บทที่ 43 บริจาคเพื่อเป้าหมาย!
บทที่ 43 บริจาคเพื่อเป้าหมาย!
ฟางชิวรู้วิธีเล่นกู่เจิงจริงเรอะ?
ฟางชิวไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน เขาก็เริ่มบรรเลงเสียงดนตรีออกมา
แน่นอนว่ายังคงเป็นเพลง ‘เสียงหัวเราะของท้องทะเล!’
เพลงสุดยอดจริง ๆ!
เพลงที่สี่แล้ว!
มีอะไรที่เอ็งเล่นไม่ได้บ้างวะเนี่ย?
ใบหน้าของหลี่ชิงสือบวมเหมือนอึ่ง!
ฟางชิวมองไปที่หลี่ชิงสืออย่างเย็นชา
การเล่นกู่เจิงนั้น ใช้เล็บปลอมเล่นจะดีที่สุด แม้ว่าเล็บจริงจะยืดหยุ่นและสะดวกกว่า แต่มันก็ไม่หนาพอ เสียงที่ออกมาจะไม่หนักแน่น โดยเฉพาะโทนเสียงต่ำ ยิ่งจำกัดท่าทางการเล่นก็ยิ่งส่งผลต่อโทนเสียงและประสิทธิภาพ
แต่แล้อย่างไรเล่า
ถ้าอยากบรรเลงเพลงหลายเพลงติดต่อกันก็ต้องใช้เล็บปลอม
แต่ตอนนี้เขาบรรเลงไปแล้วราว ๆ ครึ่งเพลงแล้ว ดูไม่ปวดเล็บแม้แต่น้อย
สีหน้าของหลี่ชิงสือคล้ำลงจนเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อตอนจ้องมองไปที่ฟางชิว
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีมนุษย์คนไหนเล่นดนตรีเป็นหลายอย่างขนาดนี้
โดยเฉพาะฟางชิว!
นี่มันเกินไปแล้ว ใครจะสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ดีถึงขนาดนี้?
ถ้ามีงานอดิเรกเยอะก็เข้าใจอยู่ แต่พรสวรรค์กับเวลาจะมีพอให้ทำเป็นทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
ฟางชิวอายุเท่าไรเอง แค่สิบเจ็ดปีเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ!
ต้องอายุยี่สิบเจ็ด สามสิบเจ็ด และสี่สิบเจ็ดเสียก่อนไม่ใช่เรอะ ถึงจะสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้สี่หรือห้าชนิดแบบนี้!
แต่ฟางชิวไม่หยุดแค่นั้น เขาวางกู่เจิงลงแล้วเดินไปหยิบขลุ่ยต่อ
เครื่องดนตรีชิ้นที่ห้าเข้าไปแล้ว!
เมื่อท่วงทำนองเพลงดังออกมา ความมั่นใจในตนเองของหลี่ชิงสือก็พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
ความสามารถที่น่าภาคภูมิใจของเขาถูกฟางชิวบดขยี้ต่อหน้าต่อตาจนต้องอับอายขายขี้หน้า
หลี่ชิงสือรู้สึกว่าอำนาจในมือหายไปหมดแล้ว!
ความรู้สึกไร้พลังอำนาจนี้เขาไม่อาจรับได้!
หลี่ชิงสือรู้สึกว่าพลังอำนาจทั้งหมดในร่างกายของเขาเหมือนจะสลายหายไปในทันที สีหน้าของเขาขาวซีด ยืนแทบไม่ไหว
สำหรับเพลงที่ใช้ขลุ่ยเป่านั้น
ก็ยังคงเป็น ‘เสียงหัวเราะของท้องทะเล’
ท่วงทำนองคุ้นเคยนี้เหมือนกำลังเสียดสีเขาอยู่!
เพลงที่หลี่ชิงสือเตรียมมาอย่างพิถีพิถันถูกฟางชิวแย่งชิงไปอย่างง่ายดายประหนึ่งโดนปล้น อยากจะหัวเราะจริง ๆ
หลังฟางชิวเป่าจบเพลง ชายหนุ่มก็วางขลุ่ยแล้วไปหยิบไวโอลินขึ้นมา
เฮ้ย!
ยังมีอีกเหรอ!
คนฟังเริ่มอารมณ์ขึ้น
นี่กะจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดเลยเหรอ!
ถึงจะไม่ปล่อยหลี่ชิงสือไป แต่ก็ควรปล่อยพวกเราที่เป็นคนฟังไปนะ!
ฟางชิวมีความสามารถมากจริง ๆ เทียบกันแล้วพวกเราเป็นแค่อึหมา รู้สึกที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาอย่างไร้ค่าอย่างไรก็ไม่รู้!
เอาล่ะ หยุดเพียงเท่านี้เถอะ
พวกเราจะทนไม่ไหวแล้วนะ!
นายเก่งมากเรายอมรับ เก่งมากจริง ๆ!
ฟางชิวไม่ได้หยิบไวโอลินขึ้นมาเล่นแต่จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิงสืออย่างเย็นชา จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “จะแข่งอีกไหม?”
ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่หลี่ชิงสือทันที
จะแข่งหรือไม่แข่งล่ะ?
สีหน้าของหลี่ชิงสือเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ เขาบอกไม่ได้ว่าตนฝีมือด้อยกว่าฟางชิว
และบอกไม่ได้ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้
ให้ยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สาธารณะน่ะหรือ ให้ตายเขาก็ไม่พูดหรอก
เมื่อเห็นอย่างนั้น ฟางชิวก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทีเย็นชาแล้ววางไวโอลินลง “อย่าทำเรื่องชั่ว ๆ ลับหลังฉันอีก ถ้านายมีความสามารถนอกจากนี้ก็มาแข่งกันตรง ๆ ฉันจะขยี้นายให้แหลกเอง มีปัญหาก็มาเจอกันได้!”
ฉันจะขยี้นายให้แหลกเอง!
มีปัญหาก็มาเจอกันได้!
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังออกมา รอบ ๆ ก็วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
ในที่สุดวันนี้ พวกเขาก็ได้รู้จักตัวตนของเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อฟางชิวแล้ว
พรสวรรค์น่าทึ่งมาก!
ลีลาก็เด็ด!
กล้าต่อกรกับประธานนักศึกษาในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา!
ประหนึ่งว่าพวกเขากำลังแข่งชกมวยกันอยู่ แล้วฟางชิวก็พูดว่า จะฉันอัดนายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แล้วมาดูกันว่าจะมีแรงพูดอะไรได้อีกไหม
นี่สิของจริง!
กลอุบายทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าหลี่ชิงสือพังราบคาบ
ทุกคนรับรู้กันถ้วนหน้าว่าหลี่ชิงสือพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบในวันนี้ และพรสวรรค์ที่เขาใช้เพื่อเป็นคนสุดยอดในมหาวิทยาลัยก็ถูกทำลายลงเช่นกัน
หลี่ชิงสือแข็งแกร่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฟางชิวแล้ว ฟางชิวกลับแข็งแกร่งกว่า แสงของหิ่งห้อยมีหรือจะสู้ความสว่างไสวของดวงจันทร์ที่เจิดจ้าได้
เมื่อหลี่ชิงสือไม่ยอมพูดอะไรออกมา ฟางชิวก็สูดหายใจเอาปอดลึก ๆ แล้วหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสามคนของหอพักว่า “ไปกันเถอะ”
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนรีบพยักหน้าตกลง ก่อนที่จะวิ่งตามฟางชิวไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
ฟางชิวชนะ ก็เท่ากับว่าห้องพักห้าศูนย์หนึ่งของพวกเขาชนะเช่นกัน
พวกเราต้องเดินเชิดหน้าให้สูงเข้าไว้
นั่นคือวิธีที่พวกเรายึดถือ!
ไม่พอใจเหรอ?
ถ้าไม่พอใจก็ลองไปสู้กับฟางชิวสิ!
คิดว่าเขาไม่กล้าอัดคนที่มาหาเรื่องรึไง?!
พอเดินผ่านมุมหนึ่งของสนามกีฬา ฟางชิวก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน เขามองไปที่ป้ายชวนบริจาคแล้วถอนหายใจ
อนิจจา ชีวิตกำลังเบ่งบานแท้ ๆ แต่ต้องพบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในชีวิตเสียแล้ว
ทุกคนในสนามกีฬามองฟางชิวเดินออกไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นฟางชิวหยุดที่งานระดมทุนแล้ว พวกเขาก็เดาได้ทันที
ฟางชิวต้องการบริจาคเงินหรือเปล่า?
ดวงตาของหลี่ชิงสือสว่างวาบขึ้นทันที เขาเดินไปที่งานระดมทุนอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เพื่อนร่วมชั้นมีปัญหา พวกเราควรช่วยเหลือ ฉันจะขอบริจาคหนึ่งพันหยวน!”
เสียงพูดเขาดังมากจนคนรอบข้างได้ยินชัดเจน
ทุกคนตกตะลึงกับท่าทางที่เอื้อเฟื้อของหลี่ชิงสือ
แม้ว่าเงินหนึ่งพันหยวนจะไม่มาก แต่สำหรับกลุ่มนักศึกษาก็ถือว่าเยอะอยู่พอสมควร
พวกเขายังคงเรียนมหาวิทยาลัยด้วยเงินที่หามาอย่างยากลำบากของพ่อแม่ ด้วยค่าครองชีพในตอนนี้ หลายคนเลยบริจาคแค่ห้าสิบหยวนหรือไม่ก็ร้อยหยวน ที่มากที่สุดคือห้าร้อยหยวน คนที่บริจาคจำนวนนี้คือเจียงเหมี่ยวอวี๋
ถึงจะบริจาคกันไม่เยอะ แต่ที่นี่ก็มีนักศึกษามากพอที่จะเติบเต็มเงินส่วนที่ขาดได้
พอมีคนบริจาคหนึ่งพันหยวนขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ของงานระดมทุนจึงเป็นผู้นำในการปรบมือให้หลี่ชิงสือ เสียงปรบมือดังเกรียวกราวดังขึ้นรอบ ๆ
ในที่สุดหลี่ชิงสือก็สามารถฟื้นคืนความมั่นใจของตัวเองได้ เขาเหลือบมองฟางชิวอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งนี้เพราะฟางชิวแต่งตัวเหมือนคนธรรมทั่วไป เหมือนพวกไม่ค่อยมีเงินสักเท่าไร
ฟางชิวสังเกตเห็นสายตาและการกระทำของหลี่ชิงสือแล้วก็สมเพชอีกฝ่ายขึ้นมา
ฟางชิวไม่ค่อยดูถูกคน เขาคิดว่าทุกคนเท่าเทียมกัน แม้ว่าเขาจะมีทักษะหลายอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่ก็ยังคิดว่าคนอื่นสามารถเรียนรู้ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้น เขาไม่คิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่นเลย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขายอมเปื้อนโคลนแทนนักศึกษาที่ถูกรถหรูซิ่งจนสาดโคลนจะกระเด็นใส่ในวันนั้น
แต่คราวนี้เขารู้สึกสมเพชหลี่ชิงสือจริง ๆ
คนแบบนี้ไม่เพียงแต่โง่เขลาเท่านั้น แต่ยังไม่มีสมองด้วย
ก่อนที่เสียงปรบมือจะหยุดลง ฟางชิวก็พูดอย่างมีชัยว่า “ทุกคน ฉันอยากจะบอกอะไรพวกคุณสักอย่าง”
ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวทันทีแล้วมองฟางชิวอย่างสงสัย
ทุกคนสงสัยว่าฟางชิวจะพูดอะไรในเวลานี้
เจียงเหมี่ยวอวี๋เดินออกจากชมรมฝังเข็มเพื่อไปยังงานระดมทุนพอดี เธอมองไปที่ฟางชิวอย่างสงสัยเช่นกัน
“เพื่อนร่วมชั้นมีปัญหา เป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะบริจาคเงิน แต่ทำได้แค่นั้นจริง ๆ เหรอ?” ฟางชิวเอ่ยถามเสียงดัง
ทุกคนต่างได้ยินกันถ้วนหน้า
ทำอะไรไม่ได้นอกจากบริจาคเงินเหรอ
หรือฟางชิวจะอยากให้ไปเยี่ยมเพื่อนร่วมชั้นที่ป่วย?
ถ้าจะให้ทุกคนไปเยี่ยม แบบนั้นก็รบกวนเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังพักฟื้นน่ะสิ
“พวกเราเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีน!”
ฟางชิวพูดด้วยเสียงอันดัง “เพื่อนร่วมชั้นของพวกเราป่วย แต่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังมีคนป่วยอีกหลายพันคนในสังคมนี้ ไม่ว่าเราจะมีเงินมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์”
“พวกเราถูกกำหนดให้เป็นหมอ ลิขิตมาเพื่อหาวิธีบรรเทาความเจ็บปวดของผู้ป่วย”
“ดังนั้น ถ้าเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราป่วย พวกเราก็ควรจะยอมรับวัฏจักรของโลก สิ่งที่พวกเราบริจาคได้ไม่ใช่แค่เงิน แต่เป็นเป้าหมายกับความฝันอันยิ่งใหญ่ต่างหาก!”
ฟางชิวมองตรงเข้าไปในดวงตาของทุกคน “เราต่างสาบานว่าจะเป็นหมอที่ดีที่สุด รับผิดชอบต่อผู้ป่วยทั่วโลก บรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย!”
“นอกจากเพื่อนร่วมชั้นที่โชคร้ายคนนี้แล้ว ยังมีผู้ป่วยอีกมากมายที่รอให้พวกเรากลายเป็นหมอที่ดี รอให้พวกเราไปช่วยชีวิตพวกเขา พวกเราจะทำแค่บริจาคเงินเพียงเล็กน้อยเหรอ พวกเราเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนนะ!”
หลังจากที่ฟางชิวพูดจบ ทุกคนก็พากันหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ
พวกเขาแสดงความรัก ความห่วงใยด้วยการบริจาคเงินเพียงเล็กน้อย
หลาย ๆ คนลืมไปว่าตัวเองเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน พวกเขาไม่ได้ใช้ทักษะของตนเองแต่ใช้เงินแก้ปัญหาให้เพื่อนร่วมชั้น
แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาทำไม่ได้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ในอนาคต
ถ้าพวกเขาไม่คิดวิธีแก้ปัญหาในตอนนี้ ในอนาคตจะทำอะไรได้ล่ะ!
เฮ้อ!
ละอายใจจริง ๆ เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแท้ ๆ!
ในเวลานี้ คำพูดที่ไม่เหมาะสมก็ดังขึ้น
“ฟังดูดี แต่ไม่ใช่ว่านายไม่มีเงินบริจาคหรอกเหรอ?” หลี่ชิงสือเย้ยหยัน
หลังจากที่พูดจบ หลี่ชิงสือก็เพิ่งรู้สึกเสียใจที่ตนเองลดภาพลักษณ์ดี ๆ ไปจากความคิดของทุกคน โดยเฉพาะกับเจียงเหมี่ยวอวี๋
แต่คำพูดออกไปแล้ว เอากลับมาก็คงไม่ได้
ตอนนี้ทำได้แค่ยอมรับมัน
ฟางชิวมองหลี่ชิงสืออย่างเย็นชา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา สแกนคิวอาร์โค้ดบริจาคเงิน ไม่ลืมป้อนรหัสผ่านสองสามตัว
เสร็จแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไป
โทรศัพท์ที่แท่นรับบริจาคส่งเสียงดังขึ้น แสดงให้เห็นว่าได้รับเงินแล้ว เจ้าหน้าที่เปิดโทรศัพท์ดูด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องตกตะลึงทันทีที่เห็นจำนวนเงินบนนั้น
“เท่าไหร่? บริจาคเท่าไหร่?”
คนแถวนั้นถามด้วยอยากรู้อยากเห็น
“สองหมื่นเก้าพัน” เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่อยากเชื่อ
“เท่าไหร่นะ?!”
คนรอบข้างคิดว่าพวกเขาได้ยินผิด
“สองหมื่นเก้าพันหยวน!” เจ้าหน้าที่ตอบเสียงดังฟังชัด
ตู้ม!
ในสนามกีฬาเกิดความโกลาหลอีกครั้ง
อะไรนะ!
สองหมื่นเก้าพันหยวน!
เงินนี่พวกเขาใช้ได้สองปีเลยนะ!
ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นปะเนี่ย!
ไม่นานฟางชิวก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น!
แม้แต่ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นก็ไม่บริจาคเยอะขนาดนี้เลย!
ไม่ว่าพวกเขาจะคาดเดาอะไร ทุกคนต่างก็ตกใจกับจำนวนเงินที่ฟางชิวบริจาคอยู่ดี
ลองนึกถึงการแสดงความสามารถของฟางชิวก่อนหน้านี้สิ จากนั้นก็ลองนึกถึงสิ่งที่ฟางชิวพูดเมื่อกี้ แล้วดูจำนวนเงินบริจาค
ทุกคนต่างชื่นชม
ไม่พอใจเหรอ!
ถ้าไม่พอใจก็ลองบริจาคเงินสองหมื่นเก้าพันหยวนดูสิ
ทันทีที่รู้จำนวนเงินบริจาค ไม่มีใครรู้สึกว่าสิ่งที่ฟางชิวพูดเมื่อครู่นี้เป็นการพูดที่ยิ่งใหญ่ไกลตัวเลย
ฟางชิวมีอุดมคติ มีแรงจูงใจ มีความรักใคร่เมตตา
แล้วลองย้อนดูตัวเองสิ
เทียบอะไรไม่ได้เลย!
ทุกคนตัดสินใจที่จะเรียนเพิ่มตั้งแต่วันนี้ ถึงทักษะอื่นจะเทียบกับฟางชิวไม่ได้ แต่ทักษะทางการแพทย์จะต้องไม่ถูกเปรียบเทียบ จะต้องดีกว่าฟางชิวเท่านั้น!
ทันทีที่เสียงประกาศเงินจำนวนสองหมื่นเก้าพันหยวนดังออกมา การกระทำในวันนี้ของหลี่ชิงสือก็ดูน่าเกลียดทันที
เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ตกตะลึงกับการกระทำของฟางชิว เมื่อนึกถึงที่หลี่ชิงสือใส่ร้ายฟางชิวแล้วเธอก็รู้สึกผิดหวัง เธอเลยหันหลังเดินจากไป
อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างเดินกลับหอพัก โจวเสี่ยวเทียนก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าห้า เมื่อกี้นายบริจาคไปเท่าไหร่เหรอ?”
ฟางชิวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตอบว่า “ฉันยังเหลือเงินหนึ่งพันสองร้อยหยวน นายคิดว่าฉันบริจาคไปเท่าไหร่ล่ะ?”
ทั้งสามคนพากันตกใจเมื่อรู้ว่าฟางชิวได้บริจาคเงินทั้งหมดที่ไว้ใช้ในภาคการศึกษานี้ไปเกือบหมด พวกเขาสามคนเลยขอยอมคารวะฟางชิวทันที
ที่จริงแล้วพวกเขาสามคนไม่รู้หรอกว่า ฟางชิวได้บริจาคเงินที่เอาไว้ใช้สำหรับสองปีไป
ฟางชิวนำเงินจำนวนสามหมื่นที่ได้จากการรักษาเมื่อวันพุธไปบริจาค เหลือหนึ่งพันหยวนเอาไว้ใช้จ่าย
เงินที่ได้รับจากการไปวินิฉัยและรักษาคนอื่นนั้นไม่สามารถบอกใครได้
ไม่ใช่ว่าเขาอยากโชว์ว่ามีเงินเยอะ แต่เป็นเพราะเขาถูกหลี่ชิงสือบังคับให้บริจาคเงินต่างหากเล่า
ที่จริงจะบริจาคแค่หมื่นหยวน หรือสองหมื่นหยวนก็ได้
แต่เขาบริจาคไปสองหมื่นเก้าพันหยวนเพราะมีคนต้องใช้เงินนี้จริง ๆ ส่วนตัวเขาไม่ได้ต้องการใช้เงินมากขนาดนั้น
ที่สำคัญก็คือ เขาควรจะทำให้ได้เหมือนที่พูดไปก่อนหน้า เขาเชื่อว่าหลังจากนี้ ทุกคนคงไม่อยากเสียเวลาเรียนไปแม้แต่วินาทีเดียว