คุรุการแพทย์ – บทที่ 26 รู้พื้นฐานทุกอย่างเลย!

คุรุการแพทย์

บทที่ 26 รู้พื้นฐานทุกอย่างเลย!

บทที่ 26 รู้พื้นฐานทุกอย่างเลย!

“มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเลยเหรอ?”

คณบดีฉีไคเหวินไม่เชื่อในสิ่งที่เฉียวมู่พูด เขารู้ว่าวันนี้อาจารย์เฉียวมู่มีสอนชั่วโมงแรกของเทอม แต่เพียงแค่คาบเดียวนั้น โอกาสที่จะเจอนักศึกษามากพรสวรรค์มันค่อนข้างน้อยพอสมควร

“เรื่องจริงนะครับ!”

เมื่อเห็นท่าทางคณบดีดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เฉียวมู่ก็เริ่มกังวล เขารีบอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของเขาให้อีกฝ่ายรู้ทันที

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คิ้วของฉีไคเหวินก็ขมวดมากกว่าเก่า ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี “นักศึกษาคนนั้นจะรู้และดูเชี่ยวชาญเพียงแค่ทบทวนหนังสือหมดเล่มได้ยังไง?”

“เขามีความจำดี มีความรู้ดีจนน่ากลัวเลยล่ะครับ!”

“บางที นักศึกษาที่ชื่อว่าฟางชิวอาจจะเคยเรียนวิชาแพทย์แผนจีนมาก่อนหรือเปล่า?”

ฉีไคเหวินถาม

“ไม่ครับ!”

เฉียวมู่รีบส่ายหัวแล้วตอบทันที “ผมเองก็ถามเขาไปเหมือนกัน เขาบอกว่าไม่เคยเรียนมาก่อนเลย…”

“อืม…”

ฉีไคเหวินได้รู้ข่าวที่น่าเหลือเชื่อเข้าเสียแล้ว

“โดยปกติแล้ว กรณีแบบนี้ไม่น่ามีอยู่จริงนี่นา”

แต่เฉียวมู่ดูไม่มีท่าทีลังเลแต่อย่างใด เขาพูดต่ออย่างกระวนกระวายว่า “ท่านคณบดี ไม่ว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการแพทย์แผนจีนมาก่อนหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นเด็กใหม่… เป็นแค่เด็กใหม่ครับ!”

“เด็กใหม่เหรอ?”

เมื่อได้ยินว่าเฉียวมู่จงใจเน้นคำว่า ‘เด็กใหม่’ ต่อหน้าเขา ฉีไคเหวินก็ดูมีท่าทางสับสน แต่แล้วไม่นานดวงตาของเขาก็วาบประกาย “คุณกำลังจะพูดถึงการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนของเด็กใหม่หรือเปล่า?”

“แน่นอนครับ!”

เฉียวมู่ตอบกลับทันที “การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนของน้องใหม่จะถูกจัดขึ้นแล้วครับ เก้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจะเข้าร่วมด้วย การแข่งขันจัดที่เมืองหลวงในอีกหนึ่งเดือน ครั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยเราเป็นเจ้าภาพ ถ้าหากอันดับของเราอยู่รั้งท้ายเหมือนเมื่อปีที่แล้วคงน่าอายน่าดู แต่บางทีปีนี้… ฟางชิวอาจจะช่วยให้เราชนะได้”

ฟังจบแล้วฉีไคเหวินก็รู้สึกว่ามีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว เขาลุกขึ้นแล้วเดินวนไปมาในสำนักงาน ไม่นานก็หยุดเดินแล้วถามขึ้น “ฟางชิวมีความสามารถมากขนาดนั้นจริงเหรอ?”

“ผมประจักษ์กับตาตัวเองมาแล้วครับ!” เฉียวมู่ตอบทันที

หลังจากได้ยินดังนั้น ฉีไคเหวินก็ถอนหายใจ “พวกเราเสี่ยงไม่ได้หรอก สัปดาห์หน้างานแข่งขันจะถูกจัดขึ้นแล้ว ถ้าหากฟางชิวมีศักยภาพจริง ๆ เขาจะชนะแน่นอน!”

“แต่ถ้าหากเขาทำไม่ได้ เขาก็จะถูกคัดออกจากการทดสอบ แต่คุณต้องสัญญากับผมก่อน คุณห้ามเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับการทดสอบคัดตัวนี้ เข้าใจไหม?”

“ครับ ท่านคณบดี!”

เฉียวมู่สัญญาทันที

เมื่อเฉียวมู่จากไปแล้ว ฉีไคเหวินก็นั่งลงอีกครั้ง

สีหน้าของเขาในตอนนี้แม้จะดูว่างเปล่า กระนั้นก็แฝงไปด้วยความคาดหวังและความกังวลอยู่นิด ๆ

ในฐานะที่เป็นคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน การแข่งขันนี้มหาวิทยาลัยของเขาต้องชนะ!!

ถ้าหากมหาวิทยาลัยของเขาได้คะแนนดี ทุก ๆ อย่างก็จะออกมาดี

แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายแพ้ คงจะเป็นเรื่องน่าอายน่าดู ในฐานะคณบดีของมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ฉีไคเหวินเลยต้องแน่ใจว่ามหาวิทยาลัยของตนจะสามารถชนะการแข่งขันนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้ฉีไคเหวินงุงงงยิ่งกว่าก็คือ มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะมีนักศึกษาใหม่สามารถเข้าใจเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดได้เพียงแค่อ่านทบทวนจนหมดเล่ม?

ฉีไคเหวินนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะพุ่งพรวดไปที่ประตู

วิชาเรียนคาบที่สองของฟางชิวในมหาวิทยาลัยคือวิชา ภาษาจีนโบราณสำหรับแพทย์แผนจีน

สำหรับนักศึกษาที่เรียนวิชาแพทย์แผนจีนนั้นจำเป็นมากที่จะต้องรู้ภาษาจีนโบราณ นั่นเป็นเพราะว่าตำราแพทย์แผนจีนโบราณส่วนมากถูกเขียนขึ้นโดยอักษรจีนโบราณ หากไม่สามารถอ่านภาษาจีนโบราณได้… ก็กลับบ้านไปเลี้ยงห่านเถอะ!

อาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาจีนโบราณสำหรับแพทย์แผนจีนโบราณนั้นเป็นชายชราสวมแว่นหนาคลับคล้ายนักปราชญ์ที่แตกฉานวัฒนธรรมจีนโบราณ

ฟางชิวตั้งหน้าตั้งตารอวิชาเรียนนี้เป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวสำหรับชายหนุ่มในการอ่านภาษาจีนโบราณ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะง่ายสำหรับคนอื่น ๆ แต่อย่างใด

ตอนนี้ฟางชิวได้เลือกเส้นทางเรียนแพทย์แผนจีนแล้ว เขาจึงจะตั้งมั่นกับมันมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตอาจารย์ของเขาได้ เขายังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่ทรมานจากอาการเจ็บป่วยได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาจะช่วยชีวิตผู้คนได้กี่คน? และในชั่วชีวิตของเขานี้ เขาจะสามารถช่วยได้กี่ชีวิตกัน?

มีเพียงนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่สามารถเรียนจนสำเร็จการศึกษาเท่านั้นที่จะได้ทำเพื่อมนุษยชาติ!

ฟางชิวตระหนักว่าการเรียนภาษาจีนโบราณมีประโยชน์กับตัวเองอย่างไรในการเรียนแพทย์แผนจีน เขาจึงกระตือรือร้นกับวิชานี้อย่างยิ่ง

ตอนเริ่มต้นวิชาเรียน อาจารย์ได้ถามคำถามกับนักศึกษาตรง ๆ

“ปิดเทอมฤดูร้อนตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฉันสงสัยว่ามีใครจำกลอนจีนโบราณที่พวกเธอเคยเรียนเมื่อตอนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้บ้าง?”

หลังอาจารย์ถามคำถามนี้ นักศึกษาทุกคนก็มองไปที่ฟางชิวพร้อมกัน

หลังจากการพักผ่อนและเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานตลอดสามเดือน เหล่านักศึกษาก็คืนความรู้ที่ได้ระหว่างเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้อาจารย์มัธยมไปหมดแล้ว แต่เพราะพวกเขาได้เห็นความปราดเปรื่องของฟางชิวเมื่อชั่วโมงเรียนก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าถ้าใครสักคนจะจำกลอนจีนโบราณได้ คน ๆ นั้นก็คงเป็นฟางชิว

เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่ตน ฟางชิวก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

อย่างที่คนกล่าวไว้ ‘คนเราจะกลัวชื่อเสียงเหมือนหมูที่กลัวอ้วน’

เพราะสายตาของนักศึกษาทุกคนในห้องนี้ อาจารย์ผู้สอนเลยมองไปที่ฟางชิวอย่างคาดหวัง จากนั้นจึงลองถามขึ้น “นักศึกษา เหมือนเธอจะได้รับความนับถือในหมู่เพื่อนร่วมชั้นนะ ดี! ถ้าอย่างนั้น เธอจำกลอนภาษาจีนโบราณได้มากเท่าไหร่?”

ในเมื่อตอนนี้ทุกคนดูนับถือเด็กคนนี้มาก แสดงว่าเขาจะต้องจำกลอนได้เยอะแน่นอน

ที่อาจารย์ไม่ได้ถามว่าฟางชิวสามารถจำกลอนได้หรือไม่ แต่ถามว่าเขาจำได้เท่าไรนั้น เป็นเพราะสายตาทุกคนที่พากันจับจ้องมาที่ฟางชิวนั่นเอง

ฟางชิวยืนขึ้น ขณะใช้ความคิดนึกย้อนถึงกลอนจีนโบราณที่ตนได้เรียนเมื่อตอนอยู่มัธยม กลอนเหล่านั้นแวบเข้ามาในหัวราวกับฉากในหนัง จากนั้นเขาก็ตอบว่า “จำได้เกือบหมดครับ”

“ว้าว!”

ทั้งชั้นเรียนต่างพากันตกตะลึง

แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็ด้วย

ซุนฮ่าวตบหน้าผากตัวเองแล้วบ่นในใจ ‘นายจะตายไหมถ้าจะบอกแค่ว่าจำได้ไม่กี่บทน่ะ?!’

“นายนี่เกิดมาเพื่อทำลายความมั่นใจของพวกเราชัด ๆ!”

แม้แต่จูเปิ่นเจิ้งผู้มีอายุมากที่สุดและได้เรียนภาษาจีนมาตลอดก็ยังต้องตกตะลึงกับคำตอบของฟางชิว จนถึงตอนนี้เขาท่องได้แค่สองถึงสี่บทเท่านั้น หลังฟางชิวขโมยซีนเขาตอนคาบแรก เขาก็คิดว่ามันถึงคราวที่จะได้อวดตัวเองและดื่มด่ำกับสายตาซูฮกที่ทุกคนจะเทมาทางตนบ้าง

แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้ามกันซะอย่างนั้น!

“ทั้งหมดเลยเหรอ?!”

คำพูดเหล่านั้นทำลายความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น

“นักศึกษาคนนี้มั่นใจมาก!”

อาจารย์ตื่นจากอาการตกใจอย่างรวดเร็วแล้วถามต่อ “ฉันอยากรู้ว่าเธอได้คะแนนสอบเข้าและคะแนนวิชาภาษาจีนเท่าไหร่?”

คนทั้งชั้นเรียนก็นึกถึงเกรดตอนสอบเข้าของตัวเอง

“เธอเรียนเก่งมาก! เธอสามารถเข้าใจเนื้อหาหนังสือทั้งเล่มได้แค่การทบทวน พอเป็นวิชาภาษาจีนโบราณ เธอก็บอกว่าสามารถจำได้เกือบทั้งหมด ทั้งเกรดและคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเธอจะต้องสูงมากแน่ ๆ!”

“โดยเฉพาะวิชาภาษาจีน!”

“ปกติแล้ว ด้วยความสามารถในการเรียนที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ เธอก็ควรจะเป็นอันดับหนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองตัวเองหรือจังหวัดที่อยู่…”

“แต่ฉันไม่เห็นได้ยินว่าจะมีนักศึกษาใหม่ในมหาวิทยาลัยคนไหนมีคะแนนสอบเข้าสูงมากเลยนี่ ใช่ไหม?”

ทุกคนหันมามองฟางชิวด้วยความกังวล ต่างคนต่างรอคำตอบจากเขา

เมื่อเห็นสายตาที่ทุกคนมองมาเช่นนั้น ฟางชิวก็ยิ้มเจื่อน ๆ นั่นเพราะเกรดตอนสอบเข้าของตนไม่ได้สูงเลย

เขาตอบ “วิชาภาษาจีนผมได้ร้อยสามสิบสองคะแนน คะแนนรวมของผมทุกวิชาคือหกร้อยห้าสิบสองคะแนน”

มันก็แค่ดีกว่ามาตรฐานนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สูงเว่อร์วังขนาดนั้น

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าคะแนนของฟางชิวแค่เข้าขั้นดี แต่ก็ไม่รู้สึกว่าคะแนนของฟางชิวจะห่างไกลจากมาตรฐานตรงไหน

ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงจ้องไปที่ฟางชิวด้วยความสงสัย

“ดูจากความสามารถที่ฟางชิวแสดงออกมา ฉันคิดว่าคะแนนของเขาน่าจะอยู่ที่หกร้อยแปดสิบคะแนน ไม่ก็มากกว่าเจ็ดร้อยคะแนนนะ”

“แต่คะแนนวิชาภาษาจีนของเขาดีนะ เขาขาดแค่สิบแปดคะแนนเอง ถ้าได้ถึงก็ถือว่าทำได้ดีในวิชาภาษาจีน”

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ฟางชิวยังไม่ได้เอาจริงตอนทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ถ้าขืนพ่อแม่ของเขารู้ละก็… คงต้องตีเขายับแหง ๆ แต่ฟางชิวก็ไม่ได้เอาจริง เขาตั้งใจทำเกรดตัวเองให้อยู่ระดับปานกลางเพื่อที่จะได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง

ถ้าขืนเกรดของชายหนุ่มสูงเกินไป พ่อแม่ของเขาจะต้องบังคับให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงฮวาแทนอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเกรดเขาต่ำเกินไป ก็อาจจะถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงเช่นกัน เขาเลยตั้งใจทำคะแนนให้อยู่ระดับกลางเข้าไว้

“คะแนนดีนี่!”

อาจารย์ชมฟางชิว จากนั้นก็พูดต่อ “เหมือนชั้นเรียนของเราจะมีคนศึกษาภาษาจีนโบราณมาอย่างดี ฉันคงไม่มีอะไรให้กังวลแล้วล่ะ”

“แต่ถึงจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะประมาทวิชานี้ได้ วิชาภาษาจีนโบราณสำหรับการแพทย์นั้นต่างจากวิชาภาษาจีนโบราณธรรมดาเป็นไหน ๆ กลอนภาษาจีนโบราณที่พวกเธอได้เรียนมาตอนอยู่มัธยมนั้นไพเราะจับใจ แต่สำหรับการแพทย์แผนจีนโบราณไม่ใช่อย่างนั้น และไม่ได้เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ด้วย”

“พวกเธอจะต้องรู้ว่าในช่วงสมัยโบราณ การแพทย์นั้นเป็นอาชีพที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม บรรดาผู้มีความรู้และความสามารถด้านการเขียนมักจะพากันไปสอบเข้าราชสำนัก ผู้ที่เรียนแพทย์เลยไม่ค่อยมีทักษะด้านการเขียน ดังนั้นฉันขอให้พวกเธอเตรียมตัวเรียนอย่างหนักหน่วงในวิชาภาษาจีนโบราณสำหรับการแพทย์นี้ มันช่วยพวกเธอศึกษาการแพทย์แผนจีนต่อไปได้อีกมากเลยทีเดียว”

“ครับ/ค่ะ!”

นักเรียนทั้งคลาสตอบรับพร้อมกัน

เมื่อเห็นว่าทุกคนมีความกระตือรือร้นในการเรียนแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาก ฟางชิวก็เช่นกัน

ชายหนุ่มตระหนักว่าพลังของคน ๆ เดียวนั้นมีจำกัด แต่ถ้าเป็นพลังของคนทุกคน ไฟในการตั้งใจเรียนของทุกคนก็จะพุ่งขึ้นสูง

ในเวลาเดียวกับที่ฟางชิวกำลังเข้าเรียน

ณ ห้องสมุด

ฉีไคเหวิน คณบดีประจำมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็มาที่โต๊ะยืมหนังสือของห้องสมุด เขายืนอยู่ตรงหน้าบรรณารักษ์ มองชายตรงหน้าด้วยสายตาซับซ้อน

ในขณะที่บรรณารักษ์กลับมองเขาอย่างสงบนิ่ง

พวกเขาเอาแต่มองกันไปมา ฉีไคเหวินเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “รุ่นน้อง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”

รุ่นน้องของฉีไคเหวินในตอนนี้คืออัจฉริยะด้านการแพทย์แผนจีนเพียงคนเดียวที่เขาและอาจารย์ของเขาเคยพบเจอมาตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้รุ่นน้องคนนี้ถูกลดตำแหน่งเป็นเพียงบรรณารักษ์ที่อยู่ในห้องสมุด ถ้าอาจารย์ของเขารู้เรื่องนี้ อาจารย์จะโกรธขนาดไหนกัน?

“รุ่นพี่ ถ้าหากมาที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้ผมไปเป็นอาจารย์หรือไปทำงานในโรงพยาบาลละก็… กลับไปซะเถอะ”

ชายผู้เป็นบรรณารักษ์กล่าว ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ

“ฉันพูดแล้วใช่ไหมว่านายไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนี้ ความสามารถที่นายมีอยู่น่ะ จะดีกว่าไหมถ้าเอาไปสอนนักศึกษา? ถ้านายไม่ต้องการ อย่างน้อย ๆ ก็ไปช่วยรักษาคนไข้ก็ได้ ฉันพูดถูกไหม? การที่นายอยู่ที่นี่มันเท่ากับปล่อยให้ความสามารถที่นายมีอยู่ไร้ประโยชน์ไปเปล่า ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

บรรณารักษ์ยังคงนิ่งเฉย

“ดี!”

ฉีไคเหวินรู้นิสัยของรุ่นน้องตัวเองดีว่าเมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้ว รุ่นน้องคนนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน เขาจึงทิ้งความพยายามที่จะโน้มน้าวไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นในใจ ‘นี่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่เสียชีวิตระหว่างเขารักษาใช่ไหม?’

‘ไม่ใช่ความผิดของเขาด้วยซ้ำ การเสียชีวิตเกิดจากคนไข้ที่ไปซื้อยาตามใบสั่งแพทย์โดยไม่ฟังคำแนะนำของแพทย์ และยังไปสั่งยาพื้นบ้านจากคนอื่นด้วย เขาไม่ควรเสียใจแล้วมาซ่อนตัวที่นี่หลบเลี่ยงคนอื่นเลย’

“รุ่นน้อง ฉันมาที่นี่เพราะอยากถามอะไรบางอย่าง เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์เราจะมีความสามารถในการจำที่ยอดเยี่ยมจนสามารถจำหนังสือทั้งเล่มได้ในเวลาสั้น ๆ”

ฉีไคเหวินบอกเหตุผลที่ตนมาหาถึงห้องสมุดออกไป

คำถามของฉีไคเหวินทำให้บรรณารักษ์นึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมา เขาจึงตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “เป็นไปได้”

ทันใดนั้น ร่างของฉีไคเหวินก็สั่นสะท้าน เขาถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกังวลระคนตกใจ “ถ้าอย่างนั้นเคยเห็นคน ๆ นั้นที่มหาวิทยาลัยบ้างไหม?”

“ใช่ ฉันเคยเห็นคนหนึ่ง”

บรรณารักษ์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“เขาคือใคร?”

ฉีไคเหวินรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ในเวลานี้ บรรณารักษ์ก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปาก “ลองเดาดูสิ”

“ลองเดาดู…”

ใบหน้าอันแสนตื่นเต้นของฉีไคเหวินถึงกับแข็งค้างทันที

“ทำหน้ากวนประสาทอีกแล้ว”

“เห็นมาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เด็ก”

“ทุกเวลาที่พูดว่า ‘ลองเดาสิ’ ลองเดาบ้าอะไรล่ะ!”

“รุ่นน้อง ในฐานะที่พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันมานาน เราไม่จำเป็นต้องมีความลับกันไม่ใช่รึไง?”

ฉีไคเหวินบังคับตัวเองไม่ให้ชกใบหน้าของรุ่นน้องตัวดี เขาตีหน้ายิ้มแล้วถามออกไป

“ลองเดาสิ”

กระนั้นบรรณารักษ์ยังคงตอบกลับด้วยประโยคเดิม แถมยังขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างล้อเลียนอีกต่างหาก

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน