บทที่ 26 รู้พื้นฐานทุกอย่างเลย!
บทที่ 26 รู้พื้นฐานทุกอย่างเลย!
“มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเลยเหรอ?”
คณบดีฉีไคเหวินไม่เชื่อในสิ่งที่เฉียวมู่พูด เขารู้ว่าวันนี้อาจารย์เฉียวมู่มีสอนชั่วโมงแรกของเทอม แต่เพียงแค่คาบเดียวนั้น โอกาสที่จะเจอนักศึกษามากพรสวรรค์มันค่อนข้างน้อยพอสมควร
“เรื่องจริงนะครับ!”
เมื่อเห็นท่าทางคณบดีดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เฉียวมู่ก็เริ่มกังวล เขารีบอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของเขาให้อีกฝ่ายรู้ทันที
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คิ้วของฉีไคเหวินก็ขมวดมากกว่าเก่า ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี “นักศึกษาคนนั้นจะรู้และดูเชี่ยวชาญเพียงแค่ทบทวนหนังสือหมดเล่มได้ยังไง?”
“เขามีความจำดี มีความรู้ดีจนน่ากลัวเลยล่ะครับ!”
“บางที นักศึกษาที่ชื่อว่าฟางชิวอาจจะเคยเรียนวิชาแพทย์แผนจีนมาก่อนหรือเปล่า?”
ฉีไคเหวินถาม
“ไม่ครับ!”
เฉียวมู่รีบส่ายหัวแล้วตอบทันที “ผมเองก็ถามเขาไปเหมือนกัน เขาบอกว่าไม่เคยเรียนมาก่อนเลย…”
“อืม…”
ฉีไคเหวินได้รู้ข่าวที่น่าเหลือเชื่อเข้าเสียแล้ว
“โดยปกติแล้ว กรณีแบบนี้ไม่น่ามีอยู่จริงนี่นา”
แต่เฉียวมู่ดูไม่มีท่าทีลังเลแต่อย่างใด เขาพูดต่ออย่างกระวนกระวายว่า “ท่านคณบดี ไม่ว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการแพทย์แผนจีนมาก่อนหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นเด็กใหม่… เป็นแค่เด็กใหม่ครับ!”
“เด็กใหม่เหรอ?”
เมื่อได้ยินว่าเฉียวมู่จงใจเน้นคำว่า ‘เด็กใหม่’ ต่อหน้าเขา ฉีไคเหวินก็ดูมีท่าทางสับสน แต่แล้วไม่นานดวงตาของเขาก็วาบประกาย “คุณกำลังจะพูดถึงการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนของเด็กใหม่หรือเปล่า?”
“แน่นอนครับ!”
เฉียวมู่ตอบกลับทันที “การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนของน้องใหม่จะถูกจัดขึ้นแล้วครับ เก้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจะเข้าร่วมด้วย การแข่งขันจัดที่เมืองหลวงในอีกหนึ่งเดือน ครั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยเราเป็นเจ้าภาพ ถ้าหากอันดับของเราอยู่รั้งท้ายเหมือนเมื่อปีที่แล้วคงน่าอายน่าดู แต่บางทีปีนี้… ฟางชิวอาจจะช่วยให้เราชนะได้”
ฟังจบแล้วฉีไคเหวินก็รู้สึกว่ามีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว เขาลุกขึ้นแล้วเดินวนไปมาในสำนักงาน ไม่นานก็หยุดเดินแล้วถามขึ้น “ฟางชิวมีความสามารถมากขนาดนั้นจริงเหรอ?”
“ผมประจักษ์กับตาตัวเองมาแล้วครับ!” เฉียวมู่ตอบทันที
หลังจากได้ยินดังนั้น ฉีไคเหวินก็ถอนหายใจ “พวกเราเสี่ยงไม่ได้หรอก สัปดาห์หน้างานแข่งขันจะถูกจัดขึ้นแล้ว ถ้าหากฟางชิวมีศักยภาพจริง ๆ เขาจะชนะแน่นอน!”
“แต่ถ้าหากเขาทำไม่ได้ เขาก็จะถูกคัดออกจากการทดสอบ แต่คุณต้องสัญญากับผมก่อน คุณห้ามเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับการทดสอบคัดตัวนี้ เข้าใจไหม?”
“ครับ ท่านคณบดี!”
เฉียวมู่สัญญาทันที
เมื่อเฉียวมู่จากไปแล้ว ฉีไคเหวินก็นั่งลงอีกครั้ง
สีหน้าของเขาในตอนนี้แม้จะดูว่างเปล่า กระนั้นก็แฝงไปด้วยความคาดหวังและความกังวลอยู่นิด ๆ
ในฐานะที่เป็นคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน การแข่งขันนี้มหาวิทยาลัยของเขาต้องชนะ!!
ถ้าหากมหาวิทยาลัยของเขาได้คะแนนดี ทุก ๆ อย่างก็จะออกมาดี
แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายแพ้ คงจะเป็นเรื่องน่าอายน่าดู ในฐานะคณบดีของมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ฉีไคเหวินเลยต้องแน่ใจว่ามหาวิทยาลัยของตนจะสามารถชนะการแข่งขันนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉีไคเหวินงุงงงยิ่งกว่าก็คือ มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะมีนักศึกษาใหม่สามารถเข้าใจเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดได้เพียงแค่อ่านทบทวนจนหมดเล่ม?
ฉีไคเหวินนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะพุ่งพรวดไปที่ประตู
…
วิชาเรียนคาบที่สองของฟางชิวในมหาวิทยาลัยคือวิชา ภาษาจีนโบราณสำหรับแพทย์แผนจีน
สำหรับนักศึกษาที่เรียนวิชาแพทย์แผนจีนนั้นจำเป็นมากที่จะต้องรู้ภาษาจีนโบราณ นั่นเป็นเพราะว่าตำราแพทย์แผนจีนโบราณส่วนมากถูกเขียนขึ้นโดยอักษรจีนโบราณ หากไม่สามารถอ่านภาษาจีนโบราณได้… ก็กลับบ้านไปเลี้ยงห่านเถอะ!
อาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาจีนโบราณสำหรับแพทย์แผนจีนโบราณนั้นเป็นชายชราสวมแว่นหนาคลับคล้ายนักปราชญ์ที่แตกฉานวัฒนธรรมจีนโบราณ
ฟางชิวตั้งหน้าตั้งตารอวิชาเรียนนี้เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวสำหรับชายหนุ่มในการอ่านภาษาจีนโบราณ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะง่ายสำหรับคนอื่น ๆ แต่อย่างใด
ตอนนี้ฟางชิวได้เลือกเส้นทางเรียนแพทย์แผนจีนแล้ว เขาจึงจะตั้งมั่นกับมันมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตอาจารย์ของเขาได้ เขายังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่ทรมานจากอาการเจ็บป่วยได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาจะช่วยชีวิตผู้คนได้กี่คน? และในชั่วชีวิตของเขานี้ เขาจะสามารถช่วยได้กี่ชีวิตกัน?
มีเพียงนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่สามารถเรียนจนสำเร็จการศึกษาเท่านั้นที่จะได้ทำเพื่อมนุษยชาติ!
ฟางชิวตระหนักว่าการเรียนภาษาจีนโบราณมีประโยชน์กับตัวเองอย่างไรในการเรียนแพทย์แผนจีน เขาจึงกระตือรือร้นกับวิชานี้อย่างยิ่ง
ตอนเริ่มต้นวิชาเรียน อาจารย์ได้ถามคำถามกับนักศึกษาตรง ๆ
“ปิดเทอมฤดูร้อนตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฉันสงสัยว่ามีใครจำกลอนจีนโบราณที่พวกเธอเคยเรียนเมื่อตอนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้บ้าง?”
หลังอาจารย์ถามคำถามนี้ นักศึกษาทุกคนก็มองไปที่ฟางชิวพร้อมกัน
หลังจากการพักผ่อนและเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานตลอดสามเดือน เหล่านักศึกษาก็คืนความรู้ที่ได้ระหว่างเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้อาจารย์มัธยมไปหมดแล้ว แต่เพราะพวกเขาได้เห็นความปราดเปรื่องของฟางชิวเมื่อชั่วโมงเรียนก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าถ้าใครสักคนจะจำกลอนจีนโบราณได้ คน ๆ นั้นก็คงเป็นฟางชิว
เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่ตน ฟางชิวก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อย่างที่คนกล่าวไว้ ‘คนเราจะกลัวชื่อเสียงเหมือนหมูที่กลัวอ้วน’
เพราะสายตาของนักศึกษาทุกคนในห้องนี้ อาจารย์ผู้สอนเลยมองไปที่ฟางชิวอย่างคาดหวัง จากนั้นจึงลองถามขึ้น “นักศึกษา เหมือนเธอจะได้รับความนับถือในหมู่เพื่อนร่วมชั้นนะ ดี! ถ้าอย่างนั้น เธอจำกลอนภาษาจีนโบราณได้มากเท่าไหร่?”
ในเมื่อตอนนี้ทุกคนดูนับถือเด็กคนนี้มาก แสดงว่าเขาจะต้องจำกลอนได้เยอะแน่นอน
ที่อาจารย์ไม่ได้ถามว่าฟางชิวสามารถจำกลอนได้หรือไม่ แต่ถามว่าเขาจำได้เท่าไรนั้น เป็นเพราะสายตาทุกคนที่พากันจับจ้องมาที่ฟางชิวนั่นเอง
ฟางชิวยืนขึ้น ขณะใช้ความคิดนึกย้อนถึงกลอนจีนโบราณที่ตนได้เรียนเมื่อตอนอยู่มัธยม กลอนเหล่านั้นแวบเข้ามาในหัวราวกับฉากในหนัง จากนั้นเขาก็ตอบว่า “จำได้เกือบหมดครับ”
“ว้าว!”
ทั้งชั้นเรียนต่างพากันตกตะลึง
แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็ด้วย
ซุนฮ่าวตบหน้าผากตัวเองแล้วบ่นในใจ ‘นายจะตายไหมถ้าจะบอกแค่ว่าจำได้ไม่กี่บทน่ะ?!’
“นายนี่เกิดมาเพื่อทำลายความมั่นใจของพวกเราชัด ๆ!”
แม้แต่จูเปิ่นเจิ้งผู้มีอายุมากที่สุดและได้เรียนภาษาจีนมาตลอดก็ยังต้องตกตะลึงกับคำตอบของฟางชิว จนถึงตอนนี้เขาท่องได้แค่สองถึงสี่บทเท่านั้น หลังฟางชิวขโมยซีนเขาตอนคาบแรก เขาก็คิดว่ามันถึงคราวที่จะได้อวดตัวเองและดื่มด่ำกับสายตาซูฮกที่ทุกคนจะเทมาทางตนบ้าง
แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้ามกันซะอย่างนั้น!
“ทั้งหมดเลยเหรอ?!”
คำพูดเหล่านั้นทำลายความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
“นักศึกษาคนนี้มั่นใจมาก!”
อาจารย์ตื่นจากอาการตกใจอย่างรวดเร็วแล้วถามต่อ “ฉันอยากรู้ว่าเธอได้คะแนนสอบเข้าและคะแนนวิชาภาษาจีนเท่าไหร่?”
คนทั้งชั้นเรียนก็นึกถึงเกรดตอนสอบเข้าของตัวเอง
“เธอเรียนเก่งมาก! เธอสามารถเข้าใจเนื้อหาหนังสือทั้งเล่มได้แค่การทบทวน พอเป็นวิชาภาษาจีนโบราณ เธอก็บอกว่าสามารถจำได้เกือบทั้งหมด ทั้งเกรดและคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเธอจะต้องสูงมากแน่ ๆ!”
“โดยเฉพาะวิชาภาษาจีน!”
“ปกติแล้ว ด้วยความสามารถในการเรียนที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ เธอก็ควรจะเป็นอันดับหนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองตัวเองหรือจังหวัดที่อยู่…”
“แต่ฉันไม่เห็นได้ยินว่าจะมีนักศึกษาใหม่ในมหาวิทยาลัยคนไหนมีคะแนนสอบเข้าสูงมากเลยนี่ ใช่ไหม?”
ทุกคนหันมามองฟางชิวด้วยความกังวล ต่างคนต่างรอคำตอบจากเขา
เมื่อเห็นสายตาที่ทุกคนมองมาเช่นนั้น ฟางชิวก็ยิ้มเจื่อน ๆ นั่นเพราะเกรดตอนสอบเข้าของตนไม่ได้สูงเลย
เขาตอบ “วิชาภาษาจีนผมได้ร้อยสามสิบสองคะแนน คะแนนรวมของผมทุกวิชาคือหกร้อยห้าสิบสองคะแนน”
มันก็แค่ดีกว่ามาตรฐานนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สูงเว่อร์วังขนาดนั้น
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าคะแนนของฟางชิวแค่เข้าขั้นดี แต่ก็ไม่รู้สึกว่าคะแนนของฟางชิวจะห่างไกลจากมาตรฐานตรงไหน
ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงจ้องไปที่ฟางชิวด้วยความสงสัย
“ดูจากความสามารถที่ฟางชิวแสดงออกมา ฉันคิดว่าคะแนนของเขาน่าจะอยู่ที่หกร้อยแปดสิบคะแนน ไม่ก็มากกว่าเจ็ดร้อยคะแนนนะ”
“แต่คะแนนวิชาภาษาจีนของเขาดีนะ เขาขาดแค่สิบแปดคะแนนเอง ถ้าได้ถึงก็ถือว่าทำได้ดีในวิชาภาษาจีน”
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ฟางชิวยังไม่ได้เอาจริงตอนทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ถ้าขืนพ่อแม่ของเขารู้ละก็… คงต้องตีเขายับแหง ๆ แต่ฟางชิวก็ไม่ได้เอาจริง เขาตั้งใจทำเกรดตัวเองให้อยู่ระดับปานกลางเพื่อที่จะได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง
ถ้าขืนเกรดของชายหนุ่มสูงเกินไป พ่อแม่ของเขาจะต้องบังคับให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงฮวาแทนอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเกรดเขาต่ำเกินไป ก็อาจจะถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงเช่นกัน เขาเลยตั้งใจทำคะแนนให้อยู่ระดับกลางเข้าไว้
“คะแนนดีนี่!”
อาจารย์ชมฟางชิว จากนั้นก็พูดต่อ “เหมือนชั้นเรียนของเราจะมีคนศึกษาภาษาจีนโบราณมาอย่างดี ฉันคงไม่มีอะไรให้กังวลแล้วล่ะ”
“แต่ถึงจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะประมาทวิชานี้ได้ วิชาภาษาจีนโบราณสำหรับการแพทย์นั้นต่างจากวิชาภาษาจีนโบราณธรรมดาเป็นไหน ๆ กลอนภาษาจีนโบราณที่พวกเธอได้เรียนมาตอนอยู่มัธยมนั้นไพเราะจับใจ แต่สำหรับการแพทย์แผนจีนโบราณไม่ใช่อย่างนั้น และไม่ได้เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ด้วย”
“พวกเธอจะต้องรู้ว่าในช่วงสมัยโบราณ การแพทย์นั้นเป็นอาชีพที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม บรรดาผู้มีความรู้และความสามารถด้านการเขียนมักจะพากันไปสอบเข้าราชสำนัก ผู้ที่เรียนแพทย์เลยไม่ค่อยมีทักษะด้านการเขียน ดังนั้นฉันขอให้พวกเธอเตรียมตัวเรียนอย่างหนักหน่วงในวิชาภาษาจีนโบราณสำหรับการแพทย์นี้ มันช่วยพวกเธอศึกษาการแพทย์แผนจีนต่อไปได้อีกมากเลยทีเดียว”
“ครับ/ค่ะ!”
นักเรียนทั้งคลาสตอบรับพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าทุกคนมีความกระตือรือร้นในการเรียนแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาก ฟางชิวก็เช่นกัน
ชายหนุ่มตระหนักว่าพลังของคน ๆ เดียวนั้นมีจำกัด แต่ถ้าเป็นพลังของคนทุกคน ไฟในการตั้งใจเรียนของทุกคนก็จะพุ่งขึ้นสูง
ในเวลาเดียวกับที่ฟางชิวกำลังเข้าเรียน
ณ ห้องสมุด
ฉีไคเหวิน คณบดีประจำมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็มาที่โต๊ะยืมหนังสือของห้องสมุด เขายืนอยู่ตรงหน้าบรรณารักษ์ มองชายตรงหน้าด้วยสายตาซับซ้อน
ในขณะที่บรรณารักษ์กลับมองเขาอย่างสงบนิ่ง
พวกเขาเอาแต่มองกันไปมา ฉีไคเหวินเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “รุ่นน้อง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
รุ่นน้องของฉีไคเหวินในตอนนี้คืออัจฉริยะด้านการแพทย์แผนจีนเพียงคนเดียวที่เขาและอาจารย์ของเขาเคยพบเจอมาตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้รุ่นน้องคนนี้ถูกลดตำแหน่งเป็นเพียงบรรณารักษ์ที่อยู่ในห้องสมุด ถ้าอาจารย์ของเขารู้เรื่องนี้ อาจารย์จะโกรธขนาดไหนกัน?
“รุ่นพี่ ถ้าหากมาที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้ผมไปเป็นอาจารย์หรือไปทำงานในโรงพยาบาลละก็… กลับไปซะเถอะ”
ชายผู้เป็นบรรณารักษ์กล่าว ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ
“ฉันพูดแล้วใช่ไหมว่านายไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนี้ ความสามารถที่นายมีอยู่น่ะ จะดีกว่าไหมถ้าเอาไปสอนนักศึกษา? ถ้านายไม่ต้องการ อย่างน้อย ๆ ก็ไปช่วยรักษาคนไข้ก็ได้ ฉันพูดถูกไหม? การที่นายอยู่ที่นี่มันเท่ากับปล่อยให้ความสามารถที่นายมีอยู่ไร้ประโยชน์ไปเปล่า ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
บรรณารักษ์ยังคงนิ่งเฉย
“ดี!”
ฉีไคเหวินรู้นิสัยของรุ่นน้องตัวเองดีว่าเมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้ว รุ่นน้องคนนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน เขาจึงทิ้งความพยายามที่จะโน้มน้าวไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นในใจ ‘นี่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่เสียชีวิตระหว่างเขารักษาใช่ไหม?’
‘ไม่ใช่ความผิดของเขาด้วยซ้ำ การเสียชีวิตเกิดจากคนไข้ที่ไปซื้อยาตามใบสั่งแพทย์โดยไม่ฟังคำแนะนำของแพทย์ และยังไปสั่งยาพื้นบ้านจากคนอื่นด้วย เขาไม่ควรเสียใจแล้วมาซ่อนตัวที่นี่หลบเลี่ยงคนอื่นเลย’
“รุ่นน้อง ฉันมาที่นี่เพราะอยากถามอะไรบางอย่าง เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์เราจะมีความสามารถในการจำที่ยอดเยี่ยมจนสามารถจำหนังสือทั้งเล่มได้ในเวลาสั้น ๆ”
ฉีไคเหวินบอกเหตุผลที่ตนมาหาถึงห้องสมุดออกไป
คำถามของฉีไคเหวินทำให้บรรณารักษ์นึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมา เขาจึงตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “เป็นไปได้”
ทันใดนั้น ร่างของฉีไคเหวินก็สั่นสะท้าน เขาถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกังวลระคนตกใจ “ถ้าอย่างนั้นเคยเห็นคน ๆ นั้นที่มหาวิทยาลัยบ้างไหม?”
“ใช่ ฉันเคยเห็นคนหนึ่ง”
บรรณารักษ์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เขาคือใคร?”
ฉีไคเหวินรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ในเวลานี้ บรรณารักษ์ก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปาก “ลองเดาดูสิ”
“ลองเดาดู…”
ใบหน้าอันแสนตื่นเต้นของฉีไคเหวินถึงกับแข็งค้างทันที
“ทำหน้ากวนประสาทอีกแล้ว”
“เห็นมาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เด็ก”
“ทุกเวลาที่พูดว่า ‘ลองเดาสิ’ ลองเดาบ้าอะไรล่ะ!”
“รุ่นน้อง ในฐานะที่พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันมานาน เราไม่จำเป็นต้องมีความลับกันไม่ใช่รึไง?”
ฉีไคเหวินบังคับตัวเองไม่ให้ชกใบหน้าของรุ่นน้องตัวดี เขาตีหน้ายิ้มแล้วถามออกไป
“ลองเดาสิ”
กระนั้นบรรณารักษ์ยังคงตอบกลับด้วยประโยคเดิม แถมยังขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างล้อเลียนอีกต่างหาก