บทที่ 80 เธออยากเข้าวงการบันเทิงไหม?
บทที่ 80 เธออยากเข้าวงการบันเทิงไหม?
ฝูงชนต่างอินไปกับบทเพลง
มีใครไม่เคยไปโรงเรียนบ้างล่ะ?
ตราบใดที่เคยไปโรงเรียน ความคิดถึงในวันวานก็จะยังอยู่ในใจเสมอ
การร้องเพลงของเจียงเหมี่ยวอวี๋นั้นทำให้ทุกคนหวนคืนสู่วัยเรียนที่ไร้ความกังวลใด ๆ อีกครั้ง
หลังจากที่เจียงเหมี่ยวอวี๋ร้องเพลงจบท่อน เธอก็หันไปมองฟางชิว ชายหนุ่มเลยคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ
“หมั่นเรียนรู้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
สิ่งที่เราเรียนรู้
สามารถสร้างความมั่นใจให้เราเสมอ
ทวนหนังสือ
มีประโยชน์ทุกครั้งที่มีสอบ
อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่เข้าใจอะไร…”
เช่นเดียวกับรอบที่แล้ว ฟางชิวยังคงร้องเพลงภาษากวางตุ้ง
การร้องประสานเสียงครั้งนี้ทำให้สายตาของผู้ชมเป็นประกาย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าฟางชิวกำลังร้องอะไรออกมา แต่การร้องด้วยน้ำเสียงไพเราะอย่างนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกสนานมาก
มันแตกต่างไปจากการใช้ถ้อยคำที่ไพเราะสวยหรูอย่างเพลง ‘เมืองเทพนิยาย’ ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในเพลงนี้ ฟางชิวเหมือนจะเปลี่ยนโทนเสียงของเขาอีกครั้ง แม้คีย์จะค่อนข้างต่ำ แต่เขาก็ร้องออกมาได้ดีมาก
“โอ้มายก๊อด ไม่ต่างจากรอบที่แล้วเลย ร้องเพลงได้เพราะจริง ๆ!”
“เพลงนี้ก็ร้องเพราะดีนะ”
“ไอ้หนุ่มคนนี้สุดยอดมาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าร้องเพลงต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างนี้!”
“ฟังแล้วรู้สึกดีจัง”
“รู้สึกเหมือนได้กลับไปในสมัยเรียนจริง ๆ”
…
แล้วผู้ชมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น สายตาที่พวกเขาใช้มองฟางชิวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเขานึกว่าฟางชิวจะเหมาะกับการร้องเพลง ‘เมืองเทพนิยาย’ เท่านั้น ไม่คิดว่าฟางชิวก็ร้องและควบคุมเสียงได้ดีในเพลง ‘ของขวัญพิธีเปิดเทอม’ เหมือนกัน
“เด็กคนนี้เป็นใครเนี่ย สุดยอด”
“ร้องดีมาก คงชอบเพลงนี้เลยร้องเพลงนี้ได้ ควบคุมเสียงเก่งมาก ให้ตายเถอะ”
“เพลงแรกเสียงหว้านหวานแฝงความไร้เดียงสา ส่วนเพลงที่สอง สาวน้อยคนนั้นร้องได้ทรงพลังมาก ดูเชี่ยวชาญเหมือนนักร้องเลย”
“สองคนนี้เป็นนักร้องมืออาชีพหรือเปล่า!”
ที่รอบนอกของฝูงชนนั้น บรรดาพนักงานของบริษัทบันเทิงรู้สึกทึ่งมากขึ้นกว่าเดิม
ท่ามกลางความประหลาดใจของฝูงชน ฟางชิวก็ได้ร้องในส่วนของเขาจบแล้ว
เจียงเหมี่ยวอวี๋จึงร้องต่ออย่างรู้หน้าที่ คราวนี้ขณะที่ร้องเพลง เธอก็จ้องมองฟางชิวด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มก็ไม่ได้หลบตาหนีแต่อย่างใด เขาก็จ้องมองเธอกลับเหมือนกัน
เมื่อถึงช่วงที่สองของบทเพลง
“นักศึกษาทุก ๆ คน
หาที่นั่งของตัวเอง
นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ
บางครั้งชีวิตก็เศร้าหมองแบบไม่ยุติธรรม”
ตอนฟางชิวร้องท่อนนี้ออกมา ฝูงชนก็ตกตะลึงทันที
ท่วงทำนองที่สนุกสนานแบบนี้ ประกอบกับภาษากวางตุ้งที่ถูกขับร้องด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง ทำให้ฝูงชนที่อยู่ในที่แห่งนั้นรู้สึกสนุกไปกับท่วงทำนองของเพลง
ฟางชิวเคลื่อนไหวร่างกายขณะที่ร้องเพลงไปด้วย เขาสร้างบรรยากาศของผู้ชมอย่างแท้จริง
เพื่อนร่วมชั้นพากันปรบมือตามจังหวะของเพลง เป็นเหตุให้ผู้ชมปรบมือตามโดยไม่รู้ตัว บางคนไม่กล้าปรบมือ พวกเขาจึงพยักหน้าตามจังหวะหรือไม่ก็ขยับเท้าตามจังหวะแทน
ภาพนี้เหมือนเป็นงานเลี้ยงตอนกลางคืนไม่มีผิด
“เพราะ เพราะจริง ๆ”
“ไพเราะเกินไปแล้ว!”
“เป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบมาก!”
“ไม่แปลกใจเลยที่อยากให้พวกเขาร้องเพลงด้วยกัน เพราะว่ามันน่าทึ่งอย่างนี้นี่เอง!”
“วิเศษมาก!”
“สองคนนี้เป็นแฟนกันรึเปล่า?”
ผู้ชมต่างรู้สึกประหลาดใจ
“มีพรสวรรค์ชัด ๆ”
“ร้องแค่เพลงนี้สามารถเดบิวต์ได้เลยนะเนี่ย”
“น่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่เลยครับบอส ความสามารถแบบนี้ไม่ควรปล่อยไปนะครับ!”
“ใช่ ต้องจับเขาให้อยู่หมัด สาวน้อยคนนั้นก็เหมือนกัน พวกเขาสองคนต้องเซ็นสัญญากับบริษัทของเรา!”
ด้านนอกฝูงชน พนักงานของบริษัทบันเทิงจ้องไปที่ฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยสายตาคาดหวัง
ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มกับหญิงสาวสองคนนี้เป็นเหมือนดวงดาวที่เจิดจรัส แค่ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ก็ทำให้วงการบันเทิงพากันช็อกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างหน้าตาเลย
ท่ามกลางความประหลาดใจของฝูงชน มีสายตาหนึ่งมองฟางชิวด้วยความไม่พอใจอย่างสุดขีด
นั่นเป็นสายตาของโจวเจิ้น!
ในตอนแรก เขาก็ผสมโรงตะโกนให้ฟางชิวออกไปร้องเพลง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าทันทีที่ฟางชิวเริ่มร้องเพลง เรื่องราวต่าง ๆ จะเลยเถิดไปไกลอย่างนี้
สิ่งที่เขายอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือ เจียงเหมี่ยวอวี๋ถูกขอร้องให้ไปร้องเพลงกับฟางชิว แล้วพวกเขาก็ยังแอบมองกันและกันอีก
โจวเจิ้นขัดใจเพราะเขาชอบเจียงเหมี่ยวอวี๋!
วันนี้เขาเลยต้องกินน้ำส้มสายชู*[1] ถังใหญ่!
แล้วการขับร้องที่ยอดเยี่ยมของฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อร้องเพลงจบแล้ว ฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มองหน้า พวกเขาส่งยิ้มให้กันและกัน จากนั้นก็โค้งคำนับฝูงชนที่กำลังปรบมือให้เสียงดังลั่น
ฟางชิวแบกกีตาร์แล้วเดินไปหาหญิงสาวที่สวมหมวกเบสบอล
“ขออภัยที่รบกวนคุณ” หลังส่งกีตาร์คืนให้หญิงสาวแล้ว ฟางชิวก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณครับ!”
“ด้วยความยินดี” หญิงสาวรับกีตาร์มา เธอเหลือบมองฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “เธอทำให้ฉันรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ขอบคุณนะ!”
พูดจบ หญิงสาวก็เริ่มเล่นกีตาร์เพื่อจะร้องเพลงต่อไป แต่ทว่าเธอกลับหยุดชะงักเพราะมีสายโทรเข้ามา หลังวางสายแล้วเธอก็หันหลังเดินจากไปทันที
ร้องเพลงแค่สองเพลงนั้นใช้เวลาไม่นาน แต่มันก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องไปขึ้นรถไฟแล้ว ถ้าช้ากว่านั้นพวกเขาอาจตกขบวนได้
กลุ่มนักศึกษารีบพากันไปที่โถงผู้โดยสาร
เมื่อฝูงชนเห็นว่านักร้องจากไปแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจออกมา ทิ้งความตื่นเต้นไว้เบื้องหลังก่อนที่จะแยกย้ายจากกันไป
ทางด้านกลุ่มนักศึกษานั้นก็รีบพากันตะโกนว่า “ขอทางหน่อย ขอทางหน่อย!” เพราะสายมากแล้ว
ฟางชิวเดินไปส่งทุกคนที่ทางเข้าโถงผู้โดยสารของสถานีรถไฟ
อีกด้านหนึ่ง
หญิงสาวสวมหมวกเบสบอลออกจากจัตุรัสไปที่ลานจอดรถ ที่ลานจอดรถมีรถสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ รถคันนี้เป็นรถของผู้จัดการเธอ
หลังเข้ามาในรถตู้ของผู้จัดการแล้ว หญิงสาวก็ถอดหมวกออกทันที ทำให้เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องและชวนตะลึงแก่ผู้ที่พบเห็น
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไร้ที่ติ
“การแสดงในครั้งนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จเลยทีเดียว ที่ฉันโทรหาเธอเมื่อกี้ก็จะถามเธอว่า สองคนนั้นร้องเพลงเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนรีบถามหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“ผู้ชายคนนั้นร้องดีกว่าหนูค่ะ ส่วนผู้หญิงไม่เท่าไหร่” หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา
“ตอนที่ฉันเจอเธอ ฉันนึกว่าฟ้าส่งเธอมา ไม่คิดว่าจะมีอีกสองคน ซึ่งเก่งพอ ๆ กับเธอเลย” ชายวัยกลางคนพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ใช่แค่เสียงร้อง แต่บุคลิกกับหน้าตาก็ดี”
ทุกคนในรถรวมถึงหญิงสาวคนนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหมือนว่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่ ฉันต้องหาวิธีให้เขายอมเซ็นสัญญาให้ได้ ต่อให้ต้องติดต่อหกช่องทางก็เถอะ”
พูดจบ เขาก็กลัวว่าหญิงสาวจะคิดมากและเข้าใจผิด เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เธอวางใจได้เลย ตอนนี้บริษัทต้องการผลักดันเธอ และจะไม่มีการทำให้แผนของเธอล่าช้าเพราะคนอื่นเด็ดขาด ตอนนี้ฉันแค่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กสองคนนั้นเอาไว้ก่อน” หญิงสาวพยักหน้าอย่างมึนงง แต่ก็ดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็รีบลงจากรถแล้วตรงที่โถงผู้โดยสารของสถานีรถไฟ
ทางด้านของฟางชิวนั้น เขากำลังบอกลาทุกคน
“นายรีบกลับไปเถอะ มันดึกแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากจะมาเที่ยวกับพวกเราก็โทรหาได้ทุกเมื่อเลยนะ!” จูเปิ่นเจิ้งฉีกยิ้มแล้วโบกมือให้
“เจ้าห้า ฉันพอใจกับของขวัญอำลาของนายมาก ไม่แน่ถ้าฉันกลับไปฉันอาจจะเอาของขวัญไปฝากนายก็ได้!” ซุนฮ่าวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ส่งกันพันลี้ ในที่สุดก็ต้องจากกัน เจ้าห้า นายอย่าลืมดูแลตัวเองด้วย!” โจวเสี่ยวเทียนคารวะฟางชิวด้วยใบหน้าที่จริงจัง แต่เขาไม่ทันได้พูดจบประโยคดี เขาก็กลั้นขำไม่ไหว สุดท้ายก็หลุดขำออกมา
“ขอให้เดินทางปลอดภัย” ฟางชิวยิ้มรับและพยักหน้าให้ จากนั้นก็โบกมือลาทั้งสามสิบคนแล้วมองดูพวกเขาเข้าไปที่โถงผู้โดยสาร
เมื่อแผ่นหลังของเพื่อน ๆ หายเข้าไปในฝูงชน ฟางชิวจึงหันหลังกลับ
แต่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา
“นักศึกษา”
พอได้ยินเสียงเรียก ฟางชิวจึงหันหลังกลับไปมอง แล้วคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้นเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบปี
ผู้ชายคนนี้แลดูสะอาดสะอ้าน แต่งกายค่อนข้างดีและดูทันสมัย
“คุณคือใครครับ?” ฟางชิวถาม
“ฉันมาจากบริษัทเฉินซิงเอนเตอร์เทนเมนต์” ชายวัยกลางคนรีบเดินไปข้างหน้า เพื่อยื่นนามบัตรให้ฟางชิวแล้วพูดออกมาว่า “เมื่อกี้ฉันได้ยินเธอร้องเพลงที่จัตุรัส ฉันรู้สึกว่าคุณสมบัติของเธอดีมาก ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการเข้าวงการบันเทิงไหม แต่ขอรับประกันเลยว่าภายในสองปี เธอจะโด่งดังไปทั่วประเทศ!” หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็จ้องมองฟางชิวอย่างแน่วแน่
วงการบันเทิง?
แมวมอง?
ฟางชิวตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ยิ้มออกมา นึกขบขันว่าในที่สุดเขาก็ได้เจอกับแมวมองเข้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็สนใจการแพทย์แผนจีนมากกว่าอยู่ดี
“ขอโทษครับ ผมไม่ต้องการเข้าวงการบันเทิง การร้องเพลงเป็นแค่งานอดิเรก!” ฟางชิวปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วคืนนามบัตรไป “ผมคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน”
“ไม่เป็นไร แค่เป็นเพื่อนกันก็ได้!” ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของชายวัยกลางคน เขาผลักมือของฟางชิวกลับแล้วทิ้งนามบัตรไว้ในมือของอีกฝ่าย จากนั้นเอ่ยถามว่า “ฉันขอข้อมูลติดต่อของเธอได้ไหม”
ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการปฏิเสธแบบนี้เป็นเรื่องหยาบคาย แต่เพื่อไม่ให้ถูกรบกวนในอนาคต เขาต้องส่ายหน้าปฏิเสธเท่านั้น
ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระดากอายเพราะการปฏิเสธของฟางชิว เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “เอาน่า เธอมีข้อมูลติดต่อของฉันก็พอแล้ว น้องชายก็ลองคิดดูอีกทีนะ คิดได้แล้วก็โทรหาฉันได้เลย เธอมีศักยภาพที่จะเป็นดาราจริง ๆ ถ้าเธอไม่ได้เข้าร่วมวงการบันเทิงคงน่าเสียดายแย่!”
ฟางชิวยังคงยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเดิม
เมื่อเห็นการปฏิเสธซ้ำ ๆ ของฟางชิว ชายวัยกลางคนก็รู้ว่าขืนเขายังตื้อไม่เลิก มันจะทำให้ดูน่ารำคาญและดื้อรั้น เขาจึงตัดสินใจเดินจากไป
“ฉันยังมีเรื่องต้องไปจัดการ เธอสามารถโทรมาที่บริษัทเฉินซิงเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ตลอดเวลา หรือจะหาข้อมูลติดต่อของฉันทางออนไลน์ก็ได้ ถ้าเธอเปลี่ยนใจก็ต้องโทรหาฉันเป็นคนแรกนะ” ชายวัยกลางคนเอื้อมมือออกไปจับมือฟางชิวแล้วจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ฟางชิวหยิบนามบัตรขึ้นมาดู ชายหนุ่มอ่านแล้วก็ส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ พลางยัดนามบัตรใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว รถเมล์จึงหยุดวิ่ง
เพื่อประหยัดเงิน ฟางชิวก็เลยไม่ได้เลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับไปมหาวิทยาลัย แต่เขากลับฉวยโอกาสในตอนกลางคืนเร่งเดินทาง ตอนนี้เขายังมีหนี้อยู่สองแสนเจ็ดหมื่นหยวน ดังนั้นเขาจึงต้องออมเงินเท่าที่ออมได้
แน่นอนว่า เพื่อที่จะกลับไปถึงมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ฟางชิวก็ไม่ได้เดินเตร่ไปตามถนน แต่เลือกถนนที่มีคนอาศัยอยู่น้อยแทน
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ
ฟางชิวก็เร่งความเร็วในการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
สวบ!
ในความมืดมิด ร่างของฟางชิวเป็นเหมือนผีที่ล่องลอยอยู่บนท้องถนน
หลังจากฟางชิวผ่านเส้นทางหนึ่งไป จู่ ๆ ก็มีเสียงของคนสองคนกระโดดลงมาถึงพื้น
พรึ่บ!
ชายหนุ่มสองคนนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน จู่ ๆ ก็กระโดดมายืนกันบนถนน พวกเขามองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ด้วยความระแวง แต่หลังจากที่มองหาอยู่นาน แม้แต่ผีหนึ่งตัวก็ยังหาไม่เจอ
“เมื่อกี้ หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมา
[1] กินน้ำส้มสายชู เป็นคำแสลงภาษาจีนที่มีความหมายว่า หึงหวง