บทที่ 28 ช่างน่าพอใจจริง ๆ!
บทที่ 28 ช่างน่าพอใจจริง ๆ!
[ใช้เหยื่อที่อ่อนแอกว่าล่อให้ชายลึกลับออกมางั้นเรอะ ฉันไม่รู้ว่านายโง่ หรือคิดว่าคนอื่นจะโง่บรมเหมือนนาย?]
[ทำไมชายลึกลับที่เปรียบได้กับพระเจ้าจะต้องมาสนใจด้วย ฝันไปเหอะ!]
[พวกนายด่าว่าชายลึกลับเป็นคนขี้ขลาด ทำไมไม่คิดจะย้อนมองดูตัวเองบ้าง? ถ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอนะ ไปท้าทายน้องใหม่อย่างเฉินชงก่อนเลย โค่นเขาได้ก่อนเหอะ ถึงไปท้าทายชายลึกลับนั่น ถ้าหากเฉินชงรับคำท้าจากใครสักคนง่าย ๆ เหมือนกัน ก็ไม่ต่างกับว่าไปลดตัวเขาเหรอ]
[ฉันสนับสนุนนายให้ไปท้าเฉินชง หวังว่ามันจะช่วยตอกย้ำความโง่บรมในสมองน้อย ๆ ของนาย!]
มีความเห็นสนับสนุนชายลึกลับอย่างท่วมท้น พวกเขารัวคีย์บอร์ดต่อว่าเหล่าคนที่วิจารณ์ปากแจ๋ว พวกปากเก่งที่ต่อว่าชายลึกลับทั้งหลายจึงยุติคำวิจารณ์ทั้งหมดในเวลาต่อมา
แม้ว่าชายลึกลับจะโดนประณาม และถูกต่อว่าว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอให้เขาปรากฏตัวอีกครั้ง
โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่ใกล้จะเรียนจบในอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเขาหวังจะได้รู้ว่าใครคือชายลึกลับก่อนที่พวกเขาจะจบออกไป!
พอเจียงเหมี่ยวอวี๋กลับเข้ามาในหอพัก เธอก็ได้ยินเพื่อนร่วมห้องของเธอบอกว่าชายลึกลับไม่ได้ปรากฏตัว เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดีแล้วล่ะที่เขาไม่ได้ปรากฏตัว ไม่อย่างนั้นนะ ฉันคงพลาดโอกาสพบเขา”
วันต่อมา…
ชั้นเรียนรวมที่มีคนมากกว่าร้อยคนจากสาขาชีววิทยาการแพทย์ กฎหมายการแพทย์ และวิชาประวัติศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้สิ้นสุดลง ฟางชิวก็สิ้นสุดวิชาเรียนในวันที่สองในรั้วมหาวิทยาลัยเช่นกัน
หลังจากมื้อเย็น ภายใต้สายตาที่อธิบายไม่ได้ของพวกรูมเมต ฟางชิวตั้งใจจะไปสวนที่นัดกับเจียงเหมี่ยวอวี๋อีกครั้ง
แต่ก็มีใครบางคนมาขวางเขาไว้ขณะที่กำลังเดินอยู่
คนนั้นคือหลี่ชิงสือ
ฟางชิวเบือนหน้ามองชายที่ปรากฏตัวเข้ามาขวางหน้าเขา
ชายคนนั้นมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฟางชิว นายยังซ้อมร้องเพลงกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ในพิธีเปิดเทอมอยู่หรือเปล่า?”
หลี่ชิงสือถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาระคนยโส
ในสายตาของเขา ฟางชิวไม่มีอะไรเทียบเขาได้เลยแม้แต่นิด
ทว่าฟางชิวกลับทำเพียงแค่เหลือบตามองหลี่ชิงสือเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เดินอ้อมตัวอีกฝ่ายแล้วจากไป
หลี่ชิงสือผงะกับท่าทีเมินเฉยของฟางชิวที่แสดงออกมา สีหน้าของเขาขรึมลงทันที เขาก้าวเข้าไปหาฟางชิวอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉันพูดกับนายอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง?!”
ไอ้ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?
เขาเป็นถึงประธานสมาคมนักศึกษาแพทย์แผนจีน…
ถือว่าเป็นใหญ่กว่าของนักศึกษาแพทย์แผนจีนทุกคน รวมทั้งไอ้เวรฟางชิวนี่ด้วย!
ไอ้ลูกรักพระเจ้า!
‘มีนักศึกษาคนไหนกันที่ไม่แสดงความนับถือเมื่อเห็นฉันบ้าง? วันนี้ฉันถูกไอ้เด็กใหม่นี่เมินอีกแล้ว!’
‘เมื่อวันก่อนที่สนามก็เมินฉัน แล้ววันนี้ก็เมินฉันอีกรอบ!’
‘นายคิดว่าตัวเองเป็นใครหา?!’
ถึงอย่างนั้นฟางชิวก็ไม่ได้สนใจหลี่ชิงสือเลย และยังเดินอ้อมจากไปอีกครั้ง
หลี่ชิงสือโกรธมากเพราะอีกฝ่ายเมินตนถึงสองครั้งติดกัน เขาจึงจงใจฟาดมือตัวเองไปที่ฟางชิว
แต่ฟางชิวก็สามารถหลบทิศทางการฟาดมือของหลี่ชิงสือได้อย่างง่ายดาย ทำให้เท่ากับว่าประธานสมาคมนักศึกษาคนนี้ฟาดไม่โดนอะไรเลย
นั่นยิ่งทำให้หลี่ชิงสือโกรธมากขึ้นไปอีก!
แต่เดิมเขาตั้งใจจะมาพูดกับฟางชิวดี ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถระงับความโกรธในใจของตัวเองได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่กับเทพธิดาในดวงใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งนี้ยิ่งทำให้หลี่ชิงสือโกรธมากขึ้นไปอีก
หลี่ชิงสือปรากฏตัวขวางหน้าฟางชิวเป็นรอบที่สาม สีหน้าคล้ำดำมืด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ให้ห่างเจียงเหมี่ยวอวี๋ซะ และถอนตัวจากการแสดงร่วมกับเธอในพิธีเปิดภาคเรียนนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่าฉันหยาบคายก็แล้วกัน”
“หยาบคายเหรอ?”
ฟางชิวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้า เขามองไปที่หลี่ชิงสือแล้วตอบว่า “ก็เอาเลยสิ”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เบี่ยงตัวออกจากหลี่ชิงสือแล้วเดินจากไป
หลี่ชิงสือหันศีรษะมองตามแผ่นหลังของฟางชิวอีกครั้งพร้อมกับกำหมัดแน่น ชายหนุ่มสูดลมหายใจอย่างโกรธจัด
ฟางชิวไม่สนใจที่จะเก็บเรื่องที่หลี่ชิงสือคุกคามเขามาคิดให้เป็นเรื่องใหญ่ ตลอดมาชายหนุ่มเอาชนะอุปสรรคมาตั้งมากมาย เขาเคยกลัวใครที่ไหนกัน?!
ก่อนที่เขาจะมาถึงสวนที่นัดซ้อมการแสดงกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ ฟางชิวก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในคนกลุ่มนั้นเป็นนักศึกษาหญิงที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายเมื่อวันก่อน
สมาชิกในครอบครัวล้อมตัวเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ ไม่นานก็เดินออกจากมหาวิทยาลัยไป
ไม่เพียงแค่ฟางชิวเท่านั้นที่สังเกตเห็น นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบบริเวณก็เห็นเช่นกัน
ฟางชิวได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาจึงรู้ว่าพ่อแม่ของเธอที่อยู่ห่างออกไปรีบมาที่นี่ในชั่วข้ามคืนด้วยความกลัวและตกใจมากที่ได้ข่าวว่าลูกสาวตัวเองพยายามจะฆ่าตัวตาย
ผลสุดท้ายก็คือ… เธอยอมลาออก
มันเป็นทางเลือกเดียวสำหรับมหาวิทยาลัย เธอ… และพ่อแม่ของเธอ
หมดหนทางอื่นแล้ว…
สำหรับเรื่องนี้ การเรียนในมหาวิทยาลัยไม่สำคัญอีกต่อไปสำหรับพ่อแม่ของเธอ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของลูกสาว!
นักศึกษาหญิงลาออก ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุอย่างชือเซียงนั้นมีเพียงบทลงโทษแค่พักการเรียนหนึ่งปีและถูกตักเตือนอย่างรุนแรงเท่านั้น
ช่างน่าขันและไร้สาระเป็นที่สุด!
แต่ฟางชิวก็ยังไม่ลืมคำพูดที่เขาเคยพูดกับไอ้สารเลวนั่นไว้ ‘ฉันจะซัดนายทุกครั้งที่เห็นหน้านาย!’
ฟางชิวมองนักศึกษาสาวเดินหายไปจากประตูมหาวิทยาลัยแล้วหันหลังกลับอย่างเงียบ ๆ
ชายหนุ่มมาถึงที่สวน และพบว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ได้มาถึงก่อนแล้ว เธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งข้างโต๊ะหินใต้ต้นไม้
“ขอโทษนะที่มาช้า” ฟางชิวขอโทษอย่างเร่งรีบ
ไม่เหมาะสมจริง ๆ ที่ปล่อยให้ผู้หญิงรอ
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งจะมาถึง”
“ฝึกภาษากวางตุ้งเป็นยังไงบ้าง?” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามด้วยความกังวลและสังเกตการแสดงออกของชายหนุ่มอย่างรอบคอบ
แต่แล้ว เธอกลับไม่เห็นสีหน้ากังวลบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลย เธอจึงรู้ว่าฟางชิวสามารถร้องภาษากวางตุ้งได้แล้ว
“ฉันเข้าใจหมดแล้ว” ฟางชิวพูด
“สุดยอด!” เจียงเหมี่ยวอวี๋อุทานแล้วถามต่อ “งั้นแสดงว่าเมื่อวานนี้ นายซ้อมหนักมากหลังจากที่พวกเราแยกย้ายกันใช่ไหม?”
“เปล่า… ก็แค่พอถูไถน่ะ” ฟางชิวพูดด้วยท่าทางอายนิด ๆ
ชายหนุ่มไม่กล้าบอกความจริงว่า เขาฟังเพลงทั้งหมดแค่สิบนาทีเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ได้ฟังมันต่ออีกเพราะจำและร้องได้หมดแล้ว
แต่เจียงเหมี่ยวอวี๋คิดว่าฟางชิวแค่ถ่อมตัว “อย่างแรก พวกเราจะลองร้องด้วยกันรอบหนึ่งก่อน แล้วฟังว่าเป็นยังไง จากนั้นก็ค่อยร้องกันหลาย ๆ รอบ ดีไหม?”
ฟางชิวพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ร้องเป็นภาษาจีนกลาง
“นักศึกษาทุกคน…”
“หาที่นั่งของตัวเอง…”
“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”
เพลงท่อนแรกทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาพึงใจกับเสียงของเธอมาก
การฟังสาวสวยร้องเพลงเพราะ ๆ มันเป็นอะไรที่เพลิดเพลินเป็นที่สุด
“มองไปข้างหน้า…”
“ลองนึกภาพว่าการสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมนั้นสวยงามเพียงใด…”
“จ่ายค่าเล่าเรียนที่ลืมไม่ลง…”
“ปีถัดไปที่ไร้ซึ่งความหยาบคาย…”
“พรุ่งนี้มักเป็นเทอมใหม่ของเราเสมอ…”
“ชั่วชีวิตคนเรา…”
“ในบทเพลงที่จบลง…”
“เป็นยังไงบ้าง?” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
“เพราะดีนะ!” ฟางชิวพูดพลางยกนิ้วโป้งให้
“ขอบคุณจ้ะ ตานายแล้ว”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นก็นั่งฟังด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ประเด็นสำคัญของเพลงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าฟางชิวออกเสียงภาษากวางตุ้งถูกต้องหรือไม่ และจะสามารถร้องเพลงได้ไพเราะพอ ๆ กับต้นฉบับหรือเปล่า
ฟางชิวกระแอมในลำคอแล้วร้องเพลงเบา ๆ
“นักศึกษาทุกคน…”
“หาที่นั่งของตัวเอง…”
“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”
แค่เพียงท่อนแรก
ดวงตาของเจียงเหมี่ยวอวี๋เบิกโพลงขึ้นทันที
“ออกเสียงได้ชัดอะไรอย่างนี้!”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ภาษากวางตุ้ง แต่เธอก็เคยได้ยินเพลงนี้มาหลายครั้ง เธอจึงรู้ว่าการออกเสียงภาษากวางตุ้งของชายหนุ่มนั้นชัดเจนมาก
“ไม่แปลกใจเลยที่ยังใจเย็นอยู่ได้ อย่างที่คาดไว้ เขาย่อมมีเหตุผลที่ตัวเองมั่นใจได้ขนาดนี้”
เธอยังคงฟังต่อไป
แทนที่จะเน้นฟังที่การออกเสียง เธอกลับสนใจเสียงร้องของฟางชิวมากกว่า
“เสียงเพราะเกินไปแล้ว!”
“ไม่น้อยหน้าไปกว่าแฮกเกน ลี ที่เป็นเจ้าของเพลงเลย!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ไม่ได้คิดจับผิดข้อบกพร่องในการร้องเพลงของอีกฝ่ายอีกต่อไป เธอรู้สึกชื่นชอบการร้องเพลงของฟางชิวจากใจจริง!
เพลงได้จบลงแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” ฟางชิวถามเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยคำถามเดียวกัน
“เพราะมากเลยล่ะ!” เจียงเหมี่ยวอวี๋เอ่ยชมอย่างจริงใจ
“เธอชมฉันเกินไปแล้ว” ฟางชิวตอบอย่างถ่อมตัว
“ไม่เลยนะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋ส่ายหัวแล้วพูด
นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ฟังผู้ชายร้องเพลงเพราะขนาดนี้
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของโทนเสียงหรืออารมณ์ของเพลง ชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็สามารถเข้าถึงแก่นแท้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในปาร์ตี้รับน้องใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เธอไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงฟางชิวร้องเพลง นั่นเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมในตอนนั้นมีปัญหา
แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ทั้งสองตั้งใจฟังอีกฝ่ายร้องเพลง
แล้วทั้งคู่ก็พบว่าไพเราะมาก
คนหนึ่งร้องเพราะ
อีกคนหนึ่งก็ร้องเพราะมาก ๆ!
ทั้งคู่ไม่ได้สอพลออีกฝ่ายเกินจริงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาต่างชื่นชมอีกฝ่ายอย่างใจจริง
“ถ้าอย่างนั้นเรา… ร่วมแสดงกันได้ใช่ไหม?” ฟางชิวถาม
“แน่นอน!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองลึกเข้าไปในดวงตาของฟางชิวแล้วเอ่ยต่อ “ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าทักษะทางด้านดนตรีของนายจะสูงขนาดนี้ นายฝึกภาษากวางตุ้งในเวลาอันสั้นแล้วร้องออกมาได้อย่างไร้ที่ติเลย”
“ไหนจะทักษะทางด้านดนตรีและการจัดกระดูกอีก ฟางชิว นายดูเหมือนจะมีความลับมากมายซ่อนอยู่นะ!”
ฟางชิวทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแต่ไม่ตอบอะไร
“นี่พวกเธอ!”
ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็มีสาว ๆ สามคนปรากฏตัวขึ้น พวกเธอกระโดดเข้าหาคนทั้งคู่ ทำเอาเจียงเหมี่ยวอวี๋ตกใจกับการปรากฏตัวนี้มาก
ทั้งสามสาวทำเพื่อนสาวตกใจได้แล้วก็ผละออกมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อยู่ที่นี่กันนี่เอง”
จากนั้นพวกเธอก็ชี้ไปที่ฟางชิว “ฟางชิว นายไม่ควรจะกั๊กตัวเจียงเหมี่ยวอวี๋ไว้เองแบบนี้นะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าสวยของเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็แดงเล็กน้อย เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แนะนำคนที่มาใหม่ให้ฟางชิวรู้จัก “พวกเธอเป็นรูมเมตของฉันเอง หวงหมานหม่าน เฉิงหลิน และหยวนเป้ย…”
ฟางชิวลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว “สวัสดี ฉันชื่อฟางชิว”
“พวกเรารู้จักนาย!”
หยวนเป้ย สาวร่างสูงเพรียวบางพูดว่า “นายคือคนที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าเหมี่ยวอวี๋ใช่ไหม? นายเนี่ยเหมือน ‘ฮีโร่ที่ช่วยสาวงาม’ เลย”
“ไม่ใช่ ‘ฮีโร่ที่ช่วยสาวงาม’ หรอก มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยน่า” ฟางชิวเอ่ย
“นายเป็นคนที่ถ่อมตัวมากเลยนะ แต่ถ้านายอยากจะไล่ตามเหมี่ยวอวี๋ของพวกเรา นายคงต้องรอนานหน่อย เพราะเหมี่ยวอวี๋เคยพูดว่าจะตั้งใจเรียนอย่างหนัก ไม่สนใจเรื่องหาแฟนในช่วงสองปีแรกในมหาวิทยาลัย”
หยวนเป้ยว่าพลางขยิบตาให้ฟางชิว
“ก็…”
ฟางชิวรู้สึกเขินอาย เขายอมรับในใจว่าแอบชอบเธออยู่เหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นเมื่อวานเขาคงไม่สะอึกกับคำว่า ‘แต่นายก็ยังสบายดีอยู่นี่ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรใช่ไหมล่ะ?’ จากเจียงเหมี่ยวอวี๋หรอก
‘แต่มันดีจริงเหรอที่จะแสดงออกตรง ๆ?’
เจียงเหมี่ยวอวี๋ผลักหยวนเป้ย เพราะอีกฝ่ายทรยศเธอที่ดันมาบอกความจริงแบบนี้
ความตั้งใจที่จะไม่มีการสานสัมพันธ์ใด ๆ ในช่วงสองปีแรกของการเข้ามหาวิทยาลัยมันคือแผนที่เธอวางไว้ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยนี้
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นอิสระจากความตั้งใจนั้นแล้ว
หยวนเป้ยหัวเราะในขณะที่วิ่งหนีเจียงเหมี่ยวอวี๋ไปรอบ ๆ ต่อมาอีกสองคนอย่างหวงหมานหม่านและเฉิงหลินก็ร่วมด้วยเช่นกัน พวกเธอไม่ได้สนใจชายที่กำลังมองพวกเธออยู่ใกล้ ๆ กันเลย
ต่อมาทั้งสวนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
“เจ้าห้า นายอยู่นี่เอง!”
มีเสียงดังอีกเสียงตามมา คนที่เหลือเลยแปลกใจมาก
ฟางชิวหันหน้าไปทิศทางของเสียงเรียก แล้วก็เห็นรูมเมตของเขากำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ
ฟางชิวสงสัยมากว่ารูมเมตทั้งสามมาที่นี่ได้เหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไร?
แต่หนุ่ม ๆ ทั้งสามคนที่มาใหม่นั้นไม่สนใจฟางชิวแต่อย่างใด ทั้งสามกลับรีบเดินเข้าไปหาสี่สาว ก่อนจะทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีครับสาวงามทั้งสี่ พวกเราคือรูมเมตของฟางชิว ยินดีที่ได้รู้จัก!”
หลังจากนั้นซุนฮ่าวก็เสริมว่า “พวกเราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เจอสี่สาวงามขนาดนี้ตั้งแต่เปิดเทอม พวกเราโชคดีมากจริง ๆ!”
จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่
ฟางชิวมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ ตอนนี้ทั้งสามคนทำหน้าซื่อตาใสผิดจากปกติอย่างยิ่ง
“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
ทั้งสี่สาวที่กำลังวิ่งไล่จับกันรอบ ๆ ต่างก็แยกออกจากกันเมื่อเห็นหนุ่ม ๆ กำลังเข้ามา
พวกเธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นทั้งสามคนพูดออกมาเหมือนเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง
เมื่อเห็นสาวสวยยิ้ม หนุ่ม ๆ ทั้งสามคนก็ดีใจ พยายามจะขายตัวเองอีกครั้ง
ในเวลานี้ ฟางชิวก็เดินเข้ามาแล้วโอบแขนรอบคอทั้งสามรูมเมต “อืม… เอาล่ะ ในเมื่อพวกนายอยู่ที่นี่ ลองฟังเจียงเหมี่ยวอวี๋กับฉันร้องเพลงไหม”
“ได้เลย!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋คว้าตัวเพื่อนร่วมห้องของเธอให้นั่งบนม้านั่งแล้วพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราร้องเพลงนี้ด้วยกัน ช่วยแนะนำพวกเราด้วยนะ”
“โอเค!”
จูเปิ่นเจิ้งตอบกลับคนแรกแล้วรีบนั่งลงข้าง ๆ ทันที
ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนมองตากัน เห็นแววตาเสียใจและเย้ยหยันจากอีกฝ่าย
ทั้งสองต่างเสียใจที่คิดช้ากว่าพี่คนโตที่จองที่นั่งไปแล้วเรียบร้อย
ม้านั่งสามารถนั่งได้หกคน ทั้งสามสาวนั่งอยู่ด้วยกันแล้ว ดังนั้นทั้งสามหนุ่มที่เหลือเลยนั่งลงด้วย และเพราะเหตุนี้จึงมีเพียงชายหญิงคู่เดียวที่ได้นั่งติดกัน
กลายเป็นจูเปิ่นเจิ้งที่แย่งชิงโอกาสนี้ไป!
“ฉันล่ะเกลียดผู้ชายกะล่อนเจ้าชู้คนนี้จริง ๆ!”
ในเวลานั้น ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่ยืนอยู่ต่อหน้าทั้งหกก็เตรียมตัวจะร้องเพลงด้วยกัน…