ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี – บทที่ 243 ความสุขมาจากการเปรียบเทียบ

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

เขามาจิงโจวเพื่อจัดการธุระส่วนตัวและบังเอิญเห็นโพสต์บนเว่ยป๋อของจางจู่ถิงบอกว่ามีครัวส่วนตัวดีๆ ในเมืองนี้ เลยตัดสินใจมาลองชิมดู

เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหร่

“จองล่วงหน้าสำหรับคืนนี้ได้มั้ย” ชายหนุ่มพยายามทำใจเย็นอย่างสุดความสามารถ

พนักงานเสิร์ฟเอ่ยขอโทษ “ขอโทษครับ คืนนี้มีคนจองไว้แล้ว คำนวณเวลานำเข้าวัตถุดิบแล้ว คุณลูกค้าสามารถจองเป็นคืนวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ได้ครับ”

ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาหันมองพนักงานสลับกับเมนูอาหาร พยายามข่มกลั้นอารมณ์อยากด่าทอ สุดท้ายเขาก็สั่งกับข้าวสองจานกับซุปหนึ่งถ้วย

“เอาแค่นี้ก่อน” ชายหนุ่มยื่นเมนูคืน

“ได้ครับ กรุณารอสักครู่” พนักงานรับออเดอร์กับเมนูคืน จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมา ตั้งใจจะค้นดูว่ามีรีวิวร้านนี้หรือเปล่า แต่กลับค้นไม่เจออะไร แม้แต่ที่ตั้งร้านบนแผนที่ในมือถือของเขายังไม่มีเลย

นอกจากนั้นป้ายเล็กๆ บนโต๊ะที่เขียนเลขโต๊ะเอาไว้ยังมีคำเตือนแจ้งไว้ว่า ‘เพื่อให้ลิ้มรสชาติอาหารได้อย่างเต็มที่ โปรดงดเว้นการถ่ายรูป!’

ชายหนุ่มคิดถึงเมนูหรูที่ต้องสั่งจองล่วงหน้า เมนูที่ไม่ต้องจองล่วงหน้าเป็นเมนูธรรมดาที่มีเสิร์ฟในร้านอาหารทั่วไป แถมยังตั้งราคาแพงกว่าที่อื่นอีก

“…นี่ฉันโดนหลอกมารึเปล่าเนี่ย”

ยิ่งคิดชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ภัตตาคารแห่งนี้ดูมีอะไรแปลกๆ

เขาชื่อเซวียเจ๋อปิน เป็นลูกชายคนเดียวของเซวียหยวนชิ่งผู้เป็นเจ้าของโรงงานถ่านหิน ว่าง่ายๆ คือเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลร่ำรวย เขาชอบทำตัวโดดเด่นสะดุดตาเหมือนพ่อ ไม่เคยเขินอายที่จะบอกให้โลกรู้ว่าตัวเองบ้านรวย

เซวียเจ๋อปินรวยมาก จึงไม่แปลกที่เขาจะเคยไปภัตตาคารส่วนตัวมาหลายที่ และรู้ว่าภัตตาคารส่วนตัวระดับสูงหลายแห่งมักมีกฎแปลกๆ

แต่น้อยครั้งมากที่จะเจอร้านที่มีกฎเยอะแยะเหมือนร้านนี้

ที่ทำให้เขาไม่พอใจคือท่าทีของพนักงานที่มักจะตอบอะไรไม่ได้ประโยชน์ด้วยน้ำเสียงสุภาพ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับการนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ

ถ้าภัตตาคารไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหราและจางจู่ถิงเป็นคนแนะนำเต็มที่ เขาคงจะตบโต๊ะลุกออกจากร้านไปนานแล้ว

จริงๆ แล้วที่เซวียเจ๋อปินมาที่ร้านก็เพราะเซวียหยวนชิ่ง พ่อของเขาเป็นแฟนคลับของจางจู่ถิง เขาเคยเลี้ยงข้าวจางจู่ถิงอยู่หลายครั้ง ก็เลยได้ติดตามเว่ยป๋อของจางจู่ถิงและได้รู้เรื่องภัตตาคารแห่งนี้เข้า

ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันหาร้านนี้เจอหรอก

“รออีกหน่อยแล้วกัน ถ้าอาหารไม่อร่อย ฉันจะด่าร้านนี้ลงเว่ยป๋อ”

เซวียเจ๋อปินยึดมั่นในหลักการไม่ใส่ร้ายคนดี เลยตัดสินใจรอชิมอาหารดูก่อน

ถ้าอาหารสองจานที่สั่งไปรสชาติพอใช้ได้ เขาจะจองร้านวันพรุ่งนี้ไม่ก็วันมะรืนเพื่อลองชิมบรรดาอาหารหรูดู

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อาหารที่เซวียเจ๋อปินสั่งไปก็มาเสิร์ฟ เขาสั่งกุ้งผัดชาหลงจิ่ง พีระมิดหมูสามชั้นตุ๋น และซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวย

ปริมาณอาหารในจานน้อยมาก แต่ราคากลับแพงหูฉี่

“เสิร์ฟอาหารไม่ช้าเท่าไหร่”

เซวียเจ๋อปินรู้ว่าพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างนาน นอกจากเชฟจะต้องหั่นหมูให้สวยงามแล้ว ยังต้องเอาไปตุ๋นอีก สามสิบนาทีถือว่าเป็นระยะเวลาเตรียมการที่เร็วเลยทีเดียว

นอกจากนั้นระหว่างที่กำลังรออาหารก็มีอาหารเรียกน้ำย่อยเบาๆ มาเสิร์ฟ รสชาติค่อนข้างดีจนทำให้เขาคลายความหงุดหงิดระหว่างรอไปได้นิดหน่อย

“เดี๋ยวจะได้รู้ว่าร้านนี้เป็นพวกลวงโลกรึเปล่า”

เซวียเจ๋อปินมองอาหารสองจานที่พนักงานยกมาเสิร์ฟ

เขาตั้งใจสั่งพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นกับซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวยเพราะรู้ว่าทั้งสองเมนูเป็นตัววัดทักษะการใช้มีดและฝีมือของเชฟได้ดีมาก

“หืม ไม่เลวเลยนี่”

แค่มองอาหารทั้งสองเมนูก็ทำให้ตาลุกวาวได้!

การทำพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋น เชฟต้องบรรจงตัดหมูทั้งชิ้นเป็นแผ่นบางๆ จากนอกเข้าใน ห้ามให้ขาดและต้องหนาเท่ากันพอดีพอได้เนื้อหมูเป็นแผ่นยาวแล้วก็ม้วนเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเอาเข้าแม่พิมพ์พิเศษเพื่อเรียงเป็นรูปพีระมิด

ส่วนซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวยต้องหั่นเต้าหู้อ่อนยวบเป็นเส้นตรงบางราวเส้นไหมและต้องหั่นให้แต่ละเส้นหนาเท่ากันพอดี แถมยังห้ามทำขาดแม้แต่เส้นเดียว หลังจากนั้นก็เอาไปต้มในน้ำแล้วจัดเรียงให้เป็นทรงดอกเก๊กฮวย

เซวียเจ๋อปินสั่งสองเมนูนี้เพราะอยากจะรู้ว่าภัตตาคารนี้ดีจริง ไม่ใช่ร้านลวงโลก

เขาสั่งกุ้งผัดชาหลงจิ่งมาเผื่อกรณีที่พีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นกับซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวยออกมาไม่ได้เรื่อง อย่างน้อยจะได้มีอาหารบ้านๆ ไว้สำรอง

แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นกับซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวยออกมาดีกว่าที่คิด!

สองเมนูนี้เป็นตัววัดทักษะการใช้มีดของเชฟ มีแค่เชฟมือหนึ่งที่ฝึกฝนทักษะการใช้มีดมาเป็นสิบๆ ปีถึงจะทำออกมาได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้

นอกจากนั้นแล้ว อาหารทั้งสองจานยังไม่มีขอบเขตตายตัว ตัวอย่างเช่น ยิ่งหั่นเนื้อได้บางเท่าไหร่ พีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นก็จะมีจำนวนชั้นมากขึ้น ปกติแล้วพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นที่ผ่านเกณฑ์จะต้องมีเก้าชั้น แต่จานตรงหน้าเซวียเจ๋อปินมีทั้งหมดสิบเจ็ดชั้น แค่หน้าตาก็กินขาดพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นที่เซวียเจ๋อปินเคยเห็นมาแล้ว

เซวียเจ๋อปินอดใจไม่ไหว จึงหยิบตะเกียบคีบกุ้งผัดมาลองชิม

ตัวกุ้งนุ่มมากและได้กลิ่นชาหลงจิ่ง ถึงจะราคาจานละเกือบสามร้อย แต่เซวียเจ๋อปินก็คิดว่าอาหารออกมาคุ้มค่ามาก

เพราะเขาเคยกินเมนูนี้ครั้งหนึ่งที่ร้านอาหารจีนชื่อดังในเมืองหวงโจว รสชาติเหมือนจานนี้มาก!

เขาลองชิมพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋นกับซุปเต้าหู้ดอกเก๊กฮวยต่อ รสชาติไม่ทำให้ผิดหวังเลย สมบูรณ์แบบทั้งสองจาน!

ผสานเข้ากับบรรยากาศอันอบอุ่นชวนสบายใจแล้ว เซวียเจ๋อปินก็รู้สึกว่าตัวเองมองร้านนี้ผิดไปในตอนแรก

การจะทำอาหารออกมาได้แบบนี้ต้องจ้างเชฟมือหนึ่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารหางโจวมาไกลหลายพันลี้ เชฟในจิงโจวไม่มีทางทำออกมาได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้

ที่สำคัญไปกว่านั้น อาหารในเมนูไม่ได้มีแค่อาหารขึ้นชื่อเมืองหางโจว แต่ยังมีเมนูอื่นๆ อีกหลายแบบ

หมายความว่าจ้างเชฟมือหนึ่งคนเดียวนั้นไม่พอ

ถ้าเงินไม่มากพอก็ไม่สามารถดึงตัวเชฟมาได้ เพราะเชฟฝีมือดีทำงานที่ร้านอาหารชั้นสูงในเมืองของตัวเองก็น่าจะได้ค่าแรงสูงพอตัวอยู่แล้ว และเชฟเหล่านี้ก็น่าจะมองหาร้านที่ใกล้บ้านตัวเองมากกว่า ใครจะยอมถ่อมาทำงานไกลถึงจิงโจวกัน

ถ้าจ้างเชฟหลายคนแบบนี้ รายจ่ายต้องสูงมากแน่ๆ

แบบนี้จะหาเงินได้พอกลบรายจ่ายเหรอ

ตอนแรกเซวียเจ๋อปินคิดว่าแต่ละเมนูตั้งราคาแพงเกินไป แต่พอได้ลองชิมก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งแพงเกินไปเลย ถือว่าค่อนข้างถูกด้วยซ้ำ

เจ้าของภัตตาคารนี้หาเงินคืนทุนได้มั้ยเนี่ย

ปัญหาหลักคือร้านนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลผู้คน เรื่องโฆษณาร้านนี่ไม่ต้องพูดถึง แค่ป้ายหน้าร้านยังไม่มีเลย จนถึงตอนนี้ เซวียเจ๋อปินยังไม่รู้เลยว่าร้านนี้ชื่ออะไร

จวนจะเที่ยงแล้ว แต่ในภัตตาคารใหญ่โตแบบนี้ เซวียเจ๋อปินกลับเป็นลูกค้าเพียงคนเดียว

ร้านนี้กำลังขาดทุนอยู่หรือเปล่านะ

เซวียเจ๋อปินมองจานอาหารสลับกับพนักงานที่กำลังยืนยิ้มให้อยู่ข้างๆ จากนั้นก็มองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศด้านนอก โต๊ะ เก้าอี้ จานชามหรูหราคุณภาพดี…

“หรือว่า…ร้านนี้จะแอบทำอะไรผิดกฎหมายอยู่ด้วย”

เซวียเจ๋อปินระแวงขึ้นมาทันที

แต่พอคิดดูอีกทีก็ไม่น่าจะใช่

ภัตตาคารแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เปลือก ถึงจะไม่มีลูกค้า แต่อาหารที่ขายก็เหมาะสมกับราคา แม้จะแพงไปหน่อยแต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

พิจารณาดูหลายๆ มุม ร้านนี้เหมือนจะแค่ไม่ได้เป็นที่รู้จัก ไม่ได้มีจุดไหนน่าสงสัย

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลองชิมดูว่าอาหารจองล่วงหน้าจะเป็นยังไง

“ถ้ารักษามาตรฐานไว้ได้…ก็เท่ากับว่าฉันเจอเพชรในตมเข้าแล้วจริงๆ”

ในห้องครัวของครัวส่วนตัวหมิงหยุน

หลินชั่นหรงมองพนักงานอย่างเป็นกังวล “เป็นไงบ้าง ลูกค้าชอบอาหารเรามั้ย”

พนักงานพยักหน้า “ลูกค้าดูค่อนข้างพอใจกับอาหารของเรานะครับ”

หลินชั่นหรงถอนหายใจยาว

ค่อยยังชั่ว!

ที่ผ่านมาไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน แต่วันก่อนเริ่มมีลูกค้ามาบ้างประปราย ประมาณเจ็ดถึงแปดคน

แต่บางส่วนเห็นราคาอาหารก็เตลิดกันไปหมด บางคนพอรู้ว่าอาหารจานหรูต้องสั่งจองก่อนก็กลับออกจากร้านไป

มีแค่ประมาณสองสามคนที่อยู่ลองชิมอาหาร แต่เมนูที่สั่งเป็นเมนูบ้านๆ ทั่วไป ถึงจะเห็นชัดเจนว่าพวกเขาพอใจกับอาหารมาก แต่หลินชั่นหรงก็คิดว่าลูกค้าเหล่านี้ไม่น่าจะกลับมาใช้บริการอีกในเร็วๆ นี้

อาหารของร้านนี้แพงเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายไหว

เห็นได้ชัดจากอาหารที่พวกเขาสั่ง เมนูที่ถูกที่สุดราคาประมาณห้าสิบถึงหกสิบหยวน ถึงจะสั่งแค่อาหารบ้านๆ แต่ราคาต่อหัวที่ต้องจ่ายก็ตกเกือบร้อยหยวน

เงินจำนวนนี้สามารถซื้ออาหารกินได้หลายอย่างในจิงโจว

ดังนั้นแม้เชฟจะฝีมือดี วัตถุดิบที่ใช้ก็ของชั้นยอด รสชาติอาหารอร่อยกว่าร้านอื่นๆ แต่ราคาก็แพงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้

แต่วันนี้พอเห็นเซวียเจ๋อปินเข้าร้านมา หลินชั่นหรงก็คอยจับตาดูอีกฝ่าย

ชัดเจนมากว่าคนคนนี้รวย

เซวียเจ๋อปินช่วยยืนยันเรื่องนี้ให้มั่นใจอีกที เขายอมจ่ายสามร้อยหยวนสั่งกุ้งผัดชาหลงจิ่งและสองร้อยหกสิบหยวนสั่งพีระมิดหมูสามชั้นตุ๋น แค่นี้ก็ปาไปหกร้อยเกือบเจ็ดร้อยหยวนแล้ว

ถ้าลูกค้ามีเงินกลับออกจากร้านไปด้วยความพึงพอใจในอาหารที่เสิร์ฟ ครัวส่วนตัวหมิงหยุนก็น่าจะมีโอกาสดังขึ้นมาได้!

เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของครัวส่วนตัวหมิงหยุนไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพวกไฮโซ ความคิดเห็นของพวกไฮโซจึงสำคัญมาก

พอได้ยินว่าลูกค้าพอใจ หลินชั่นหรงก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ตอนนี้เขาเป็นผู้จัดการสาขาของร้านนี้ จึงไม่จำเป็นต้องลงมือทำอาหารเอง แต่เชฟฝีมือดีในครัวก็ผ่านการสัมภาษณ์ คัดสรร และจ้างมา (ด้วยเงินของบอสเผย) โดยหลินชั่นหรง พอมั่นใจว่าลูกค้าพอใจในอาหาร หลินชั่นหรงก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย

“ผู้จัดการครับ ลูกค้าเช็กบิลเสร็จแล้วจองมื้อค่ำวันพรุ่งนี้ด้วยครับ!” พนักงานวิ่งมาบอกข่าวดีอย่างตื่นเต้น

“เยี่ยมเลย!”

ในที่สุดหลินชั่นหรงก็คลายความกังวลที่มีอยู่ในใจได้สักที

ก่อนหน้านี้ถึงบอสเผยจะบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องโฆษณาร้าน แต่หลินชั่นหรงก็ยังรู้สึกพะวักพะวนอยู่ดี

แต่ช่วงนี้มีลูกค้าเข้าร้านประปราย แถมยังมีไฮโซมาลองชิมอาหารด้วย เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมามีการจัดการเรื่องโฆษณาอยู่!

ทุกอย่างอยู่ในแผนของบอสเผยหมดจริงๆ ด้วย

ต่อไปถ้าทำตามคำสั่งบอสเผยอย่างเคร่งครัด รวมถึงทำอาหารและให้บริการอย่างเต็มที่ สักวันครัวส่วนตัวหมิงหยุนต้องดังได้แน่!

บรรดาเชฟและพนักงานครัวส่วนตัวหมิงหยุนต่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ฮัดชิ่ว!”

เผยเชียนจาม เขายกมือถูจมูกแล้ววางจอยเกมลง

ตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นแล้ว

คืนนี้เขาต้องเลี้ยงต้องรับเฉียวเหลียงที่ครัวส่วนตัวหมิงหยุน พร้อมทั้งปลอบประโลมจิตวิญญาณที่แตกสลายของอีกฝ่าย

หลังจากทรมานมาทั้งวัน เผยเชียนก็อยากรู้ว่าตอนนี้อาจารย์เฉียวเป็นยังไงบ้าง

เขาไปถึงร้านอินเทอร์เน็ตโมหยู

เผยเชียนเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างเงียบเชียบและสังเกตการณ์เฉียวเหลียงที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน

เฉียวเหลียงที่หน้าซีดเซียวกำลังจับจ้องไปที่หน้าจออย่างตั้งอกตั้งใจ มือสองข้างจับจอยเกมไว้แน่น มีเอนตัวไปมาเป็นพักๆ อย่างกับว่ากำลังเล่นเกมที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวอยู่

จู่ๆ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มแล้วนิ่งไป

หน้าจอกลายเป็นสีเทา

สีหน้าตื่นตะลึงของเฉียวเหลียงเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิด จากความหงุดหงิดกลายเป็นความท้อแท้ จากความท้อแท้กลายเป็นความว่างเปล่า

เขาวางจอยลงบนโต๊ะและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองเพดาน ท่าทีเหมือนกับว่ากำลังตั้งคำถามถึงจุดประสงค์ของการมีชีวิตต่อไป

พอเห็นอาการของเฉียวเหลียง เผยเชียนก็รู้สึกดีขึ้นมาก ริมฝีปากของเขาผุดยิ้มขึ้นมา

ไม่เสียเงินเปล่า!

คิดถูกจริงๆ ที่เชิญอาจารย์เฉียวมาจิงโจว!

ตอนแรกเผยเชียนรู้สึกกังวล เพราะตัวเองไม่ใช่เกมเมอร์สายมาโซคิสต์ จึงไม่รู้ว่าจะทนเล่นเกมกลับใจคือฟากฝั่งไหวหรือเปล่า

ถ้าสุดท้ายเล่นเกมไม่ผ่าน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดความยากของเกมลงแล้วเลื่อนเวลาวางขายออกไป แบบนั้นคงเป็นปัญหาแน่

แต่ตอนนี้เผยเชียนมีแรงจูงใจให้อดทนเล่นต่อแล้ว แรงจูงใจที่ว่าก็คืออาจารย์เฉียว!

ไม่ว่าจะทรมานมากเท่าไหร่ แค่ได้เห็นอาจารย์เฉียวทรมานยิ่งกว่าก็ทำให้เผยเชียนมีแรงใจสู้ต่อ!

ยังไงซะเผยเชียนก็มีผู่ตู้ช่วย แต่อาจารย์เฉียวต้องฟันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วนด้วยอาวุธธรรมดา

ก็เหมือนคำพูดที่ว่า ความสุขเกิดได้จากการเปรียบเทียบ!

ตอนนี้เผยเชียนรู้สึกสุขใจมากกว่าครั้งไหนๆ!

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

Status: Ongoing
ต้องทำธุรกิจให้ “ขาดทุน” เขาถึงจะรวย แต่ไม่รู้ดวงดีหรือดวงซวย ถึงได้แต่ “กำไร” เนี่ย!เผยเชียนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนโดยมีระบบสั่งให้เขาตั้งบริษัทอะไรก็ได้เพื่อหาเงินทำกำไรโดยจะมีการประเมินกำไรขาดทุนเป็นรอบๆแต่เผยเชียนเป็นคนหัวหมอ เขาดูแล้วว่าถ้าเขาทำธุรกิจได้กำไร เขาจะได้ส่วนแบ่งเข้ากระเป๋าตัวเองแค่ 1:100แต่ถ้าเขาขาดทุน เขาจะได้ส่วนแบ่ง 1:1 เขาจึงคิดจะตั้งบริษัทเกม และหาทางทำให้บริษัทขาดทุนด้วยการสร้างเกมที่ไม่น่าจะฮิตบ้างล่ะ ขายเกมราคาถูกบ้างล่ะ เอาเงินไปละลายกับการเช่าตึกและซื้ออุปกรณ์ทำงานต่างๆ บ้างล่ะแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ขาดทุนสักที เกมที่คิดว่าไม่น่าจะขายได้ก็ดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทำไมการทำธุรกิจให้ขาดทุนมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ล่ะเนี่ย?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท