บทที่ 41 ฉีกหน้าในที่สาธารณะ
บทที่ 41 ฉีกหน้าในที่สาธารณะ
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนต่างก็ตกตะลึงกับคำพูดอันอุกอาจของฟางชิว คิดไม่ถึงว่าฟางชิวจะแฉความสกปรกของอีกฝ่ายให้ทุกคนฟังโต้ง ๆ อย่างนี้
และดูเหมือนว่าฟางชิวจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง! พวกเขาถอยกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องสนับสนุนพี่น้องร่วมห้องเท่านั้น!
อย่างไรหลี่ชิงสือก็ไม่ได้เล่นงานฟางชิวคนเดียว แต่ยังเล่นงานสมาชิกทั้งหมดในห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง!
“ใช่ นายมีลูกไม้อะไรอีกก็เอาออกมาให้เถอะ เลิกเสแสร้งได้แล้ว กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ! ไม่ว่าจะยังไง พวกเราชาวห้องพักห้าศูนย์หนึ่งจะสยบมันทั้งหมดเอง!” จูเปิ่นเจิ้งฝ่าฝูงชนไปข้างหน้า ชี้นิ้วไปที่หลี่ชิงสือแล้วพูดออกมาเสียงดัง
ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนมองไปที่จูเปิ่นเจิ้งด้วยแปลกใจ แม้ว่าจูเปิ่นเจิ้งจะเป็นพี่ใหญ่ของหอพัก แต่เขามักจะมีนิสัยสบาย ๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร แต่คราวนี้อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แถมยังพุ่งตรงไปที่หลี่ชิงสืออีก
แน่วแน่มาก!
แน่นอนว่าที่เหลือไม่อิดออดที่จะทำตาม
“ใช่ ถ้านายยังแสแสร้งอีก พวกเราชาวห้องพักห้าศูนย์หนึ่งจะเปิดโปงมันเอง!” ซุนฮ่าวก้าวไปข้างหน้าแล้วชี้นิ้วไปที่หลี่ชิงสือ โจวเสี่ยวเทียนไม่ได้พูดอะไร ทว่าเจ้าตัวก็เดินขึ้นไปข้างหน้าเพื่อสมทบเพื่อน ๆ เช่นกัน
เมื่อทั้งสามคนพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิงสือติดต่อกันอย่างนี้ หลี่ชิงสือเลยได้แต่จ้องมองทั้งสามคนกลับด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด สีหน้าของเขาคล้ำลงเรื่อย ๆ
เขาไม่คาดคิดว่าฟางชิวจะแฉเขาในที่สาธารณะ แล้วสามคนก็นั้นยังสนับสนุนการกระทำของฟางชิวอีก
หลี่ชิงสือโกรธมาก!
ความโกรธจุกอกด้วยความอับอายขายขี้หน้า
หลังทั้งสามคนพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิงสือก็เดินไปสมทบฟางชิว ภาพที่พวกเขาทั้งสี่คนยืนอยู่ด้วยกันเลยปรากฏในหมู่ชน
“บางทีทุกคนอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฟางชิวพูด ฉันจะเล่าให้ฟังเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง!” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวเสียงดัง
“วันพฤหัสบดีที่แล้ว ได้มีขยะจำนวนมากถูกทิ้งในห้องพักของเราอย่างลึกลับ แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดกลับหายไปดื้อ ๆ สภานักศึกษาก็ส่งใบประกาศเตือนมา ฟางชิวของพวกเราไม่พอใจมาก เขาฉีกใบกระกาศทิ้ง สมาชิกสภานักศึกษาเลยมาดักเราที่ประตูหอ!”
“พวกเขาใช้โซ่เลยนะ!”
“แล้วใครกันล่ะที่มีอำนาจในการสั่งการให้สมาชิกจากสภานักศึกษามาจัดการกับหอพักเล็ก ๆ ใครกันที่สามารถทำให้ภาพจากกล้องวงจรปิดหายไปจากหอพักได้?”
“มีอีกนะทุกคน!”
“วันอังคารที่แล้ว ทั้งหอพักรับรู้ว่าฟางชิวได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนร้องประสานเสียง ‘พิธีเปิดของมหาวิทยาลัย’ คู่กับเจียงเหมี่ยวอวี๋ แต่วันต่อมาตำแหน่งของฟางชิวก็ถูกคนอื่นแทนที่อย่างลึกลับ เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงถ้าไม่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง!”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมบางคนถึงใช้วิธีที่น่ารังเกียจแบบนี้จัดการกับห้องพักของพวกเรา แต่ถึงยังไงพวกเราชาวหอพักห้าศูนย์หนึ่งก็จะตอบโต้ด้วยความตรงไปตรงมา หากพวกเราคนห้องห้าศูนย์หนึ่งยังทนยอมให้ถูกรังแกต่อไป ก็ไม่สมควรที่จะออกมาจากท้องแม่แล้ว! ”
“ใครก็ตามที่ใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนี้ ก็เป็นแค่ไอ้สารเลวคนหนึ่ง!”
“หลี่ชิงสือ นายจะกล้ายอมรับกับสิ่งที่ทำลงไปไหม!” จูเปิ่นเจิ้งไม่คิดจะยอมแพ้ในวันนี้
คำพูดเหล่านี้ทำให้คนรอบข้างตกใจ เพราะคำพูดฟังดูหยิ่งผยองอย่างยิ่ง!
นอกจากฟางชิวจะลงมือแบบไม่หวั่นเกรงแล้ว ในห้องพักห้าศูนย์หนึ่งยังมีคนที่ใจกล้ากว่าอีกหรือนี่
ฟางชิวหันไปยิ้มให้จูเปิ่นเจิ้ง ภายในใจพลันอุ่นวาบ
แบบนี้สิ ถึงจะนับว่าเป็นเพื่อนที่ดี!
เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดจากเขา เขาควรที่จะเป็นคนจัดการทุกอย่าง ไม่คิดว่าทั้งสามรูมเมตของห้องพักห้าศูนย์หนึ่งจะยืนหยัดช่วยกันจัดการปัญหาในครั้งนี้
ต่อหน้าทุกคนตอนนี้ ฟางชิวพยายามแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชาวห้องพักห้าศูนย์หนึ่งกำลังทำสงครามกับหลี่ชิงสือ! และยังทำสงครามกับสมาชิกสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์จีนทั้งหมดอีกด้วย!
คำพูดของจูเปิ่นเจิ้งนั้น อธิบายถึงสาเหตุและผลกระทบที่ได้รับ
ทำไมฟางชิวถึงต้องฉีกหน้าหลี่ชิงสือ?
ทำไมชาวห้องพักห้าศูนย์หนึ่งทั้งหมดถึงทำแบบนี้น่ะหรือ?
เป็นเพราะมีคนมาดักพวกเขาไง!
แถมยังมีคนแย่งตำแหน่งในการขึ้นแสดงพิธีเปิดของฟางชิวอีก!
พวกเขาต้องกล้าที่จะโต้กลับ!
ใครกันมีอำนาจมากที่สุด?
จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ หลี่ชิงสือประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยการแพทย์จีน!
ทุกคนในบริเวณนั้นพากันมองหลี่ชิงสือด้วยความสงสัย
เดิมที ภาพลักษณ์ของหลี่ชิงสือในหัวใจของพวกเขานั้นสูงส่งและสมบูรณ์แบบมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของหลี่ชิงสือจะลดต่ำลง
“ทำห้องพักให้สกปรกแล้วจัดฉากสภานักศึกษาตรวจสอบ?”
“ทั้งยังแย่งตำแหน่งของคนอื่นไปในงานพิธี แบบนี้มันไร้ยางอายจริง ๆ!”
สายตาที่เย็นชาของหลี่ชิงสือกวาดไปที่ชายทั้งสี่คนของห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง
ความโกรธของหลี่ชิงสือทำให้เขารู้สึกตื่นตัวมากยิ่งขึ้น!
เขาถูกฉีกหน้าในที่สาธารณะ แถมยังเป็นกลุ่มน้องใหม่อีก!
อัปยศ!
อัปยศอดสูยิ่งนัก!
“ใส่ร้ายคนอื่น มีใครบ้างล่ะที่พูดไม่เป็น!”
“ถ้าพวกนายมีหลักฐานอะไรก็เอามันออกมาสิ พวกนายใส่ใจสถานที่ด้วยเหรอ? ฉันไม่กลัว ฉันหลี่ชิงสือ กล้าทำกล้ารับอยู่แล้ว! ฉันไม่กลัวหรอกนะว่าคนอื่นจะพูดยังไง เพราะคนบริสุทธิ์ย่อมไม่กลัวความไม่ยุติธรรม!”
คำพูดของหลี่ชิงสือทำให้ผู้ชมเกิดความลังเลขึ้นมาในทันที
คำพูดนี้ดูจริงใจมาก ไม่ได้ดูปลอมสักนิด
ใครกันแน่ที่โกหก?
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนได้ยินดังนั้นก็พากันโกรธจัด
มารดาเถอะ! ทำเรื่องสกปรกมามากมาย แต่นายก็ยังกล้าปัดทิ้งอีก!
“พวกเราทุกคนเป็นนักศึกษาธรรมดา แต่นายเป็นประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย พวกเรามาพูดในที่สาธารณะทำไมน่ะหรือ ก็เพื่อความยุติธรรมไงล่ะ!”
ซุนฮ่าวพูดเสร็จก็หันกลับมาพูดกับฝูงชนต่อ “น้องใหม่ไร้อำนาจที่ไหนจะกล้าต่อกรกับประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยในที่สาธารณะอย่างนี้ ลองคิดดูสิว่าอะไรที่ทำให้พวกเรากล้าทำอะไรแบบนี้?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังออกมา ความลังเลของทุกคนก็หายไปทันที
ที่พูดมันก็จริง
นักศึกษาธรรมดาทั้งสี่คนนี้ที่ไม่มีอำนาจคงมีความแค้นอัดอยู่มากมาย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าที่จะต่อสู้กับประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางในอนาคตของตน
ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่มีทำผิดต่อกัน ทุกคนในสังคมมีความสมานฉันท์ต่อกัน จะมีใครกล้าทำให้คนอื่นขุ่นเคืองในที่สาธารณะเหรอไง เพราะถูกคุมคามจากผู้มีอำนาจต่างหากล่ะ
เพราะทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจให้ผู้อ่อนแอกว่า จึงเริ่มเชื่อคำพูดของชายทั้งสี่คนของห้องพักห้าศูนย์หนึ่งอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว หลี่ชิงสือก็รู้สึกโกรธระคนวิตกกังวล ชักเสียใจที่ไม่ได้พาสมาชิกของสภานักศึกษามาที่นี่ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ถูกไล่ต้อนแบบนี้หรอก
เขาตัดสินใจที่จะเล่นไปตามบท เพื่อไม่ให้เสียเวลา เพราะเขาจะบดขยี้ฟางชิวด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอง
เมื่อถึงเวลานั้นมันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เพราะการถูกใส่ความนั่นคือสิ่งที่แกสมควรได้รับ!
กอดโอกาสของแกเอาไว้ให้ดี แกไม่ได้ดีเท่าคนอื่นหรอก!
“ความจริงคืออะไร พวกนายเข้าใจแบบไหน ฉันก็เข้าใจแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องมาเล่นลิ้นที่นี่!”
“หยุดพูดไร้สาระเถอะฟางชิว นายเลิกเปรียบเทียบได้แล้ว วันนี้ฉันจะทำให้นายรู้ว่าด้านนอกยังมีคนเก่งระดับเทพอยู่อีกมาก!” หลี่ชิงสือกล่าวกับฟางชิวด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ได้ตามที่ขอ!” ฟางชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สิ้นเสียงก็เกิดความโกลาหลไปทั่ว
หลังจากโต้เถียงกันมานาน ในที่สุดก็ถึงฉากพีคสักที
หลักฐานและพยานไม่อยู่ มีเพียงฝีปาก การแข่งขันในครั้งนี้บอกได้ยากว่าใครจะเก่งกว่าใคร!
นี่ก็ไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของใครทั้งนั้น รีบสู้กันเลยดีกว่าไหม!
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัวหรือเป็นการแข่งขันทักษะอื่น
ถ้าไม่พอใจก็จัดการมันเลย!
การรับชมความสนุกนี้ไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่นัก เพราะทุกคนต่างตั้งตารอการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
ยิ่งเรื่องราวใหญ่โตก็ยิ่งดี
ด้านชมรมฝังเข็ม
เจียงเหมี่ยวอวี๋เฝ้าดูอยู่อย่างกังวล เธอนึกไม่ถึงว่าฟางชิวกับหลี่ชิงสือจะมีความแค้นกันขนาดนี้ เธอรู้สึกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเธอเลยหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้เธอไม่มีอำนาจมากพอที่จะหยุดเรื่องนี้ได้ สิ่งที่ทำได้จึงเป็นแค่การเฝ้าดูอย่างห่าง ๆ
“นายเล่นเครื่องดนตรีได้ ฉันก็เล่นเครื่องดนตรีได้เหมือนกัน ของฉันเป่าขลุ่ยเซียว แล้วนายล่ะ เป่าขลุ่ยได้ไหม” หลี่ชิงสือเอ่ยถาม
“นายอยากจะเป่าก็เป่าก่อนเลย ไม่ต้องสนใจฉัน” ฟางชิวกล่าว
“ได้!” หลี่ชิงสือพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา หยิบขลุ่ยเซียวที่พกมาจากสมาคมศิลปะพื้นบ้านแล้วเดินไปที่ใจกลางสนามกีฬา
“ฉันจะโซโล่เพลง ‘เสียงหัวเราะของทะเล’ ขอเชิญทุกคนรับฟัง!” หลี่ชิงสือปรับความสูงของไมโครโฟนแล้วพูดให้ทุกคนบริเวณนั้นฟัง
ฟางชิว จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนเดินเรียงแถวกันไปที่ด้านข้างสนามกีฬา โดยทำท่าทางเหมือนกันทุกประการ พวกเขาเอามือกอดอก ดวงตาเหล่มองดูหลี่ชิงสือ
หลี่ชิงสือเหลือบมองชายทั้งสี่ โดยเน้นไปที่ฟางชิว จากนั้นเขาก็แค่นเสียงออกมาอย่างเยือกเย็น
เมื่อเช้า เขาได้คิดหาวิธีจัดการกับชายทั้งสี่คนของห้องพักห้าศูนย์หนึ่งแล้ว
เขาจะไม่ปล่อยให้ชายสี่คนนี้ลอยนวลไปแน่นอน!
หลี่ชิงสือดึงสมาธิกลับมาที่ปัจจุบัน ก่อนที่จะเริ่มผ่อนคลายตนเอง
เขาจะต้องไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของตัวเอง การแข่งนี้มันสำคัญมาก เขาเคยพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ครั้งนี้เขาจะต้องไม่แพ้อีก!
สำหรับทักษะขลุ่ยของฟางชิวนั้นเขาไม่กลัวเลย
เครื่องดนตรีคือเครื่องดนตรี มือคือมือ และมือไม่สามารถแทนที่เครื่องดนตรีได้ไม่ว่าในทางใดทางหนึ่ง ทั้งในแง่ของเสียงต่ำหรือเสียงสูง
การแสดงครั้งแรกอาจเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับทุกคน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว!
เขาหวังว่าฟางชิวจะเป่าขลุ่ยในการแข่ง
หลังจากปรับอารมณ์แล้ว หลี่ชิงสือก็พยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าทำท่ามือ ‘ตกลง’ แล้วเริ่มเปิดเสียงดนตรี
ทุกคนคุ้นเคยกับท่วงทำนองของเพลง ‘เสียงหัวเราะของทะเล’ เป็นเหตุให้ฉากคลาสสิกมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขาทันที
เสียงเป่าขลุ่ยเซียวของหลี่ชิงสือดังขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
พอท่วงทำนองที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหู หลายคนก็เริ่มหลับตาลงแล้วฮัมเพลงตาม
ฟางชิวมองไปที่หลี่ชิงสือที่กำลังเป่าขลุ่ยอยู่ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก
ต้องบอกว่าการเลือกเพลงของหลี่ชิงสือนั้นยอดเยี่ยมมาก
มีเพลงมากมายที่สามารถใช้ขลุ่ยเซียวเป่าได้ เลือกออกมาจากหนึ่งในสิบของอันดับเพลงก็ยังได้ แต่ถ้าทุกคนไม่รู้จักชื่อเพลงที่ฟัง ถึงจะฟังแล้วชอบ แต่อย่างไรก็ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของเพลงอยู่ดี ฟังกับไม่ได้ฟังคงไม่ต่างกัน
แต่ ‘เสียงหัวเราะของทะเล’ นั้นแตกต่างออกไป ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยกับเพลงนี้ เพราะสาเหตุนี้เอง คะแนนเสียงที่มาจากผู้ฟังก็เพิ่มขึ้น
คะแนนเสียงเพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้ชนะแล้ว!
แต่ฟางเส้นสุดท้ายนี้จะกดดันฟางชิวได้จริงหรือ? ฟางชิวทำเพียงยกยิ้มที่มุมปากของเขาเล็กน้อยเท่านั้น
ท่วงทำนองเป็นเหมือนพระเอกของเพลง ตามมาด้วยเสียงขลุ่ยเซียวไม่อาจคาดเดาได้ ฟังเพลงนี้ช่วงหน้าร้อนเลยไม่ทำให้รู้สึกร้อนเท่าไรนัก แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นสบายและสนุกสนานเสียมากกว่า
ทุกคนมีความสุขและความเกลียดชังอยู่ในใจ
ความอยุติธรรมก็เช่นกัน
แม้จะฟังเพลงนี้สักพันรอบแล้ว แต่ยังรู้สึกไพเราะอยู่เสมอ!
พวกเขาเคยฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังฟังเวอร์ชันสด
เวอร์ชันสดมีความชัดเจนมากกว่ามาก แล้วความชัดเจนนี้ก็สามารถพุ่งไปที่หัวใจของพวกเขาได้โดยตรง
ระหว่างที่ฟังเสียงเป่าขลุ่ยเซียว
ทุกคนต่างจินตนาการว่าเห็นตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเรือท้องแบนในทะเล สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา นั่งจิบชาไม่ก็ดื่มเหล้า แล้วก็ร่วมกันขับขานเพลงของซีรีส์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เป็นครั้งคราวเพื่อบรรเทากำลังใจที่หมดไปของตนเอง
แม้จะสิ้นหวังแต่ก็ยังร้องเพลงออกมา
แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่ก็ยังหัวเราะได้
นี่ล่ะความเย่อหยิ่งของลูกผู้ชาย สิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำ!
เพลงดี! เพราะมาก!
ด้วยทักษะการเป่าขลุ่ยเซียวของหลี่ชิงสือ เสียงปรบมือจึงค่อย ๆ ดังขึ้นจากทั่วทุกมุมสนามกีฬา
เริ่มจะอลังการงานสร้างไปแล้ว
หากกวาดสายตาทั่วสนามกีฬา จะพบว่าทั้งสนามเต็มไปด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่น
ไม่มีเสียงเชียร์ มีแต่เสียงปรบมือเท่านั้น
เพราะต่างคนต่างกลัวเสียงเชียร์จะไปขัดจังหวะท่วงทำนองของเพลง
แต่ถ้าไม่ปรบมือก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงออกมาได้
แม้ว่าเสียงปรบมือจะกลบเสียงเพลงของหลี่ชิงสือเล็กน้อย แต่เสียงปรบมืออย่างกระตือรือร้นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทุกคนรู้จักเพลงที่หลี่ชิงสือเล่น
ในตอนจบของเพลง หลี่ชิงสือโค้งคำนับให้คนฟังทุกคน
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองดูรอบ ๆ แล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาทำสำเร็จ
เสียงของขลุ่ยเซียวไม่สามารถเทียบกับเสียงร้องเพลงได้ แต่มันก็สามารถพิชิตใจของผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
แค่เพียงจังหวะของเสียงขลุ่ยเซียว ก็ครอบครองหัวใจของผู้ฟังได้แล้ว
เขาไม่เชื่อว่าฟางชิวจะสามารถทำอย่างนี้ได้
“ฟางชิว ถึงตานายแล้ว!” หลี่ชิงสือเหยียดตัวตรงแล้วกล่าวกับฟางชิวออกไป