บทที่ 39 ฉันต้องการเธอ!
บทที่ 39 ฉันต้องการเธอ!
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างยืนเขย่งเท้าเพื่อมองหาร่างของฟางชิว เมื่อวานฟางชิวอยู่ไกลจึงทำให้ผู้คนมองเห็นรูปร่างหน้าตาของฟางชิวไม่ชัดเจน
ในที่สุดวันนี้ก็ได้มีโอกาสเจอตัวจริงสักที
พอชื่อของฟางชิวดังออกมา ฝูงชนก็โกลาหล สีหน้าของหลี่ชิงสือฝืนธรรมชาติขึ้นมานิด ๆ เขาแอบลอบพึมพำในใจว่า
‘เวลาตกจากที่สูงมันเจ็บอยู่แล้ว ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น!’
“ไอ้สารเลวนี่!” จูเปิ่นเจิ้งกัดฟันพูดด้วยเสียงต่ำ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการกระตุ้นให้ฟางชิวเดินเข้าสู่กับดัก วิธีนี้ดูไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ได้ผลเกินคาด! ฟ้ากับเหวไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบด้วยกันได้จริง ๆ
“ไม่ต้องห่วง เรามาที่นี่ก็เพื่อมาจัดการเขาโดยเฉพาะนั่นแหละ!”
ฟางชิวกระซิบบอกเพื่อนเขาทั้งสามคน “ในเมื่อฝ่ายนั้นอยากรนหาที่เอง พวกเราก็ไม่ต้องกังวล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งสามคนในหอพักก็โล่งใจ แต่การเป็นเหมือนเป็ดที่ว่ายวนแต่ในอ่างแบบนี้โคตรน่าอึดอัดใจ!
ฟางชิวชูแขนขึ้น โบกมือให้ทุกคนด้วยรอยยิ้มเพื่อเป็นการตอบสนองต่อคำพูดของหลี่ชิงสือ
“ว้าว! นั่นคือฟางชิว! หล่อมาก! หล่อมาก!”
“ไหน ๆ ทำไมฉันไม่เห็น”
“นั่นไง คนที่กำลังยิ้มใส่เสื้อยืดสีดำ!”
“หล่อมากจ้า! หล่อมาก!”
…
เจียงเหมี่ยวอวี๋นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลังของชมรมฝังเข็มพลางเหลือบมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ เธอรู้สึกอึ้งความนิยมของฟางชิว ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้
เธอรู้สึกเป็นห่วงฟางชิวมากกว่า เห็นอยู่ว่าหลี่ชิงสือไม่ใช่คนดี และเพราะเธอรู้สึกเกลียดวิธีการของหลี่ชิงสือ ดังนั้นจึงหันมาสนใจฟางชิวแทน
หลี่ชิงสือยิ้ม และโบกมือให้ฟางชิวพร้อมพูดว่า “เพลงที่ฉันจะร้องก็คือ ‘ฉันต้องการเธอ’” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหยุดชั่วคราวแล้วหว่านเสน่ห์ต่อว่า “ฉันอยากมอบเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันมองไปในทิศทางที่เจียงเหมี่ยวอวี๋นั่งอยู่
“โอ้โห!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ชมก็พากันโห่ร้องและหัวเราะอย่างชอบใจ
หลี่ชิงสือจะร้องเพลง ‘ฉันต้องการเธอ’ แถมยังร้องให้ผู้หญิงอีกต่างหาก
ไม่กลัวขายหน้าเลยจริง ๆ ไม่คิดที่จะรักษาหน้าเอาไว้หน่อยหรือ!
แต่คำสารภาพรักนี้โรแมนติกชะมัด!
สาว ๆ หลายคนที่สนามกีฬารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะพวกเธอก็หวังว่าตนจะเป็นผู้หญิงที่หลี่ชิงสือกล่าวถึง
แต่ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวเองก็ตาม แต่ขอเพ้อฝันว่าจะได้พบกับเจ้าชายผู้มีเสน่ห์มาสารภาพรักต่อหน้าทุกคนในอนาคตก็ยังดี
เจียงเหมี่ยวอวี๋แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของหลี่ชิงสือ เธอยังคงจัดอุปกรณ์ในชมรมต่อไป
ร่องรอยของความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่ชิงสือ แต่เขาก็ยังคงพูดต่อ “ถึงเธอจะยังไม่รู้ความในใจของฉัน แต่ฉันหวังว่าความจริงใจที่แสดงออกผ่านเพลงนี้จะทำให้เธอรับรู้ได้!”
ทันทีที่สิ้นคำ เสียงปรบมือจากทั่วทุกสารทิศก็ดังขึ้นให้กับความรักอันลึกซึ้งซ่อนเร้นนี้!
“น่าขยะแขยง! ไอ้หัวหมอ!” โจวเสี่ยวเทียนถ่มน้ำลายลงบนพื้นอย่างหงุดหงิด
“อย่าว่าเขาไปเลยน่า เรียนรู้แล้วเอาไปใช้สารภาพรักในอนาคตก็ยังได้” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวจากมุมมองในความเป็นจริง
ซุนฮ่าวพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็กล่าวอย่างเสียใจว่า “ถึงวิธีการที่จอมวายร้ายอย่างหลี่ชิงสือใช้คำสารภาพรักครั้งนี้มันจะน่าขยะแขยงแค่ไหน ฉันก็จะเอาไปใช้ แต่ขอปรับให้เข้ากับฉันก่อน!”
“อย่ามาแย่งกับฉัน ฉันจองวิธีนี้แล้ว พวกนายไปคิดหาวิธีอื่นสิ!” โจวเสี่ยวเทียนพูดอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
“ฟังเพลงเถอะ” ฟางชิวพูดพลางยกมือกอดอก
หลี่ชิงสือที่อยู่กลางสนามกีฬาพยักหน้าให้กับสมาชิกจากชมรมศิลปะพื้นบ้าน
ผู้คนจากชมรมศิลปะพื้นบ้านส่งสัญญาณ ‘ตกลง’ ทันที
เมื่อได้สัญญาณแล้วหลี่ชิงสือก็ประคองไมโครโฟนในมือของเขาด้วยสายตารักใคร่ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าในมุมสี่สิบห้าองศาด้วยดวงตาที่เศร้าโศก แล้วก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางเศร้าโศกเสียใจเพราะความรัก
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนจ้องมองทุกย่างก้าวของหลี่ชิงสือ จากนั้นจึงวิเคราะห์อย่างรวดเร็วว่าเหมาะสมกับตนหรือไม่ จะได้เตรียมจดเอาไว้เพื่อใช้ในภายหลัง
เสียงเพลงดังออกมาเบา ๆ จากลำโพงที่อยู่รอบ ๆ สนามกีฬา ก่อนจะดังแผ่ไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
ในชั่วพริบตา ทั้งสนามก็เงียบสงบลง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมและเสียงจักจั่นร้อง
“ฉันอยากให้เธออยู่เคียงข้างฉัน
ฉันอยากดูเธอแต่งหน้า
สายลมที่พัดคืนนี้ พัดจนใจฉันเจ็บเหลือเกิน แม่สาวน้อย
ฉันได้แต่นั่งมองดูดวงจันทร์ อยู่ยังแดนไกล
พยายามส่งเสื้อผ้าสวย ๆ ไปให้เธอ
มองดูเธอแต้มดอกไม้สีเหลืองที่กลางหน้าผาก
คืนนี้ฉันประหม่าเหลือเกิน
คืนนี้เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน แม่สาวน้อย
เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นใด…”
เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทุกคนอึ้ง เพราะยังคงไม่มีใครพูดอะไรออกมา แม้แต่เสียงลม เสียงจักจั่นก็ยังไม่มี
เพราะมาก!
เพราะเกินไปแล้ว!
น้ำเสียงน่าหลงใหล อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วยอารณ์อีกต่างหาก!
พวกเขาจินตนาการไปถึง สาวสวยคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและหวีผมอย่างช้า ๆ
ผู้ชายที่ยืนข้างกันมองเธอด้วยรอยยิ้มราบเรียบ กระนั้นในดวงตาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พอสายลมของกลางคืนพัดผ่านมา ฉากก็แปรเปลี่ยน
อากาศของกลางดึกที่แสนหนาวเหน็บ มองเห็นดวงจันทร์ราง ๆ ที่อยู่บนฟ้าไกลลิบ ๆ
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ถือชุดใหม่ในมือ มองดูดวงจันทร์อันส่องสกาวพร้อมกับถอนหายใจ
ยามที่ฉันอยู่แดนไกลอย่างนี้ แม่สาวน้อยจะปลอดภัยหรือไม่?
เป็นฉากที่สวยงามอะไรเช่นนี้!
หลายคนได้ซ้อนภาพของชายในจินตนาการกับหลี่ชิงสือเข้าด้วยกัน เพราะพวกเขาดูคล้ายคลึงกันจากก้นบึ้งของใจเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง
นั่นคือสิ่งที่ผู้คนในสนามกีฬากำลังคิด
หลี่ชิงสือยืนอยู่กลางสนามกีฬา เหมือนจะลืมสภาพแวดล้อมโดยรอบไปสิ้นเชิง เขาอุทิศตนให้กับความหมายของเพลงนี้อย่างเต็มที่
“ต้องโทษบรรยากาศของคืนนี้ ที่ทำให้คนเกือบจะเป็นบ้า”
“ต้องโทษกีตาร์ ที่เสียงแข็งเกินไป”
“โอ้ว ฉันอยากร้องเพลง”
“โอ้~ ฉันจะร้องเพลง”
“แอบคิดถึงเธอเงียบ ๆ แม่สาวน้อยของฉัน”
“เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด…”
ส่วนนี้เป็นท่อนพีคของอารมณ์เพลง
ท่อนนี้แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มแสดงความรักออกมาอย่างเต็มที่เพื่อมอบให้กับสาวสวยที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว ทำเอาคนฟังรู้สึกอินไปตาม ๆ กัน บรรยากาศจึงเงียบลงกว่าเดิม
เวลาที่คนอื่นร้องเพลงมักมีเสียงปรบมือ แต่หลี่ชิงสือนั้นร้องเพลงท่ามกลางความเงียบ
พูดถึงผลตอบรับของการแสดงนี้ได้เลย
“ต้องโทษบรรยากาศของคืนนี้ ที่ทำให้คนเกือบจะเป็นบ้า”
“ต้องโทษกีตาร์ ที่เสียงแข็งเกินไป”
“โอ้ว ฉันอยากร้องเพลง”
“แอบคิดถึงเธอเงียบ ๆ แม่สาวน้อยของฉัน”
“เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด”
หลี่ชิงสือร้องท่อนนี้สองครั้ง รอบแรกที่ร้องเป็นเหมือนการบ่นกับท้องฟ้า แต่รอบที่สองเป็นเหมือนการกระซิบ
แม้ว่ามันจะไม่มีพลังเสียงร้องเท่าในรอบแรก แต่พลังของอารมณ์เพลงก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
กลับกลายเป็นการเพิ่มความเศร้าโศกและความอ้างว้างมากขึ้นกว่าเดิม!
หลังจากที่หลี่ชิงสือร้องจบท่อนนั้นรอบที่สอง เสียงวิจารณ์เบา ๆ จากคนฟังก็ดังคลอไปทั่ว
“สุดปลายแผ่นดิน สุดขอบท้องทะเล
พยายามมองหาเพื่อนรัก
น้องสาวตัวน้อยก็ร้องเพลงและบรรเลงเปียโน
พวกเรารวมเป็นหนึ่งใจ…”
หลี่ชิงสือถือไมโครโฟนไว้ต่ำกว่าเดิมและก้าวต่อไปอย่างช้า ๆ
ในเวลานี้ซุนฮ่าวก็ถามฟางชิวอย่างหนักใจว่า “เจ้าห้า นายจะจัดการเขาไหวไหม”
จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนก็จ้องไปที่ใบหน้าของฟางชิวเช่นกัน พวกเขาชักกังวล ในความเห็นของพวกเขา เพลงที่หลี่ชิงสือร้องนั้นเพราะและสมบูรณ์แบบมาก
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยินบทเพลงต้นฉบับ แต่เหมือนว่าเวอร์ชันนี้จะไม่ต่างจากต้นฉบับเลย
เหล่ารูมเมตเริ่มเป็นห่วงฟางชิว กลัวว่าเจ้าห้าจะต้องอับอายขายหน้า
“ไม่มั่นใจในตัวฉันเหรอ?”
ฟางชิวถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปรายตาดูหลี่ชิงสือในช่วงสุดท้าย
เพลงนี้หลี่ชิงสือร้องได้สมบูรณ์แบบจริง ๆ
ทั้งอารมณ์ ทั้งน้ำเสียง ลงตัวทุกอย่าง
ที่สำคัญกว่านั้นคือไม่มีร่องรอยของการเลียนแบบ คนส่วนใหญ่จะเลียนแบบการร้องเพลงจากต้นฉบับโดยไม่รู้ตัว ในเวลาร้องเพลงที่ไม่คุ้นเคย
แต่หลี่ชิงสือไม่ได้เป็นแบบนั้น
นี่แสดงว่าเพลงนี้คือเพลงที่อยู่ในอันดับล่าง ๆ ที่เขาร้องได้อย่างแน่นอน และคงจะร้องเพลงนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่น่าแปลกใจที่เขากล้าพูดชื่อตัวเองและบังคับให้ฟางชิวมาแข่งกับเขา เพราะเขาเตรียมตัวมาดีนี่เอง
“ไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจนะ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี! เจ้าห้า บอกตามตรง นายช่วยตบหน้าเขาเพื่อล้างแค้นให้พวกเราได้จริง ๆ ใช่ไหม” จูเปิ่นเจิ้งถาม
ตอนนี้หลี่ชิงสือร้องเพลงถึงท่อนสุดท้ายแล้ว
“ฉันอยากให้เธออยู่เคียงข้างฉัน
ฉันอยากดูเธอแต่งหน้า
สายลมที่พัดคืนนี้ พัดจนใจฉันเจ็บเหลือเกิน แม่สาวน้อย…”
ทันทีที่เพลงจบลง เสียงปรบมือจากทั่วบริเวณนั้นก็ดังขึ้น
สนามกีฬาไม่ได้มีแต่เสียงปรบมือ มีเสียงเชียร์ด้วย ทั้งหมดล้วนสรรเสริญเยินยอความสามารถของหลี่ชิงสือ
“เพราะอะ!”
“เพราะจริง ๆ!”
…
ผู้คนในชมรมศิลปะพื้นบ้านรู้สึกภาคภูมิใจมาก
เพราะนี่คือรองประธานชมรมศิลปะพื้นบ้านของพวกเขา
หลี่ชิงสือยิ้มและโค้งคำนับไปรอบ ๆ
ปฏิกิริยารอบตัวเขานั้น ทำให้เขาพอใจมาก
เพลงนี้เป็นเพลงประจำของเขาที่ไม่เคยร้องในที่สาธารณะมาก่อน เขาแค่รอโอกาสเพื่อทำให้ทุกคนประหลาดใจ
สำหรับเพลงนี้ เขาขอให้ครูสอนร้องเพลงที่มีชื่อเสียงมาสอนวิธีการร้องเพลงนี้ให้โดยเฉพาะ
เขาไม่เชื่อว่าฟางชิวจะเอาชนะเขาได้
แม้ว่าฟางชิวจะร้องเพลง ‘เชิญดื่มสุรา’ ได้ แต่เขาก็มั่นใจว่าฝีมือของเขาสูสีกัน
เพลงเชิญดื่มสุราได้กระแสตอบรับดีก็จริง แต่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมด้วย
เพราะเวทีแบบปิดเหมาะกับบทเพลง ‘เชิญดื่มสุรา’ หรอก! แต่ไม่ใช่กับที่นี่ เพราะนี่เป็นสภาพแวดล้อมแบบเปิด
เพราะการร้องเพลง ‘เชิญดื่มสุรา’ นั้นก็ไม่ต่างจากการร้องระบายความในใจ
เขาแค่ต้องการรอให้ฟางชิว ร้องเพลง ‘เชิญดื่มสุรา’ อีกครั้งเพื่อที่เขาจะได้ชนะโดยไม่ต้องลงมือทำอะไรมาก! ตราบใดที่ฟางชิวร้องเพลงได้แย่กว่าเขา เขาเชื่อว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะสามารถมองเห็นมันได้อย่างแน่นอน
เพียงเจียงเหมี่ยวอวี๋มองเห็นเท่านี้ก็พอ! นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
แค่ฟางชิวก้าวขาออกมามันก็ตายแล้ว!
หลังจากหลี่ชิงสือโค้งคำนับและขอบคุณ เขาก็เงยหน้าขึ้น หยิบไมโครโฟนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมืออันอบอุ่น ขอจบการร้องเพลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ฉันก็ยังสงสัยว่าฉันจะดึงดูดความสนใจของเขาได้ไหม”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปยิ้มให้ฟางชิว
เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบ ๆ ก็เข้าใจทันที ทุกคนต่างปรบมือและให้กำลังใจ
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
…
ท่ามกลางเสียงเรียกชื่อ สาว ๆ รอบ ๆ ก็กรี๊ดเสียงดังกึกก้อง
“มารอดูกัน!”
ฟางชิวพูดกับรูมเมตทั้งสามคน พร้อมกับให้คำตอบจูเปิ่นเจิ้งไปในตัว พูดจบเขาก็เดินเข้าไปกลางสนามกีฬาด้วยรอยยิ้ม ภายใต้ความสนใจของทุกคน
เมื่อเห็นฟางชิวออกมา เสียงเชียร์รอบ ๆ ก็ดังขึ้น
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
…
“จะเลือกเพลงไหนดี เพื่อนร่วมชั้นฟางชิว?”
พอฟางชิวเดินไปที่กลางสนามกีฬา หลี่ชิงสือก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่งั้น ฉันจะขอให้ใครสักคนมาช่วยร้องคู่กับนาย”
เวลาที่พวกเขาสองคนยืนคู่กันนั้น ความหล่อเหลาของพวกเขาทั้งคู่แทบไม่แตกต่างกันเลย
เจียงเหมี่ยวอวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปที่ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางสนามกีฬา เธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับฟางชิว แต่เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องกังวลด้วย
ดูไม่มีเหตุผลเลย…
ความรู้สึกนี้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
“ไม่จำเป็น เอาเป็นเพลงที่นายร้องเมื่อกี้นั่นแหละ ฉันเองก็ชอบหนังเรื่องลาได้น้ำ เพลงประกอบก็ชอบ!” ฟางชิวกล่าวด้วยรอยยิ้มอยู่ที่ใจกลางสนามกีฬา
หลี่ชิงสือได้ยินคำตอบอย่างนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาไม่เพียงกระตุก แต่รอยยิ้มก็แข็งค้างไปด้วย
ฟางชิวกล้าร้องเพลงเดียวกันกับเขา!
การกระทำบ่งบอกทุกอย่างแล้ว!
นี่มันท้าทายเขาชัด ๆ!
แต่พอคิดดูแล้วก็สุขใจขึ้นมาเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการบดขยี้ฟางชิวหรือ ถ้าฟางชิวเลือกเพลงอื่น ความแตกต่างอาจไม่ชัดเจนนัก เลือกเพลงเดียวกันนี่แหละดีสุดแล้ว
แค่เปรียบเทียบนิดเดียวก็จะรู้ถึงความแตกต่างแล้ว!
หลี่ชิงสือมั่นใจมาก!
หลังคนรอบข้างได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองคนผ่านไมค์ เสียงเชียร์ก็ดังแว่ว
ฮ่า ๆๆ ร้องเพลงเดียวกัน
นี่หมายความว่าอะไร?
หมายถึงการแข่งขันยังไงล่ะ!
สองคนนี้น่าสนใจชะมัด!