์ตัวเองหมด ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาหน่อยๆ”
“ดีมากเลย”
ชายที่ดูมีอายุหน่อยยกเครื่องดื่มขึ้นจิบขณะมองออกไปยังบรรยากาศมืดสลัวด้านนอกผ่านผนังกระจก ไม่รู้ว่าแสงสลัวนั่นทำให้เขานึกถึงความทรงจำอะไรขึ้นมาได้
จู่ๆ เขาก็หันกลับมามองแก้วในมือด้วยแววตางุนงง
“มีอะไรเหรอ” เพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยกันถาม
ชายคนนั้นยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกรอบ
“เหล่านี่…ของแท้รึเปล่า”
หญิงสาวหัวเราะ “ถามบ้าอะไรเนี่ย ร้านนี้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จะมาหลอกขายเหล้าปลอมให้เธอได้ไง”
เขาส่ายหัว “เธอไม่เข้าใจ สมัยนี้หลายๆ ร้านเอาเหล้าปลอมเทใส่ขวดเหล้ายี่ห้อแพงๆ ส่วนเหล้าแพงๆ เอาไปเทใส่ขวดเปล่าเก็บไว้ แล้วเอาเหล้าถูกๆ มากรอกใส่ขวดแพงๆ แทน พอเอามาชงเป็นค็อกเทล คนก็แยกกันไม่ค่อยออกแล้ว
“แต่นี่ก็ไม่ใช่เหล้าปลอมหรอก เป็นของราคาถูกลงมาหน่อย เหล้าปลอมกินแล้วจะปรี๊ดขึ้นหัว เข้าปากแล้วอาจถูกหามส่งโรง’บาลได้ แต่เหล้าราคาถูกลงมาหน่อยจะให้รสชาติที่ต่างกันในปาก แต่สุดท้ายก็ลงท้องเหมือนกันหมด”
หญิงสาวหันไปมองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก “แยกออกด้วยเหรอ”
เขาหัวเราะ “แยกออกสิ จะเหล้าเกือบพันหยวนหรือหลักร้อยต้นๆ ถึงจะเป็นเหล้าเหมือนกันแต่รสชาติย่อมแตกต่างกัน ไม่อย่างนั้นทำไมต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อกินของแพงด้วยล่ะ
“คนที่พอรู้เรื่องเหล้าจะแยกออก”
เขาเอียงแก้วไปมาเบาๆ ก่อนจะหันมองเฉินเหล่ยที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่บนเวที “ร้านนี้น่าสนใจดี เดี๋ยวไว้วันหลังชวนเพื่อนเก่ามาสังสรรค์กันที่นี่”
…
ตรงเคาน์เตอร์บาร์
หม่าหยางจิบเครื่องดื่มไปพร้อมๆ กับดูการแสดงของเฉินเหล่ย เขาอดรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาไม่ได้ “เหมือนว่า… เขาจะร้องเก่งกว่าพี่จริงๆ ด้วย”
จางหยวนตอบกลับอย่างถ่อมตัว “ใช่แล้ว น้องหม่าเพิ่งจะฟังออกเหรอ”
หม่าหยางส่ายหน้าอย่างซื่อตรง “ฟังไม่ออกหรอกพี่ แต่ตอนพี่ร้อง ไม่เห็นมีคนมารอฟังเยอะขนาดนี้ ไม่มีคนสั่งเครื่องดื่มดื่มเยอะขนาดนี้ด้วย แต่ตอนนี้ทุกคนตั้งใจฟังกันสุดๆ…”
จางหยวน “…น้องหม่า เห็นแก่แก้วนี้ที่พี่ชงให้ หยุดพูดทำร้ายจิตใจกันสักที”
หม่าหยางเลวมาก เฉินเหล่ยเสียงฟ้าประทานขนาดนี้ ทำไมยังเอามาเปรียบเทียบกับเขาอยู่ได้
“แล้วจะจ่ายเงินเขายังไงดี”
หม่าหยางถามอย่างจริงใจ
สัปดาห์ก่อน หลังจากได้ยินเสียงร้องของจางหยวน เฉินเหล่ยก็รู้สึกมั่นอกมั่นใจและขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
พอร้องเสร็จผลลัพธ์ก็ชัดเจน หม่าหยางรีบขอให้เขาอยู่ร้องเพลงให้หนึ่งสัปดาห์
ถ้าครบหนึ่งสัปดาห์แล้วรู้สึกพอใจกับผลงานก็จะเซ็นสัญญาจ้าง ถ้าไม่ก็จะให้เงินไปพันหยวนแล้วขอให้ไม่ต้องมาอีก
ตอนนี้ครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว หม่าหยางรู้สึกพอใจกับผลงานของเฉินเหล่ยมากๆ
แต่ก็ติดปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือเรื่องค่าจ้าง
“ปกตินักร้องประจำได้ค่าจ้างเท่าไหร่เหรอครับ” หม่าหยางอยากรู้ว่าจะจ่ายค่าจ้างตามราคาตลาดได้ไหม
จางหยวนรู้เรื่องนี้ดี เพราะเขาเคยทำงานเป็นนักร้องประจำมาก่อ
“น้องหม่า ถ้าเป็นบาร์เล็กๆ จะจ่ายให้นักร้องประจำสามพันหยวนต่อเดือน แต่ก็เป็นเรตสำหรับนักร้องที่ไม่ได้ดังมากนะ
“ค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับระดับของบาร์ ความดังของนักร้อง และความใจป้ำของเจ้าของร้าน
“บางบาร์คนเยอะหน่อย ถ้าอยากดังนักร้องส่วนใหญ่ก็ยินดีไปร้องให้ฟรีๆ กลับกัน ถ้าบาร์เล็กอยากจ้างนักร้องดังก็ต้องทุ่มเงินหน่อย
“ดูจากความสามารถของเฉินเหล่ยแล้ว ให้สักสี่ถึงห้าพันหยวนยังไม่ถือว่าเยอะอะไร อาจจะจ่ายน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
สี่ถึงห้าพันหยวน…
หม่าหยางเริ่มลังเล
“โห… ไม่ใช่ว่าไม่อยากจ่ายนะ แต่ผมรู้สึกว่าสำหรับเฉินเหล่ยไม่น่าจะต้องจ่ายแพงขนาดนี้
“ปัญหาหลักคือร้านเรายังขาดทุนอยู่
“พี่คิดว่ายังไง เสนอให้ฐานเงินเดือนไปหนึ่งพันห้าร้อย ส่วนที่เหลือเป็นเงินส่วนแบ่งดีมั้ย”
จางหยวนนิ่งไป “ส่วนแบ่งเหรอ หมายความว่ายังไง”
หม่าหยางชี้ไปที่เครื่องดื่มบนเคาน์เตอร์บาร์ “เราจะให้ส่วนแบ่งเขาตามยอดขายเครื่องดื่ม หลังจากนี้เราจะแจ้งลูกค้าว่าระหว่างที่เฉินเหล่ยร้อง กำไรครึ่งหนึ่งของยอดขายเครื่องดื่มจะเป็นของเขา”
จางหยวนสูดหายใจลึก “น้องหม่า ให้กำไรครึ่งหนึ่งจะมากไปมั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ เราขายเครื่องดื่มไม่ได้เยอะอยู่แล้ว…” หม่าหยางไม่ได้สนใจอะไรมาก
จางหยวนพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง “ก็จริง อีกอยากเราก็ขายเหล้าแท้ กำไรไม่ได้มากอยู่แล้ว
“คิดดูดีๆ ก็พอรับได้นะ…”
ถ้าพวกเขาดำเนินธุรกิจแบบบาร์ทั่วไป เครื่องดื่มจะเป็นแหล่งกำไรหลัก
บาร์ ผับ คาราโอเกะ และธุรกิจคล้ายๆ กันหลายๆ ร้านจะมีแอบย้อมแมวบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น XO พวกเขาจะเก็บขวดเปล่าไว้ แล้วกรอกเหล้าราคาถูกใส่ เสร็จแล้วก็เอากลับมาขายใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก
การขายเครื่องดื่มแบบนี้ช่วยการันตีได้ว่าจะทำกำไรให้ได้
แต่ตั้งแต่เปิดร้าน บอสเผยย้ำเสมอว่าเครื่องดื่มที่ขายที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูจะต้องเป็นของแท้ อย่าว่าแต่ของปลอมเลย เอาเหล้าถูกๆ มาผสมแม้แต่หยดเดียวก็ยังไม่ได้
มีอะไรก็ต้องขายอย่างนั้น
ดังนั้นถึงจะขายเครื่องดื่มได้และทางร้านก็มีการตั้งราคาเผื่อเป็นกำไรไว้ แต่ยอดกำไรของร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูก็เทียบกับบาร์อื่นๆ ไม่ได้เลย
นอกจากนั้นดูจากจำนวนคนที่เข้าร้านในแต่ละวัน พวกเขาก็ไม่น่าจะขายเครื่องดื่มได้เยอะแยะอะไร
จางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วแต่น้องหม่าเลย ถ้าอยากจ่ายค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งก็ได้ ไม่แน่อาจจะช่วยเพิ่มยอดขายเครื่องดื่มให้เราได้”
หม่าหยางตบเคาน์เตอร์ “โอเค งั้นเอาตามนี้ เดี๋ยวเฉินเหล่ยลงจากเวทีเมื่อไหร่ผมจะเข้าไปคุยเรื่องสัญญา”
“ถ้าจะเอาตามนี้ พี่มีอะไรจะแนะนำ” จางหยวนพูดขึ้นเมื่อนึกอะไรออก “เราทำเมนูใหม่ดีมั้ย ข้างๆ ราคาเครื่องดื่มจะใส่วงเล็บค่าส่วนแบ่งที่เฉินเหล่ยจะได้เอาไว้
“อย่างค็อกเทลแสงเหนือ เราขายแก้วละหกสิบหยวน ต้นทุนอยู่ที่สามสิบหยวน รวมค่าสถานที่กับพนักงานก็ตกแก้วละสี่สิบหยวน กำไรอยู่ที่ยี่สิบหยวน ถ้าให้เฉินเหล่ยครึ่งหนึ่งก็คือสิบหยวน
“เราก็เพิ่ม (10) หลังเลข 60 ไว้ในเมนูทำแบบนี้ทุกคนก็จะรู้ว่าเงินที่จ่ายค่าเครื่องดื่มไป สิบหยวนจะเข้ากระเป๋าเฉินเหล่ย”
หม่าหยางขมวดคิ้วด้วยความลังเล “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็รู้สิว่าเราได้กำไรเท่าไหร่”
จางหยวนส่ายหน้า “น้องหม่า ถึงเราไม่เขียนบอกบนเมนู คนอื่นก็รู้อยู่ดี เปิดหาบนเน็ตก็รู้ราคาแต่ละอย่างแล้ว
“คนส่วนใหญ่ที่มารู้อยู่แล้วว่าบาร์ได้กำไรเท่าไหร่ ถ้ารู้กันอย่างนี้อยู่แล้วก็ไม่มีใครสนใจเรื่องตัวเลขหรอก
หม่าหยางถึงบางอ้อ “อ๋อ ใช่ๆ! ผมว่าดี เอาตามที่พี่บอกเลย!”
…………………..