คุรุการแพทย์ – บทที่ 73 ระดับของแพทย์แผนจีน!

คุรุการแพทย์

บทที่ 73 ระดับของแพทย์แผนจีน!

บทที่ 73 ระดับของแพทย์แผนจีน!

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของฟางชิวก็สว่างขึ้น เขาจึงรีบถามว่า “แล้วพวกเขาจะพบกันอีกที่ไหนและตอนไหนครับ”

“เรื่องสถานที่ฉันไม่รู้หรอก” สวีเมี่ยวหลินส่ายหน้าแล้วตอบว่า “น่าจะประมาณอีกปีครึ่ง วันที่ 28 เมษายนตามปฏิทินจันทรคติจะเป็นวันเกิดของเย่าหวัง ส่วนสถานที่นั้นพวกเราจะไม่รู้จนกว่าจะถึงตอนนั้น ไม่มีใครบอกล่วงหน้าด้วย เธอเข้าร่วมงานด้วยไม่ได้ เว้นแต่เธอจะมีคุณสมบัติบางอย่าง”

คุณสมบัติ?

ถ้าอย่างนั้นเขาจะต้องมีคุณสมบัติให้ได้!

ฟางชิวสัญญากับตัวเองในใจ เพราะนี่เป็นความหวังสุดท้ายที่เขาต้องคว้ามันเอาไว้

แค่ปีเดียว เขารอได้!

ก่อนที่เขาจะได้ถามถึงรายละเอียดคุณสมบัติที่ว่านั่น สวีเมี่ยวหลินก็พูดขึ้นมาว่า

“อันที่จริง พลังปราณยังไม่เป็นที่รู้จักมากมายนัก”

ดูเหมือนว่าสวีเมี่ยวหลินจะดูออกว่าฟางชิวกำลังคิดอะไรอยู่

“ก่อนหน้านี้เธอมาถูกทางแล้ว แต่ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอก็คือการไม่พึ่งพาคนอื่น ต้องพึ่งตัวเอง! เพื่อให้เชี่ยวชาญในทุกวิชา เธอต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น!”

“แต่ว่ากว่าจะพึ่งตัวเองได้ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่เหรอครับ” ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธความคิดนั้น

พึ่งตัวเอง?

แม้ว่าทุกทางเลือกจะให้ความหวังเหมือนกัน แต่มันต้องใช้เวลานานเกินไป และระยะเวลาก็ยังไม่แน่นอนอีก

ฟางชิวเองไม่รู้เลยว่า เขาจะสามารถเรียนรู้จนบรรลุระดับเดียวกับสวีเมี่ยวหลินได้ตอนไหน

แล้วชายหนุ่มก็ยังไม่รู้อีกว่า ตัวเขาต้องเรียนไปถึงเมื่อไหร่ ถึงจะมีความสามารถเพียงพอในการรักษาตาเฒ่าได้

นี่ไม่ใช่การเรียนรู้ธรรมดา ๆ แต่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในทุกวิชาเพื่อที่จะได้รักษาให้แก่ตาเฒ่า

การเรียนวิชาทั่วไปนั้นยากอยู่แล้ว แต่จะให้ฝึกจนเชี่ยวชาญนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า

แม้แต่ เสี่ยวเมี่ยวหลินที่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน และรู้วิธีการรักษาทุกประเภท แต่เขาก็ยังไม่กล้าอ้างว่าตัวเองเก่งเลย แสดงว่าความชำนาญของเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าสวีเมี่ยวหลินหลายเท่า

ตอนนี้สวีเมี่ยวหลินอายุประมาณสี่สิบปี!

ฟางชิวไม่แปลกใจเลยที่สวีเมี่ยวหลินเก่งมาถึงระดับนี้ได้ แล้วเขาจะเก่งขึ้นได้อย่างไรในเวลาอันสั้น

หรือว่าเขาต้องเรียนรู้ไปอีกยี่สิบกว่าปี?

นานเกินไป เขารอไม่ได้ แล้วตาเฒ่าก็รอไม่ได้ด้วย!

ในตอนนี้ ฟางชิวรู้สึกว่าตนเองคิดง่ายไปหน่อย

ไม่ใช่ว่า แค่เรียนหมอให้เก่งแล้วจะสามารถช่วยรักษาโรคให้ตาเฒ่าได้

“ฉันคงบอกไม่ได้ว่าเธอจะเชี่ยวชาญทุกด้านเมื่อไหร่ แต่นี่ก็เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว ถ้าคนแก่พวกนั้นรักษาเธอไม่ได้ เธอจะไม่เสียเวลารอหนึ่งปีไปเปล่า ๆ เหรอ” สวีเมี่ยวหลินอธิบายอย่างใจเย็น

“ครับ” ฟางชิวหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ

เขาเห็นด้วยกับคำพูดของสวีเมี่ยวหลิน

นี่เป็นวิธีที่ทำได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน นั่นคือการตั้งใจเรียนอย่างหนัก ระหว่างที่รอไปอีกหนึ่งปีเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมารวมตัวกันอีกครั้ง

ฟางชิวหมายมั่นปั้นมือ เขาจะลักพาตัวพวกผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมาให้ได้!

แต่ถ้าผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นรักษาโรคให้ตาเฒ่าไม่ได้ล่ะ?

บางทีการเพิ่มความรู้ให้ตัวเองอาจเป็นวิธีเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้

นอกจากนี้ ฟางชิวได้เริ่มเรียนไปบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่นานมาก แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ความเชี่ยวชาญในทุกวิชาฟังดูแล้วน่าทึ่งเกินกว่าจะเอื้อมถึง แม้จะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุถึงระดับนั้น แต่เขาจะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้ไม่ได้

เพื่อตาเฒ่า เพื่อรักษาความเจ็บป่วยของตาเฒ่า

ต่อให้ถนนเส้นนี้ยากแค่ไหนเขาก็ต้องเดิน ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเวลาและแรงแค่ไหน เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ

“การเรียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น” สวีเมี่ยวหลินมองไปที่ฟางชิวด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ แต่กระนั้นรอยยิ้มขี้เล่นที่มุมปากของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมา “แค่พึ่งพาการเรียนของตัวเองก็ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาโรคของเธอได้ เธอต้องได้รับการยอมรับวงการแพทย์แผนจีนด้วย”

“การยอมรับ?” ฟางชิวรู้สึกงงจนพูดไม่ออก

การเรียนแพทย์เป็นเรื่องส่วนตัว การรักษาตาเฒ่าก็เป็นเรื่องส่วนตัวด้วย ทำไมเขาต้องรอให้วงการแพทย์แผนจีนยอมรับเขาด้วย?

“ใช่แล้ว การยอมรับ!” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เธอเพิ่งจะเริ่มเรียนแพทย์ เธอคงไม่รู้อะไรอีกมากมายในวงการแพทย์แผนจีน”

“ฉันพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว งั้นฉันจะบอกความลับบางอย่างในวงการแพทย์แผนจีนให้เธอฟัง”

“เธอรู้ไหมว่าแพทย์แผนจีนแบ่งเป็นกี่ระดับ”

“ระดับเหรอครับ?” ฟางชิวถามด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าแพทย์แผนจีนมีการแบ่งระดับด้วย

“ถูกต้อง” สวีเมี่ยวหลินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “การแพทย์แผนจีนยากที่จะอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ง่ายต่อการเรียนรู้ แล้วก็ยากที่จะเชี่ยวชาญเช่นกัน พวกแพทย์น่ะ ไม่ได้รู้จักสมุนไพรทุกชนิดหรอก พวกเขาจำจากใบสั่งยาได้ไม่กี่ชนิดเท่านั้น”

ฟางชิวพยักหน้าเบา ๆ

ในฐานะชาวจีน ชายหนุ่มเข้าใจถึงความลึกลับและความยิ่งใหญ่ของการแพทย์แผนจีนเป็นอย่างดี และรู้ด้วยว่าการเป็นแพทย์แผนจีนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

“ในตำราเล่าว่าแพทย์แผนจีนจะแบ่งออกเป็น ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ แล้วการแพทย์แผนจีนยังแบ่งออกเป็นสามประเภท”

“การแพทย์แบบโจวหลี่นั้น จะขึ้นอยู่กับระดับของเทคโนโลยีและข้อดีข้อเสียของการประเมิน เพื่อตัดสินใจที่จะเป็นลูกจ้างหรือลูกศิษย์ แล้วยังช่วยตัดสินใจในการเลื่อนตำแหน่งด้วย”

“แพทย์แผนจีนสมัยปัจจุบันกับแพทย์แผนจีนสมัยโบราณ ความจริงแล้วมันก็ไม่ต่างกันมากหรอก ถ้าพิจารณาให้ดี แพทย์แผนจีนจะสามารถแบ่งได้เป็นสี่ระดับ”

สิ้นคำ สวีเมี่ยวหลินก็หยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะอธิบายต่อว่า “สี่ระดับ ได้แก่ ระดับพื้นฐาน ระดับปรมาจารย์ ระดับจักรพรรดิ และระดับเซียน”

“มันมีความแตกต่างกันไหมครับ?” เมื่อฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมมาก แต่ฟางชิวที่เพิ่งจะเริ่มต้นเรียน ทำให้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

“แตกต่างกันสิ แตกต่างมากเลยด้วย” สวีเมี่ยวหลินยิ้ม แล้วพูดต่อว่า “แพทย์ระดับพื้นฐานจะตรวจโรคแล้วจ่ายยาให้ได้ หรือไม่ก็มีความรู้เกี่ยวกับการรักษานิด ๆ หน่อย ๆ พวกเขารู้แค่ว่าต้องทำยังไง แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น”

“แพทย์ประเภทนี้รู้จักกันในนามหมอยา ทำได้เพียงท่องเพลงทังโถวซ่ง*[1] หรือไม่ก็ร้องเพลงทำยาสี่ร้อยรสกับยาฟื้นฟู แม้ว่าพวกเขาจะศึกษาทฤษฎีพื้นฐานของแพทย์แผนจีนไปแล้วก็ตาม แต่ก็รู้แค่พื้นฐานเท่านั้น โรคธรรมดานั้นพวกเขารักษาได้ แต่เมื่อไหร่ที่เจอโรคซับซ้อนขึ้นมา พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“เพราะเรียนรู้แค่ผิวเผิน รายละเอียดต่าง ๆ ก็ยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจน พวกเขาเลยจ่ายยาไปตามอาการสินะครับ” ฟางชิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ในความเห็นของเขา สิ่งที่สวีเมี่ยวหลินกำลังพูดก็คือแพทย์ระดับพื้นฐานสามารถตรวจโรคและจ่ายยาได้ พวกเขารู้เทคนิคการแพทย์แผนจีนนิดหน่อย แต่พวกเขาไม่รู้หลักการรักษา

“แล้วแพทย์ระดับปรมาจารย์ล่ะครับ” ฟางชิวถาม

“แพทย์ระดับปรมาจารย์เก่งกว่าแพทย์ระดับพื้นฐานมาก” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยต่อว่า “แพทย์ระดับปรมาจารย์ เข้าใจหยินและหยาง แล้วพวกเขาก็เข้าใจสรรพคุณต่าง ๆของสมุนไพรเป็นอย่างดี ”

“แพทย์ระดับนี้ได้เรียนรู้ทฤษฎีพื้นฐานของแพทย์แผนจีน และได้รับการสอนอย่างเป็นทางการจากอาจารย์ ไม่เพียงแต่เข้าใจเกี่ยวกับสรีรวิทยาและวิจัยเท่านั้น แต่ยังค่อนข้างชำนาญ จนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์ วินิจฉัย ได้อย่างครอบคลุม ถือว่ามีความเข้าใจมากทีเดียว”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางชิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

จากคำพูดของสวีเมี่ยวหลิน นี่คือความแตกต่างระหว่างแพทย์รุ่นเยาว์กับศาสตราจารย์

แพทย์ทั่วไปไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ส่วนศาสตราจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญนั้นศึกษาการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ดังนั้นใบสั่งยาและวิธีการรักษาจึงแตกต่างกัน และผลกระทบที่ได้ก็แตกต่างกันด้วย

“ถ้าอย่างนั้นแพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลก็คือแพทย์ระดับพื้นฐาน และศาสตราจารย์ก็คือแพทย์ระดับปรมาจารย์ใช่ไหมครับ?”

ฟางชิวนึกถึงโรงพยาบาล เขาเลยถามออกมา

“ก็ตามนั้นนั่นแหละ” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้า

“แล้วแพทย์ระดับจักรพรรดิกับแพทย์ระดับเซียนล่ะครับ” ฟางชิวถามอีกครั้ง

ถ้าศาสตราจารย์อยู่แค่ระดับปรมาจารย์เท่านั้น แล้วระดับจักรพรรดิกับแพทย์ระดับเซียนจะเก่งกว่าระดับปรมาจารย์ขนาดไหนกัน?

“แพทย์ระดับจักรพรรดิไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้” สวีเมี่ยวหลินพูดเพิ่มเติมว่า “แพทย์ระดับปรมาจารย์มีความชำนาญแค่สาขาวิชาเดียวเท่านั้น ในขณะที่แพทย์ระดับจักรพรรดิต้องมีความชำนาญอย่างน้อยสามสาขาวิชา แล้วพวกเขาต้องนำความรู้ที่มีมาผสมผสานในการรักษาให้ได้ด้วย”

“ส่วนระดับเซียนนั้น ทฤษฎีที่ใช้อาจดูขัดแย้งกับทุกแนวคิด เพราะคนที่อยู่ในระดับนี้มีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะตัว พวกเขาสามารถผสมผสานการรักษาให้เข้ากันได้ ถึงจะฟังดูไม่ได้ก็เถอะ”

“คนประเภทนี้จะมีของล้ำค่าอยู่กับตัว นั่นคือประสบการณ์ พวกเขาสามารถรักษาโดยใช้ทฤษฎีการแพทย์แผนจีนได้อย่างเชี่ยวชาญ วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างอิสระ ตรวจโรคที่ซับซ้อนได้ ไม่ว่าโรคนั้นจะซับซ้อนหรืออันตรายแค่ไหน ก็สามารถดึงคนไข้กลับมาจากความตายได้”

“ระดับเซียน…” สวีเมี่ยวหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ในข่าวลือ ว่ากันว่าไม่มีโรคไหนที่ระดับเซียนรักษาไม่หาย” ฟางชิวฟังแล้วก็ตกตะลึงทันที

รักษาโรคที่รักษาไม่หายได้?

มันต้องใช้ความสามารถมากแค่ไหนจึงจะบรรลุไปถึงเป้าหมายนั้นได้?

ถ้าแพทย์ระดับเซียนมีตัวตนอยู่จริง ๆ ในโลกนี้คงจะไม่มีปัญหาทางการแพทย์ และคงไม่มีโรคที่รักษาไม่หาย

สวีเมี่ยวหลินยังกล่าวอีกว่าแพทย์ระดับเซียนนั้นมีอยู่แค่ในข่าวลือเท่านั้น

ฟางชิวฟังแล้วก็ตกใจ จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้นอีก

“แล้วจะรู้ระดับตัวเองได้ยังไงเหรอครับ” ฟางชิวถาม

“ถ้าเธอต้องการเป็นแพทย์ระดับพื้นฐาน เธอต้องได้รับใบรับรองคุณสมบัติผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนเสียก่อน จากนั้นค่อยเข้ารับการประเมินโดยสมาคมแพทย์แผนจีนประจำเทศบาล” สวีเมี่ยวหลินตอบ

“ต้องสอบด้วยเหรอครับ” ฟางชิวถามด้วยความสงสัย

“มันก็เหมือนกับที่นักศึกษาต้องทำข้อสอบกลางภาคและปลายภาคนั่นแหละ จุดประสงค์ของการประเมินก็คือเพื่อกำหนดว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอสามารถไปถึงระดับของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ไหม” สวีเมี่ยวหลินอธิบาย

“แล้วให้สอบวินิจฉัยโรคหรือเปล่าครับ”

“ถ้าเธออยากเป็นแพทย์ระดับพื้นฐาน ต้องผ่านการประเมินโรคทั่วไปยี่สิบห้าโรคก่อน” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ไม่ว่าเธอจะใช้วิธีอะไร ตราบใดที่เธอสามารถควบคุมโรคทั่วไปทั้งยี่สิบห้าโรคได้ดี เธอก็จะผ่านและกลายเป็นแพทย์ระดับพื้นฐานที่แท้จริง”

“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ฟางชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในการประเมินหนึ่งครั้ง ต้องรักษาผู้ป่วยยี่สิบห้าคน และต้องรักษาให้หายทั้งหมดด้วย การสอบแพทย์แผนจีนนี้เข้มงวดมาก

“ระดับนี้ง่ายที่สุดแล้ว” สวีเมี่ยวหลินยิ้มแล้วพูดว่า “อีกสองสามระดับยากกว่านี้”

“มันยากแค่ไหนหรือครับ?” ฟางชิวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“การเลื่อนขั้นจะเป็นแพทย์ระดับปรมาจารย์นั้น แพทย์ระดับพื้นฐานต้องอ่านหนังสือพื้นฐานอย่างน้อยสามเล่ม และยังต้องรับการประเมินจากแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั้งห้าคนในสมาคมแพทย์แผนจีนประจำจังหวัดอีกด้วย ถ้าทำได้หมดก็สอบผ่านแล้ว” ฟางชิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ

แน่นอนว่าการเลื่อนระดับนั้นเทียบเท่ากับการยกระดับความสามารถ

สวีเมี่ยวหลินเคยพูดว่า แพทย์ระดับปรมาจารย์จำเป็นต้องมีความเขี่ยวชาญระดับสูง

แต่ตอนนี้ข้อบังคับเบื้องต้นในการสอบเลื่อนขั้นเป็นแพทย์ระดับปรมาจารย์นั้น คือการจดจำเนื้อหาพื้นฐานแค่สามเล่มเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้น ตอนแพทย์ระดับปรมาจารย์จะเลื่อนขั้นเป็นแพทย์ระดับจักรพรรดิแล้ว เขาจำเป็นต้องท่องหนังสือพื้นฐานเก้าเล่มสำหรับสามวิชาใช่ไหมครับ?” ฟางชิวเอ่ยถาม

“คงต้องมากกว่านั้น” สวีเมี่ยวหลินส่ายหัว จากนั้นก็หัวเราะพลางกล่าวออกมาว่า “การเลื่อนขั้นของแพทย์ระดับปรมาจารย์ไปเป็นแพทย์ระดับจักรพรรดิ ต้องได้รับการประเมินโดยสมาคมแพทย์แผนจีนแห่งชาติ ก่อนการประเมินจะต้องอ่านหนังสือสามวิชา และแต่ละวิชาจะต้องอ่านความรู้พื้นฐานเจ็ดเล่ม รวมเป็นยี่สิบเอ็ดเล่ม”

ฟางชิวเบิกตากว้าง

ยี่สิบเอ็ดเล่ม!

ตอนแรก เขาคิดว่าอ่านหนังสือแค่สามเล่มก็เพียงพอในการสอบเลื่อนขั้นแล้ว เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าต้องอ่านหนังสือเจ็ดเล่ม

“นอกเหนือจากสามวิชานี้ที่ต้องประเมินก็ยังมีอีกสามวิชา ซึ่งก็คือวิชาตรงกันข้ามกับที่เธอเลือกสอบไปก่อนหน้า พวกเขาจะส่งตัวแทนมาสองคน ประเมินระดับความรู้โดยการสัมภาษณ์ จากนั้นพวกเขาถึงจะให้เธอเริ่มทดสอบจริง ถ้าเธอสอบผ่านทั้งหมด เธอก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นแพทย์ระดับจักรพรรดิ”

พูดมาถึงจุดนี้ สวีเมี่ยวหลินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็กล่าวเสริมว่า “หลังจากแพทย์ระดับจักรพรรดิถูกขนานนามว่าเป็นหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาจะเก่งกว่าแพทย์ระดับจักรพรรดิทั่วไป แต่พวกเขาจะไม่สามารถบรรลุถึงระดับเซียนได้ ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ฉันจะไม่ขอพูดแล้วกัน รู้เอาไว้ก็ดีนะ ตอนนี้มีแค่หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์สามท่านเท่านั้นบนโลก”

ฟางชิวตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

เขารู้ว่าลำดับการเลื่ยนขั้นในวงการแพทย์แผนจีนนั้นเข้มงวดมาก แต่ทำไมถึงเข้มงวดนักล่ะ?

มีแพทย์ที่เก่งกาจขนาดนั้นบนโลกใบนี้ด้วยหรือ?

แล้วหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์จะสามารถรักษาตาเฒ่าได้ไหมนะ?

[1] ทังโถวซ่ง หมายถึง หนังสือที่รวบรวมใบสั่งยาจีนเอาไว้มากมาย

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท