บทที่ 83 ไม่มีตั๋วไปภูเขาไท่ซาน…
บทที่ 83 ไม่มีตั๋วไปภูเขาไท่ซาน…
ที่ด้านหน้าของจอแสดงผลอันดับแพทย์ดีเด่น
“เสี่ยวเสิ่น คนที่ชื่อฟางชิว เป็นผู้ช่วยแพทย์คนใหม่ที่คุณหามาใช่ไหม?” แพทย์วัยกลางคนอายุราว ๆ ห้าสิบหน้าตาดูอารมณ์ดีเอ่ยถามเสิ่นชุน
“ใช่ครับ” เสิ่นชุนพยักหน้าตอบ
“ชื่อของเขาติดอันดับสองสัปดาห์ติดต่อกันเลยใช่ไหม” แพทย์วัยกลางคนมองดูชื่อฟางชิวบนหน้าจอแสดงผลด้วยสายตาเหลือเชื่อเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เขาตรวจโรคแค่ครึ่งวันจริง ๆ เหรอ?”
“อืม เขาจะมาทำงานทุกบ่ายวันอาทิตย์” เสิ่นชุนอดใจไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
คำพูดแบบนี้ใครจะเชื่อลง?
นี่ถ้าเขาไม่รู้ความจริงว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร เขาก็เชื่อไม่ลงเหมือนกัน!
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” จู่ ๆ ก็มีเสียงคนพูดแทรกขึ้นมา
เสิ่นชุนจึงหันหน้าไปมอง แล้วพบว่าเขากำลังถูกรายล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลที่เพิ่งเลิกงาน แต่ละคนต่างจ้องมองไปที่หน้าจอแสดงผลอันดับของแพทย์ดีเด่นด้วยความตกตะลึง
“จะเป็นไปได้ยังไงที่หมอฟางชิวจะติดอันดับถึงสองสัปดาห์ติดต่อกัน เขามาตรวจโรคแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้นเอง! แล้วเขาจะขึ้นไปติดอันดับรายชื่อแพทย์ดีเด่นได้ยังไงกัน!”
เนื่องจากทุกคนในที่นี้เป็นแพทย์ พวกเขาก็มักจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ได้อีกต่อไป
พวกเขาเลิกสนใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน แล้วถามคำถามออกไปตรง ๆ!
“นี่มันเกินจริงไปหรือเปล่าเนี่ย?”
“แค่ตลอดบ่ายนี้ก็ได้ยี่สิบสี่คะแนนโหวตแล้วเหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้เลย ปกติแล้วช่วงบ่ายจะตรวจโรคให้คนไข้ได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ว่าอัตราการลงคะแนนจะสูงแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ถึงยี่สิบสี่คะแนนโหวต! เขาเพิ่งเข้ามาเอง!” ข้อสงสัยมากมายถูกวิพากย์วิจารณ์ในสถานที่แห่งนี้
หลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น
แม้กระทั่งแพทย์วัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเสิ่นชุนก็ยังอดสงสัยในเรื่องนี้ไม่ได้
เป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง จะได้คะแนนโหวตตั้งยี่สิบสี่คะแนนได้อย่างไรกัน?
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็ บรรดาแพทย์สูงวัยทั้งหลายคงจะไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี
และไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แต่แพทย์ทั้งโรงพยาบาลอาจจะต้องเสียหน้าด้วย!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฟางชิวเป็นเด็กที่เสิ่นชุนแนะนำมา และยังได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการแล้ว นี่จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ถ้าอย่างนั้น ผลแสดงอันดับรายชื่อแพทย์ดีเด่นที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือ?
แพทย์วัยกลางคนตกใจกับข้อสรุปของเขาเอง เป็นเหตุให้รอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที
จากนั้นแพทย์วัยกลางก็พูดออกมาว่า “ถ้ามันเป็นเรื่องจริง นี่ก็คงจะเป็นคลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า*[1] แล้ว! คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าวงการแพทย์แผนจีนที่เก่าแก่และมีค่าอย่างนี้จะได้ใช้ประโยคนี้ด้วย คนคนนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย สุดยอดมากจริง ๆ!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น มุมมองและความคิดของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนหลายคนในวัยเดียวกับเขาก็เปลี่ยนไป
หลังจากทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปี พวกเขาย่อมรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะหาต้นกล้าดี ๆ เจอสักต้น และที่ยากไปกว่านั้นก็คือการหาอัจฉริยะแบบฟางชิว ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านแพทย์แผนจีนสูงและคนไข้ทุกคนยอมรับในทักษะการแพทย์
“ฉันไม่เชื่อ!” ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับความสามารถของฟางชิวอยู่นั้น จู่ ๆ แพทย์หนุ่มคนหนึ่งก็พูดโพล่งขึ้นมา
“เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่นอน!”
“ถ้าพูดให้ดูดี เขาก็เป็นเหมือนหมอฝึกหัดคนหนึ่ง แต่ถ้าพูดให้ดูแย่ เขาก็เป็นแค่หมอเถื่อน กล้ามาทำงานในโรงพยาบาลทั้งที่ยังเรียนไม่จบ แค่ช่วงบ่ายวันเดียวก็รักษาคนไข้ไปมากมาย แล้วยังได้โหวตสูงอีก เขาก็รักษาคนไข้ยี่สิบสี่คนโดยใช้เวลาในการรักษาคนไข้หนึ่งคนไม่ถึงเก้านาทีด้วยซ้ำ นี่มันจะไวเกินไปแล้ว!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคะแนนโหวตเขาก็ยังได้เต็มอีกด้วย นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”
“ยังไงซะฉันก็ไม่เชื่อ เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่ ๆ!” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา แพทย์แผนจีนวัยกลางคนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เพราะคำพูดของเพื่อนร่วมงานค่อนข้างแรงเกินไป แล้วยิ่งพูดในที่สาธารณะอย่างนี้ด้วย
มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำจริง ๆ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าแพทย์หนุ่มได้ยินแบบนั้น พวกเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันก็ไม่เชื่อ ไม่ว่าฟางชิวจะเก่งขนาดไหน แต่เขาก็ไม่น่าจะเก่งขนาดนั้น!” มีแพทย์หนุ่มคนหนึ่งรีบพูดสนับสนุน
“ส่วนคนไข้พวกนี้ ไม่ใช่ว่าหมอฟางชิวเป็นคนเรียกให้มาโหวตคะแนนหรอกเหรอ”
“การรักษาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รักษาเร็วแบบนี้คิดว่าคนไข้เข้าคิวรอซื้ออาหารอยู่รึไง”
“คิดยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาโกงหรือเปล่า แบบนี้การจัดอันดับแพทย์ดีเด่นเสียหายหมด!” แพทย์รุ่นเยาว์หลายคนยังคงตั้งคำถามต่อไป
แล้วความสงสัยเริ่มแผ่กระจายไปทั่ว จากมุมมองของพวกแพทย์ นี่มันผิดปกติแล้ว!
ใครจะไปถึงระดับนี้ได้อีก?
เมื่อได้ยินคำถามมากมายดังเข้ามาในหูของตัวเอง เสิ่นชุนก็ขมวดคิ้วแน่น เขาอยากจะพูดอะไรสักสองสามคำ แต่สุดท้ายกลับส่ายหัวและคลี่ยิ้ม จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เดี๋ยวความจริงก็จะพิสูจน์ทุกอย่างเอง
เขาเชื่อใจฟางชิว!
จากนั้นแพทย์แผนจีนวัยกลางคนหลายท่านก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม และไม่มีใครสนใจแพทย์รุ่นใหม่กลุ่มนั้นอีกเลย
คนพวกนี้มีมุมมองตื้นเขินเกินไป! ร้อนรนอยากจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมให้ได้สิน่า
อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างที่แพทย์และพยาบาลหลายคนตกใจที่เห็นฟางชิวติดอันดับแพทย์ดีเด่นอีกครั้ง ฟางชิวก็ได้ออกจากโรงพยาบาลที่ทางประตูหลังตั้งแต่รักษาคนไข้รายสุดท้ายเสร็จ
เมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว ฟางชิวก็ใช้โทรศัพท์มือถือตัวเองจองตั๋วขณะเดินไปที่หอพักของมหาวิทยาลัย
“หมดแล้ว?” หลังเข้าสู่เว็บไซต์การจองตั๋ว ฟางชิวก็พบว่าตั๋วรถไฟจากเมืองเจียงจิงไปยังเมืองไท่อันหมดแล้ว
ที่จริงแล้ว ตอนที่ซุนฮ่าวจองตั๋ว เขาก็คิดว่าตนเองจะจองตั๋วได้ทันไหม แต่พอมาคิดอีกที เขาจะออกเดินทางในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่สองของวันหยุดวันชาติ ที่นั่งบนรถไฟก็ไม่น่าจะแน่นขนาดนั้น เขาเลยไม่ได้รีบจองตั๋ว แต่ตอนนี้แค่เข้าเว็บไซต์แปปเดียว เขาก็อดตะลึงไม่ได้
ประเทศจีนนี่คนเยอะจริง ๆ!
ฟางชิวได้แต่ถอนหายใจออกมา
หลังจากไถหน้าจอเป็นเวลานาน เขาก็พบว่ามีตั๋วที่ไปถึงครึ่งทางของที่หมายเท่านั้น และไม่ได้ผ่านเมืองไท่อันด้วย ดังนั้นหลังจากที่ขึ้นรถแล้ว เขาจะไม่สามารถจองตั๋วไปเมืองไท่อันได้
ฟางชิวจึงได้โทรเข้าไปที่สถานีขนส่งแทน
สุดท้ายตั๋วรถที่สถานีขนส่งก็หมดเช่นกัน แม้กระทั่งตั๋วของวันพรุ่งนี้ก็ยังขายหมดแล้ว…
“นี่มันยุ่งยากแล้ว…” ฟางชิวกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่มีตั๋ว เขาจะจองตั๋วรถไฟของวันนี้ล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ เลย
นี่ถ้ารู้เร็วกว่านี้นะ เขาคงจะไม่ต้องเสียใจอย่างนี้หรอก!
“คงต้องซื้อตั๋วรถไฟไปถึงแค่ครึ่งทางก่อน จากนั้นค่อยหาวิธีไปเมืองไท่อันทีหลัง”
“พอถึงแล้วก็ต้องลองมองดูว่ามีรถบัสไปเขาไท่ซานไหม”
“ถึงแม้มันจะลำบากนิดหน่อย แต่สำหรับตอนนี้ นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำได้” ฟางชิวถอนหายใจ และไม่ลังเลที่จะรีบคว้าตั๋วเอาไว้
หลังจากได้ตั๋วแล้ว เขาก็กลับไปถึงหอพักพอดีแล้วเริ่มเก็บของ พอตกกลางคืน ฟางชิวก็ขึ้นรถไฟพร้อมกับกระเป๋าบนหลัง
ในกระเป๋าใบนี้มีน้ำและขนมปังมากมาย รวมถึงเสื้อผ้าและรองเท้าด้วย มีกระทั่งพลั่วพับอันเล็ก ๆ ที่เขาแอบซื้อทางออนไลน์
ฟางชิวพร้อมนั่งเบาะนั่งแข็ง ๆ ไปหลายชั่วโมงแล้ว
ระหว่างทางก็มีคนมาพูดคุยกับฟางชิวเป็นครั้งคราว เขาทำตัวเป็นมิตรกับทุกคน และไม่ได้นอนตลอดทาง
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากนอน แต่เนื่องจากตั๋วใบนี้พาเขาไปถึงแค่สถานีถงอู่ แล้วรถไฟจะไปถึงสถานีถงอู่ตอนตีสาม
ฟางชิวจึงทำได้แค่พักสายตาเท่านั้น
เวลาตีสาม รถไฟก็จอดที่สถานีถงอู่อย่างตรงเวลา
หลังจากที่ฟางชิวกล่าวอำลากับผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ เขาก็หยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นแล้วลงจากรถไฟไป
เมื่อออกจากสถานีรถไฟถงอู่ ดวงจันทร์ที่สว่างไสวก็ลอยขึ้นสูง
ฟางชิวเหม่อมองไปรอบ ๆ คืนนี้ช่างยาวนาน แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พอถึงที่นั่นแล้วคงต้องรีบหารถบัส”
แม้ว่าท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยดวงดาวสวยงาม แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะดูมันเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแผนที่ เพื่อดูเส้นทาง จากนั้นเริ่มมองหาถนนทางหลวงจากจุดที่เขายืนอยู่เพื่อไปยังภูเขาไท่ซาน ฟางชิวกะจะเดินเลียบทางด่วนเพื่อดูว่าเขาจะหารถนั่งได้ไหม
แม้ว่าจะมีความหวังแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ดีกว่าไม่มีหวังเลย
ถ้ามันไม่เวิร์กจริง ๆ ก็ค่อยหารถบัสไปเมืองไท่อันในตอนกลางวัน
คิดได้ดังนั้นแล้ว ฟางชิวก็กระโดดหายตัวไปในความมืด
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ริมถนนเลยสักคนเดียว
พอฟางชิวรวบรวมพลังปราณไว้เพียงพอ เขาก็พุ่งไปที่ทางด่วนอย่างไว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
ห่างจากจุดที่ฟางชิวยืนอยู่ไปสามร้อยเมตรก็จะมีประตูเก็บค่าผ่านทางด่วนที่จะไปเมืองไท่อัน เขาเหยียดมือขวาออกไปแล้วยกนิ้วโป้งขึ้น จากนั้นก็รอ
แถวชานเมืองที่ทุรกันดารอย่างนี้มักจะมีลมหนาวพัดไปมาอยู่เสมอ
ฟางชิวยืนอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
ต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม ฟางชิวก็ยังมุมานะ เขาหยุดยืนอยู่ริมถนน หลับตาลงแล้วเริ่มฝึกฝน
ไม่นานก็มีแสงระยิบระยับค่อย ๆ เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฟางชิวลืมตาขึ้นทันที ชายหนุ่มยื่นมือออกไปแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นเพื่อขอติดรถไปด้วย
ฟ้าวววว!
ไม่มีวี่แววว่ารถจะชะลอให้เลย แต่ละคันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนมีลมกระโชกแรงพัดผ่านเขาไปตรง ๆ โดยที่ไม่สนใจเขาเลย
ท่ามกลางสายลมพวกนั้น ฟางชิวค่อย ๆ เก็บนิ้วหัวแม่มือ
ทว่าจู่ ๆ ก็มีรถขับมาอีกคัน ฟางชิวยกนิ้วโป้งขึ้นอีกครั้ง
ฟ้าวววว!
แล้วก็ขับผ่านเลยไปอีกคัน โดยที่ไม่มีการเบรกเลย…
บนทางหลวงมีรถหลายคัน แต่ก็ขับผ่านเขาไปทุกคัน
รอยยิ้มชายหนุ่มขมขื่นอย่างยิ่ง ไม่มีใครจอดถามเขาเลยสักคัน
ฟ้าวววว!
แล้วรถอีกคันก็ผ่านไป และดูเหมือนว่าจะยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมตอนที่ขับผ่านเขาไป
คงไม่ได้คิดว่าเขาเป็นผีกันหรอกนะ?
คิดได้ดังนั้น ฟางชิวก็ก้มมองเสื้อผ้าของเขา
เสื้อยืดสีขาว กางเกงสีดำ
แม่งเอ๊ย!
ในคืนมืดมิดอย่างนี้ เมื่อแสงส่องลงมา คนอื่นอาจจะคิดว่าเขาเป็นผีที่ไม่มีขา มีแค่ร่างกายส่วนบนเท่านั้น!
จบแล้ว!
มันจบแล้ว!
ขอติดรถไปด้วยในช่วงเวลาตีสามกว่า ๆ ถ้าไม่ใช่คนบ้าก็เป็นผีแล้ว
“เฮ้อ…” ฟางชิวถอนหายใจแล้วพลางส่ายหัว
ตอนออกมาข้างนอกครั้งหน้า เขาต้องตั้งใจเลือกเสื้อผ้าดี ๆ หน่อยแล้ว!
ทันใดนั้นเอง ไม่ไกลออกไป เขาก็เห็นรถอีกคันวิ่งมา
“ถ้าบังเอิญมีรถที่จะไปเมืองไท่อันมาเสียตรงนี้ แล้วยอมให้ฉันติดรถไปด้วย แต่พอฉันขึ้นรถแล้วรถก็หายพัง แบบนี้แสดงว่ามันต้องเป็นโชคชะตาแล้ว!”
ไม่ทันขาดคำ
รถที่วิ่งมาแต่ไกลก็เบรกกะทันหัน
เสียงดังเอี๊ยดทำให้เกิดเป็นรอยยางสีดำเป็นทางยาว จากนั้นเสียงคำรามของเครื่องยนต์ก็ดับไป
รถหยุดอยู่ตรงหน้าฟางชิวพอดิบพอดี
ฟางชิวตกตะลึง
รถเสีย?
เฮ้ย!
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
หัวใจฟางชิวเต้นแรง
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเดินไปที่รถ SUV ขนาดเล็ก
ทันทีที่รถหยุด วัยรุ่นชายหญิงสองคนก็ลงจากรถ
เมื่อเห็นฟางชิว ทั้งสองคนก็ตกใจทันที
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มีคนโผล่ออกมาตอนกลางคืนล่ะ?
ทั้งสองคนเริ่มระวังตัว
“สวัสดี” ฟางชิวเดินเข้าไปใกล้แล้วทักทายด้วยความสุภาพ และไม่ลืมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“มีอะไร?” ชายที่สวมชุดลำลองจ้องมองฟางชิวอย่างระมัดระวัง
“ขอถามหน่อยว่า คุณจะไปที่ภูเขาไท่ซานหรือเปล่า”
ชายคนนั้นไม่ตอบ เขาเตรียมกำหมัดแน่น ขณะจ้องมองฟางชิวอย่างไม่วางตา
ฟางชิวดีใจมากเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มผู้นี้เป็นแบบนั้น
แสดงว่าพวกเขาต้องไปภูเขาไท่ซานแน่นอน ไม่อย่างนั้นตนคงถูกปฏิเสธไปนานแล้ว
“พวกคุณไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้”
ฟางชิวรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฉันเป็นนักศึกษา แล้วก็กำลังจะไปภูเขาไท่ซานเหมือนกัน แต่ฉันจองตั๋วไม่ทันเพราะตรงกับวันหยุดชาติ ฉันก็เลยมาโผล่ที่นี่และหารถต่อไปที่นั่น”
“นักศึกษางั้นเหรอ?” ชายคนนั้นมองฟางชิวจากบนลงล่างด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่า ฟางชิวดูเป็นคนดีและเหมือนนักศึกษาจริง ๆ ความระแวดระวังก็ลดลงไปมาก
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีรถคันไหนหยุดให้เลย โชคดีที่ฉันได้เจอพวกเธอ ขอนั่งรถไปด้วยได้ไหม” ฟางชิวถาม
“ได้สิ แต่รถของพวกเราเสีย ไม่รู้ว่าจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่” ชายเจ้าของรถไม่ได้ปฏิเสธ
ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นพูด ผู้หญิงข้าง ๆ เขาก็ดึงแขนเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าเธอไม่ต้องการให้ฟางชิวเข้าไปในรถ เพราะกลัวว่าฟางชิวจะเป็นคนไม่ดี
ผู้ชายคนนั้นจึงลูบมือของเธอเพื่อส่งสัญญาณให้เธอรู้สึกสบายใจ
อันที่จริงก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะเขาไม่รู้ว่ารถจะซ่อมเมื่อไร ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถซ่อมแซมได้ก่อนรุ่งสางด้วยซ้ำ
“เธอไปรอตรงนั้นก่อน เดี๋ยวฉันจะไปซ่อมรถ” ชายหนุ่มขอให้แฟนสาวกลับไปที่รถก่อน เธอจึงตอบกลับมาว่า
“ก็ได้”
ฟางชิวยืนข้างชายเจ้าของรถ และชวนเขาคุยขณะที่รอช่างซ่อม จึงได้รู้ว่าสองคนนี้กำลังขับรถไปเที่ยวช่วงวันหยุด
แต่คิดไม่ถึงว่ารถจะมาพังลงที่นี่
“หวังว่ารถจะซ่อมเสร็จไว ๆ”
ฟางชิวพูดพึมพำเบา ๆ หลังจากพูดจบ
ในตอนนั้นชายเจ้าของรถก็พยายามสตาร์ตรถอีกครั้ง ปรากฏว่ารถสตาร์ตได้ปกติ…
[1] คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า หมายถึง คนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่าเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า