บทที่ 5 ความลับอันยิ่งใหญ่!
บทที่ 5 ความลับอันยิ่งใหญ่!
“นี่นาย…”
ตอนนี้เจียงเหมี่ยวอวี๋เข้าใจหมดแล้วว่าคำชมของฟางชิวเมื่อครู่นี้ไม่ได้ชมเธอแต่อย่างใด แต่มันคือวิธีการที่ทำให้เธอไม่เกร็งกล้ามเนื้อและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นระหว่างที่เขาทำการรักษาให้ต่างหาก
เธอไม่รู้จะคิดอย่างไรกับพฤติกรรมนี้ของฟางชิว
เจียงเหมี่ยวอวี๋ดึงมือตัวเองกลับมา แล้วต้องประหลาดใจเพราะว่าแขนของเธอได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว!
“แขนเธออาจจะยังปวดบ้างจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ รักษาให้หายเร็วกว่านี้ไม่ได้ เธอต้องปล่อยให้มันหายเอง เพราะฉะนั้นในหนึ่งสัปดาห์นี้ อย่าใช้งานแขนซ้ายมากเกินไปล่ะ”
ฟางชิวให้คำแนะนำเธอในการดูแลตัวเองหลังการรักษาเหมือนเป็นหมอแก่ ๆ คนหนึ่ง
“ขอบคุณนะ”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ขยับแขนซ้ายของตัวเองขณะเอ่ยขอบคุณเขา
“ด้วยความยินดี” ฟางชิวพูดยิ้ม ๆ
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็สั่นขึ้น
“ขอโทษนะ ฉันมีสายเข้าน่ะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋เอ่ยพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ฟางชิวพยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มอ่านทฤษฎีศาสตร์การจัดกระดูกต่อไป
พอจนถึงตอนนี้ เหล่าบรรดาหนุ่ม ๆ ก็เริ่มโกรธจัด ไอ้เวรนี่บังอาจมาทำให้เทพธิดาในฝันของพวกเราต้องมีมลทิน!
ไอ้เวรนี่เป็นผู้ชายคนแรกที่ได้คว้าแขนและจับมือสวย ๆ ของเธอ!
รับไม่ได้เว้ย!!!!!
แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เทพธิดาคนงามของพวกเขากำลังยิ้มให้ไอ้หมอนั่นด้วย!
“ทำไมกัน?”
“ทำม้ายยยยยยย???!!!!”
เหล่าบรรดาหนุ่ม ๆ ในห้องสมุดต่างพากันกรีดร้องด้วยความใจสลาย
จากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็วางสายจากโทรศัพท์แล้วพูดอย่างเขินอาย “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ รูมเมตของฉันลืมกุญแจไว้ ฉันต้องรีบกลับหอพักไปเปิดประตูให้เธอ”
“ได้สิ”
ฟางชิวโบกมือให้เจียงเหมี่ยวอวี๋ เป็นการรับรู้แล้วว่าเข้าใจที่เธอพูด
เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้า “ขอบคุณอีกครั้งนะ”
“ด้วยความยินดี” ฟางชิวตอบกลับสั้น ๆ
เจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มอีกครั้ง ในตอนแรกเธอคิดว่าฟางชิวน่าจะขอเบอร์โทรกับเธอเหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เธอเคยเจอ แต่เขาคนนี้กลับไม่ทำ หญิงสาวจึงเก็บเข็มและหนังสือ จากนั้นเดินออกจากห้องสมุดไปด้วยความเร่งรีบ
ฟางชิวไม่สนใจแววตาริษยาจากชายหนุ่มรอบตัว เขาหลับตา ก่อนจะใช้มือซ้ายของตัวเองวางลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าอีกครั้ง
แต่ในขณะที่เขาวางนิ้วลงบนหน้ากระดาษนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาทันที
ดวงตาของฟางชิวฉายแววช็อกด้วยความไม่อยากเชื่ออีกครั้ง!
มันไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลย!
ทั้งตัวหนังสือและภาพทั้งหมดในตำราหายไปหมดแล้ว!
ฟางชิวรีบหยิบหน้ากระดาษเปล่าขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับพลิกดูหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรเลย!
มันหายไปแล้ว! หายไปแล้วจริง ๆ!
หน้ากระดาษในมือของเขากลายเป็นหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย
“ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า… กระดาษนี่เป็นของที่ใช้แล้วทิ้งชัด ๆ!”
ฟางชิวรู้สึกสนใจคนที่อาจจะเป็นเจ้าของหรือเป็นคนที่เขียนตำราอันทรงคุณค่านี้ขึ้นมา “หวังว่าจะได้มีโอกาสเจอเขาแบบตัวต่อตัวสักวัน”
“หรือว่าบางที บรรณารักษ์วัยกลางคนนั่นจะเป็นผู้เขียน?”
ถ้าหากบรรณารักษ์คนนั้นเป็นเจ้าของหรือเป็นคนเขียนตำรานี้ เขาต้องรู้ว่าในกระดาษที่ฟางชิวถืออยู่คืออะไร!
ฟางชิวจัดการนำหน้ากระดาษเปล่ายัดใส่หนังสือวิทยาการบาดเจ็บ ก่อนจะนำไปเก็บที่เดิม จากนั้นเขาก็หยิบเอาหนังสือศาสตร์การจัดกระดูกแบบยุคใหม่มาแทนแล้วเดินไปยังโต๊ะสำหรับยืมหนังสือ
เหตุผลที่ฟางชิวเลือกหนังสือศาสตร์แพทย์ยุคใหม่นี้มาแทน นั่นเป็นเพราะเขาต้องการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ศาสตร์การจัดกระดูกแบบยุคใหม่ กับ ศาสตร์การจัดกระดูกแบบโบราณ จากนั้นก็นำประสบการณ์ของเขามาวิเคราะห์อีกที
ทันทีที่เห็นกองหนังสือทั้งหมดที่ฟางชิวจะยืม บรรณารักษ์ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาแล้วถามเขา “ไอ้หนู เธอก็ไม่เจองั้นเหรอ?”
“ผมเจอ แต่เท่าที่อ่านก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ ผมเลยเก็บมันกลับไปที่เดิมแล้ว” ฟางชิวตอบ “มีอะไรอยู่ในหนังสือเล่มนั้นเหรอครับ?”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าราวกับว่ากำลังพูดแค่กับตัวเอง “เธอเองก็ไม่สามารถทลายมันได้เช่นกันสินะ…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางชิวก็ตาเบิกโพลง เขาถามขึ้นเบาหวิว “หมายความว่ายังไงครับ ที่บอกว่าทลายมัน?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” บรรณารักษ์วัยกลางคนตอบเสียงนิ่ง ๆ
ฟางชิวยิ้มเล็กน้อย
“เธอยังไม่รู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นสินะ!”
“เพราะฉะนั้น เธอเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่ได้หรอก!”
“แล้วใครคือผู้มีพรสวรรค์บนโลกนี้ล่ะ?”
ฟางชิวยัดหนังสือแพทย์แผนจีนโบราณใส่ในกระเป๋า จากนั้นก็หยิบบัตรยืมหนังสือขึ้นมา ก่อนจะกล่าวขอบคุณบรรณารักษ์แล้วเดินออกไปทางประตู
มองตามร่างของฟางชิวที่เดินจากไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
มีอาจารย์อาวุโสคนหนึ่งเคยพูดกับเขาว่า หนังสือเล่มนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ เขาทำงานอยู่ที่นี่มาสิบปีเต็ม ไม่เคยพบความลับดังกล่าวแม้แต่น้อย
เขาเห็นเจ้าหนุ่มวันนี้ดูน่าจะมีพรสวรรค์ จึงปล่อยให้ลองดู
แต่โชคไม่ดีที่เจ้าตัวไม่พบอะไรเช่นกัน
บางที สิ่งที่อาจารย์อาวุโสคนนั้นเคยพูดกับเขาอาจเป็นเพียงเรื่องโกหก!
ทว่าชายวัยกลางคนก็ไม่ได้สนใจหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องความลับในตำรามากนัก เพราะในความเห็นของเขานั้น ความลับเกี่ยวกับศาสตร์การจัดกระดูกก็คงไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่ายาส่วนผสมลับ ถึงจะน่าสนใจแต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ต่อให้เขาไม่พบมันก็ตาม
แต่บรรณารักษ์คนนี้ไม่รู้ว่าเลยว่าฟางชิวได้ค้นพบมันแล้ว และยังใช้ไปกับสาวสวยประจำมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ทันทีที่ฟางชิวกลับมาถึงห้องพัก รูมเมตของเขาทั้งสามคนก็พากันมารุมล้อมเขาทันที
“น้องเล็ก ได้โปรดสอนฉันที!” พี่สามหรือซุนฮ่าวพูดขอร้องฟางชิว
“ได้โปรดสอนฉันด้วย!”
จูเปิ่นเจิ้ง พี่ใหญ่สุดประจำห้องพักและน้องสี่อย่างโจวเสี่ยวเทียนก็ขอร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“สอนพวกนาย? เรื่องอะไรน่ะ?” ฟางชิววางกระเป๋าของตัวเองลงแล้วถามด้วยความสงสัย
“สอนวิธีจีบสาว เฮ้ย… ไม่ใช่ ๆ! ฉันหมายถึง สอนเป่าฟลูตมือให้พวกเราหน่อย! ขอร้องล่ะ!” ซุนฮ่าวอ้อนวอน
“มันง่ายนิดเดียว”
ฟางชิวดึงเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มสอน
พวกเขาทั้งหมดต่างตกอยู่ในความงุนงงชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟางชิวจะเป็นคนมีน้ำใจขนาดนี้
จากนั้นพวกเขาก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งอย่างพร้อมเพรียมเพื่อเตรียมเรียนวิธีเป่าฟลูตมือ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พี่ ๆ รูมเมตทั้งสามต่างพากันนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าสิ้นหวัง ส่วนฟางชิวนั้นเดินออกไปกินข้าวที่โรงอาหารแล้ว
“พวกนายว่ายากไปหน่อยไหม?!” โจวเสี่ยวเทียนพูดขึ้นมาอย่างอ่อนแรง สายตาจ้องไปยังเพดานห้องพักสีขาวอันว่างเปล่า
“มันก็แค่ยุ่งยากนิดหน่อยเอง ไม่ได้ยากเกินความสามารถพวกเราหรอก” ซุนฮ่าวเองก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงไม่แพ้กัน แม้ประโยคจะฟังดูฮึกเหิมก็ตาม
หลังจากฝึกอย่างต่อเนื่องมานับครึ่งชั่วโมง ทั้งสามกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ตรงกันข้ามในหัวพวกเขากลับเห็นเพียงแต่ดาวหมุนไปมา
“ไม่ได้ยินที่เจ้าน้องเล็กพูดเหรอ? ยืนหยัดและไม่ยอมแพ้ ขนาดเขาเองก็ยังต้องใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะเป่าฟลูตมือได้แบบนี้” จูเปิ่นเจิ้งพูดอย่างไม่ยอมแพ้
“หลังจากนี้ไม่กี่ปีฉันก็เรียนจบแล้ว! ฉันจะหาสาวได้ยังไงในเมื่ออนาคตข้างหน้าพวกเราเหมือนจะต้องอยู่ในเงาของเจ้าน้องเล็กแบบนี้! ยิ่งเจ้าหมอนี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเด็กเรียนดีขนาดไหน ฟางชิวไม่เคยหยุดอ่านหนังสือเลย!”
“โธ่เอ๊ย!”
รูมเมตทั้งสามต่างพากันถอนหายใจ จากนั้นก็พากันนอนเอนหลังบนเตียงแล้วหลับสนิทอย่างกับคนตาย
หลังทานมื้อเย็น นักศึกษาทุกคนต่างพากันไปเรียนด้วยตัวเอง
วันนี้อาจารย์ระดับอาวุโสและอาจารย์ประจำชั้นอย่างหลิวเฟยเฟยบอกว่าจะมีการประชุมกันในชั้นเรียน
ในการประชุมชั้นเรียน หลิวเฟยเฟยชื่นชมฟางชิวเป็นอย่างมาก
ทุกคนได้รู้สักทีว่าเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมที่อยู่ในข่าวของบอร์ดมหาวิทยาลัยเมื่อตอนบ่ายที่แท้คือ ฟางชิว!
ในชั้นเรียนเวลานี้จึงเต็มไปด้วยเสียงปรบมือดังลั่นอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อได้ยินดังนั้น ชั้นเรียนอื่น ๆ ก็พากันสับสน “พวกห้องสามทำอะไรกันน่ะ? เสียงดังชะมัด”
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนหน้าซีดหน้าเซียว ได้แต่มองหน้าแล้วยิ้มใส่กันอย่างขมขื่น
“เงาของเจ้าน้องเล็กเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!”
หลังจากการประชุมชั้นเรียนจบลง กลุ่มนักศึกษาต่างพากันกลับเข้าหอพัก อาบน้ำแล้วเข้านอน
ช่วงเช้ามืด ตีสาม
ฟางชิวลุกจากเตียง แต่งตัวอย่างไวว่อง เสร็จแล้วก็ผลักหน้าต่างหอพักแล้วกระโจนไปที่ชั้นห้าของหอพักอย่างเงียบเชียบ
จากนั้น เขาก็กลายร่างเป็นเงาดำ เร้นกายหายเข้าไปในภูเขาเหยาหวัง
ช่วงเวลาตีสามของทุก ๆ วันถือเป็นเวลาฝึกยุทธ์ของฟางชิว
ในมุมมองของแพทย์แผนจีนนั้น ถ้าเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเทียบได้กับสี่ฤดูกาล ถ้าอย่างนั้น ตีสามก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้น การฝึกพลังยุทธ์ในเวลานี้ย่อมทำให้ร่างกายและพลังปราณของผู้ฝึกเชื่อมโยงจิตวิญญาณของท้องฟ้าและผืนดิน หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่ถือเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการฝึกฝน!
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ และยังเต็มไปด้วยพืชพรรณที่หนาแน่นและเขียวชอุ่ม
‘ภูเขาเหยาหวัง’ อันเป็นพื้นที่ส่วนกลางของมหาวิทยาลัยมีทะเลสาบ และมีภูเขาเทียมถูกสร้างขึ้น ที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยสมุนไพรจีนหลากหลายชนิด
แต่โชคไม่ดีที่สมุนไพรเหล่านี้นำมาใช้การอะไรไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเรื่องสภาพอากาศ
“เฮ้! ฮ่า!”
เมื่อฟางชิวเดินขึ้นภูเขาเหยาหวังก็ได้ยินเสียงที่ทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้ว
“มีใครอยู่แถวนี้ด้วยเหรอ?”
ฟางชิวเดินไปยังบริเวณที่ได้ยินเสียง แล้วก็ต้องจ้องเขม็งเมื่อพบเข้ากับชายคนหนึ่งกำลังฝึกชกมวยพร้อมกับรอยยิ้มร่า
เขาคือ… เฉินชงนี่เอง
ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกพูดถึงในชั้นเรียน ทั้งยังได้ขึ้นแสดงความสามารถในด้านศิลปะการต่อสู้เหมือนกันด้วย!
ฟางชิวยืนดูเฉินชงฝึกซ้อมอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบ ๆ
การฝึกซ้อมของเฉินชงนั้นคล้ายกับเสือ ทั้งแข็งแกร่ง ดุดัน และน่าเกรงขาม
ท่วงท่าเต็มไปด้วยพลังและความรุนแรง!
หากแต่ฟางชิวกลับส่ายหัว ทำท่าเดินจากไปหลังจากดูการฝึกซ้อมของเฉินชงมาสักพัก ทว่าเสียงเรียกที่ห้าวและดุดันกลับดังขึ้นเสียก่อน
“นั่นใคร?!”
เฉินชงหยุดซ้อม และมองไปทางฟางชิวด้วยความระแวดระวัง
เหงื่อของเฉินชงซึมออกมาเต็มหน้าผาก อาจเป็นเพราะจากการฝึกซ้อมต่อสู้ ไม่ก็ความอับอายที่ตัวเองประมาทจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนแอบดูตนซ้อมอยู่
ฟางชิวเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ที่ตนแอบอยู่พร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ชายหนุ่มตั้งใจเปิดเผยตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้เฉินชงคงไม่สบอารมณ์และคาใจเอา
“ฟางชิว?”
เฉินชงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายชัดเจน
“อรุณสวัสดิ์” ฟางชิวทักทาย
“นายมาทำอะไรที่นี่กัน?” เฉินชงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดเหงื่อของตัวเองตามร่างกาย ใบหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ฉันแค่ผ่านมาน่ะ” ฟางชิวตอบสั้น ๆ
แค่ผ่านมา?
เฉินชงหยุดเช็ดเหงื่อ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความแปลกใจ “นายผ่านมาตอนตีสามเนี่ยนะ? นายเองก็ออกมาเพื่อออกกำลังกายเหรอ? ฝึกกังฟูด้วยใช่ไหมล่ะ? คงไม่ได้จะบอกว่ามาที่นี่ในเวลาแบบนี้เพื่อมาเรียนหรอกนะ?”
ฟางชิวไม่ตอบอะไร
ในเวลานี้ ใบไม้จากต้นไม้ก็ร่วงหล่นลงพื้น ฟางชิวเหยียดฝ่ามือออก ปล่อยใบไม้ร่วงลงบนมือ ดวงตามองไปที่เฉินชงพร้อมกับคลี่ยิ้ม
แต่เฉินชงกลับเพิกเฉยแล้วยังคงมองฟางชิวเพื่อรอคำตอบ
เมื่อเห็นดังนั้น ฟางชิวก็เงยหน้าขึ้นแล้วปล่อยให้ใบไม้บนมือร่วงตกลงพื้นไป
“ฉันนอนไม่หลับก็เลยออกมาที่นี่เพื่อเดินเล่นหน่อย แต่ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้พบนายที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจะมากวน เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว นายซ้อมต่อเถอะ”
พูดเสร็จเขาก็พยักหน้าแล้วเดินจากไป
เฉินชงมองฟางชิวที่เพิ่งจากไป ดวงตาหรี่ลงด้วยความสงสัย จากนั้นเขาก็จัดเสื้อผ้าตัวเองให้แน่นแล้วค่อย ๆ ตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบเชียบ
ฟางชิวรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบตามเขาอยู่
ถ้าเฉินชงเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ แน่นอนว่าเขาจะต้องรับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของฟางชิว ที่ปล่อยให้ใบไม้ตกลงบนมือของตัวเองโดยตรงได้
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น…
นั่นจึงหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวรยุทธ์!
ฟางชิวจึงไม่มีอะไรจะพูดกับเฉินชงต่อ เพราะเส้นทางของพวกเขานั้นแตกต่างกัน
ฟางชิวเร่งฝีเท้าของตัวเองเร็วขึ้น
เฉินชงพยายามจะไล่ตามฟางชิวไป แต่เวลาต่อมา เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว
ห้ะ?
เฉินชงสับสนจนต้องขมวดคิ้วอีกรอบ
ด้วยความสามารถของเฉินชง เป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามอีกฝ่ายที่เป็นเพียงคนธรรมดาไม่ทัน
เฉินชงมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นฟางชิวเลยแม้แต่น้อย
เฉินชงกลับมาที่เดิม พลางครุ่นคิดอย่างหนัก
“หรือฟางชิวจะฝึกกังฟูเหมือนกัน?”
ถ้าเช่นนั้นก็นับว่าไม่ง่ายที่จะไล่ตามอีกฝ่ายไป
เฉินชงกำหมัดของตัวเอง
“ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้เดินบนเส้นทางสายการต่อสู้อย่างเดียวดายแล้ว ในที่สุดก็ได้พบคนที่จะได้ฝึกฝนด้วยสักที!”
“อีกฝ่ายคงยังไม่พร้อมที่จะแสดงตัวตนของตัวเอง ฉันจะต้องหาโอกาสถามเขาให้ได้”
หลังจากตัดสินใจเช่นนั้น เฉินชงก็ถอดเสื้อแล้วเริ่มฝึกกังฟูต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ฟางชิวมาถึงทะเลสาบที่มีเกาะตั้งอยู่ตรงกลาง น้อยคนนักที่จะไปถึงได้เพราะที่นี่ไม่มีเรืออยู่เลย
ฟางชิวสอดส่องจนแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว
เขาหายใจเข้าลึก ๆ พลังปราณภายในของเขากำลังไหลเวียนทั่วร่างกาย
ชายหนุ่มเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
เขาย่ำเท้าข้างหนึ่งลงไปยังทะเลสาบ แต่… เท้าไม่จมลงไปแต่อย่างใด!
ฟางชิวก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและต่อเนื่องไม่ต่างกับตอนเดินบนบก
เขาเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ในที่สุดก็ลอยเหนือผิวน้ำ
นี่มันชิงคัง!
ถ้ามีใครสักคนมาเห็นภาพตรงหน้านี้ จะต้องพากันคิดว่าฟางชิวไม่ต่างกับชิงคังจากละครทีวีเรื่องนักรบกระบี่อย่างแน่นอน!
ในโลกใบนี้ ถ้ามีใครสักคนที่มีพลังเหมือนกับชิงคัง ก็ถือได้ว่าเขาคนนั้นละเมิดกฎของนิวตัน*[1] อย่างสิ้นเชิง!
ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป คนทั้งโลกต้องพากันช็อกตาค้างแน่ ๆ!
ฟางชิวเหาะจากพื้นผิวน้ำราวกับพญาอินทรีก่อนจะลงบนเกาะใจกลางทะเลสาบ เขานั่งลงและทำสมาธิ
เขาไปถึงขอบเขตระดับสำเร็จแล้ว การเคลื่อนไหวจึงแทบไม่สำคัญ
พลังปราณภายในต่างหากคือสิ่งที่เขาจะต้องให้ความสำคัญ
ด้วยพลังปราณที่ไหลเวียนทั่วร่างกายของชายหนุ่ม ทุกท่วงท่าได้อธิบายถึงทฤษฎีเกี่ยวกับศาสตร์ของการฝึกวรยุทธ์
นี่จัดเป็นหนทางในการบรรลุปัญญาอย่างง่ายดาย!
[1] กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันเป็นกฎทางกายภาพสามข้อ ซึ่งประกอบด้วยกฎข้อแรกนิยามความหมายของแรง กฎข้อที่สองให้วิธีการวัดแรงในเชิงปริมาณ และกฎข้อที่สามอ้างว่าไม่มีแรงโดดเดี่ยว