บทที่ 98 ความเข้าใจผิดที่แก้ไขไม่ได้!
บทที่ 98 ความเข้าใจผิดที่แก้ไขไม่ได้!
ฟางชิวนอนอยู่บนเตียง เขานอนไม่หลับและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เช่นเดียวกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เธอแค่นอนเงียบ ๆ เท่านั้น แม้ว่าในห้องจะเป็นสีดำสนิท แต่เธอก็ยังจ้องไปยังทิศทางฟางชิวนอนอยู่
ทั้งคู่นอนไม่หลับ
ค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างช้า ๆ
คืนนี้กลายเป็นคืนที่เงียบสงบ คืนที่ไม่ได้มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น
ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ?” ฟางชิวทักหลังเห็นเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนอนลืมตาอยู่บนเตียง
“อืม… ร่างกายฉันน่าคิดถึงเตียงของตัวเองน่ะ ฉันเลยตื่นแต่เช้า” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบพร้อมกับพยักหน้า
“ถ้างั้นทำไมไม่ลุกขึ้นมาออกกำลังกายล่ะ” ฟางชิวเอ่ยถาม
“ก็ได้นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแล้วออกจากโรงแรมเพื่อมาวิ่งจ็อกกิ้งบนลู่วิ่งที่ทะเลสาบของมหาวิทยาลัย
“ฉันจะกลับวันนี้นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฟางชิวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “รถไฟออกกี่โมง?”
“น่าจะหลังจากที่กินมื้อเช้าแล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบกลับ
“ฉันจะไปส่งเธอเอง” ฟางชิวกล่าว
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่งั้นนายจะปล่อยให้ผู้หญิงคนเดียวอย่างฉันไปเองเหรอ?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะ
หลังจากวิ่งจ๊อกกิ้งไปสองรอบ ฟางชิวกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็หยุดวิ่ง แล้วพวกเขาก็ตรงไปในโรงอาหารพลางพูดคุยกันอย่างออกรส
หลังอาหารเช้าก็เป็นเวลา 7:30 น.
เที่ยวขบวนรถของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยคือ 8:30 น. ฟางชิวเลยพาเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนั่งแท็กซี่ไปที่สถานีรถไฟ
“นายอยากให้ฉันกลับไปไหม” หลังจากได้รับตั๋วที่สถานีแล้ว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็เอ่ยถามฟางชิวด้วยรอยยิ้ม
“ถึงฉันไม่อยากให้เธอกลับ แต่เธอก็ต้องกลับไปอยู่ดี” ฟางชิวหัวเราะ
“ฉันขอกอดหน่อยสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยอ้าแขนของเธอออกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันต้องไปแล้ว”
ฟางชิวไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปกอดเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยอย่างเชื่อฟัง
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยยิ้มหวาน เธอพิงไหล่ของฟางชิวแล้วกระซิบที่หูซ้ายของเขาว่า “เดี๋ยวพวกเราก็ได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้” พูดจบ เธอก็ปล่อยแขนแล้วหันหลังเดินจากไป
ในตู้รถไฟจะเป็นหน้าต่างกระจก ฟางชิวเฝ้าดูจนเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยขึ้นรถไฟไปแล้ว เขาถึงหันหลังกลับเพื่อกลับไปมหาวิทยาลัย
“เดี๋ยวพวกเราก็ได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้?” ฟางชิวพึมพำกับตัวเอง
เขาไม่เข้าใจว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหมายถึงอะไร เธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากกลับถึงบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่มีทาง
วันหยุดวันชาติจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า และเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือของเธอ เธอไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีก
หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ฟางชิวก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ เขาจึงสลัดความคิดนี้ทิ้งไป
เมื่อออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูง
ดีดี้ดี…
มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของฟางชิวก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วก็เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเจียงเหมี่ยวอวี๋
“ฮัลโหล?” ฟางชิวได้ตอบกลับ
“[ฉันเองนะ]” เสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋ดังลอดออกมาจากมือถือ “[ฉันอยากถามว่าเมิ่งเจี๋ยจะกลับตอนไหน ฉันอยากไปส่ง]”
“เธอไปแล้ว” ฟางชิวตอบ
“[หา?]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตกใจ ก่อนที่เธอจะถามว่า “[ตอนไหนเหรอ?]”
“เมื่อกี้ ฉันเพิ่งจะส่งเธอขึ้นรถไฟไปเอง” ฟางชิวกล่าว
“[อ้อ!]” เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้าเข้าใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “[เมื่อคืนนายไม่กลับมาที่มหาวิทยาลัยเหรอ?]”
“ไม่ได้กลับ” ฟางชิวลังเลที่จะตอบ แต่สุดท้ายเขาก็พูดความจริงออกไป ทำให้เกิดความเงียบจากปลายสายทันที
หลังจากนั้นไม่นาน
“[ฉันต้องไปเรียนแล้ว]” เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดก่อนจะวางสายไป
เมื่อกดวางสายแล้ว เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็นอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียง เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังถูกบีบรัด
ส่วนฟางชิวก็ได้แต่คลี่ยิ้มบิดเบี้ยวออกมา เพราะเขารู้ดีว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ
เขาไม่ได้กลับไปมหาวิทยาลัยทั้งคืน ประโยคนี้สำหรับเจียงเหมี่ยวอวี๋แล้วมันชัดเจนเกินไป
เจียงเหมี่ยวอวี๋รู้ว่าเขาพาเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกลับไปที่โรงแรมของเธอ
แล้วนั่นมันเป็นสถานที่แบบไหนกันล่ะ?
มันเป็นโรงแรม!
เขาไม่ได้กลับไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ในโรงแรม
เนื่องจากมีหอพักในมหาวิทยาลัย ดังนั้นฟางชิวจึงไม่จำเป็นต้องเปิดห้องใหม่ในโรงแรม ฉะนั้นที่นอนเดียวที่ฟางชิวจะนอนได้ก็คือ ห้องของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
ฟางชิวรู้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋เข้าใจผิด ถึงจะอยากอธิบาย แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตนไม่สามารถอธิบายได้
ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น?
แล้วเขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรด้วย
แม้ว่าเขาจะสามารถอธิบายได้ แต่เจียงเหมี่ยวอวี๋จะเข้าใจไหมล่ะ?
ไปค้างคืนกับผู้หญิงอื่นสองต่อสอง… จะมีผู้หญิงคนไหนคิดในแง่ดีได้?
ฟางชิวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง เพราะเขาต้องจัดการกับขุมทรัพย์สมุนไพรก่อน!
ฟางชิวนั่งแท็กซี่กลับไปมหาวิทยาลัยด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก
“วันหยุดวันชาติจะหมดแล้ว ฉันต้องรีบแล้ว”
เมื่อกลับมาถึงหอพักแล้ว ฟางชิวก็คว้ากระเป๋าเป้ของเขาและจากไปอีกครั้ง
ภายในกระเป๋าเป้ของเขามีเห็ดหลินจือกับโสมป่าอยู่สองสามชนิด
เขาวางแผนที่จะขายให้กับร้านขายยา เพราะคนอื่นอาจไม่ค่อยรู้ถึงคุณค่าของพวกมันสักเท่าไร ดังนั้นเขาจึงต้องหาร้านขายยาจีน
ขณะที่กำลังเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัย ฟางชิวก็ยุ่งอยู่กับการค้นหาร้านขายยาจีนบนโทรศัพท์
ไม่นานเขาก็เจอร้านขายยาจีนชื่อดังที่มีอายุกว่าร้อยปี ซึ่งมีชื่อว่า ‘ร้านขายยาจีนซื่อ’
ความคิดเห็นของทางร้านค่อนข้างเป็นบวก และร้านขายยาแห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
ฟางชิวจึงเลือกที่จะเดินไปแทนการนั่งแท็กซี่ แน่นอนว่าด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคนทั่วไป
หลังจากนั้นสิบห้านาที ฟางชิวก็มาถึงประตูร้านขายยา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองร้านขายหน้าตรงหน้า
ร้านขายยาจีนแห่งนี้ตกแต่งด้วยไม้สีดำเก่าแก่ ให้บรรยากาศโบราณ
ร้านค้ามีสามอาคาร อาคารทั้งสองด้านถูกกั้นด้วยกระจก และอาคารที่อยู่ตรงกลางเปิดกว้าง ซึ่งอาคารกลางแขวนกระดานจารึกโบราณที่มีอักษรสีทองสี่ตัวเขียนว่า ‘ร้านยาจีนซื่อ’
“ดูแล้วก็ไม่เลวเลยนี่นา” ฟางชิวคิดกับตัวเองขณะเข้าไปในร้านขายยา
ทันทีที่เขาเดินเข้าไป กลิ่นของยาจีนทุกชนิดก็ลอยเข้ามาที่จมูกของเขา
แล้วเขาก็เห็นรูปแบบและการตกแต่งร้านที่โบราณมาก มีหีบไม้สูงเท่าเอวสองใบอยู่ตรงกลาง ข้างในแบ่งออกเป็นหลายช่อง โดยแต่ละช่องเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ไม่มีกลิ่นรุนแรง
ตู้ยาที่ทั้งสูงและกว้างสามใบถูกตั้งแยกจากกัน แล้วตู้ทั้งสามใบก็ตั้งชิดกับผนังทั้งสามด้านจนเกือบจะบังผนังทั้งหมด
ทางขวาของฟางชิว มีเคาน์เตอร์ไม้ที่มีขวดและไหวางอยู่มากมาย
ผู้ชายที่มีอายุราว ๆ ห้าสิบปีนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขากำลังจัดการกับสมุนไพรอยู่ ถัดจากเคาน์เตอร์ก็เป็นโต๊ะให้คำปรึกษา มีแพทย์แผนจีนอาวุโสคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะให้ปรึกษา ท่าทางน่าจะกำลังอ่านหนังสือทางการแพทย์ในมือ
“สวัสดีครับ” ที่หน้าเคาน์เตอร์ ฟางชิวเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “คุณเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ?”
เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมามองฟางชิวแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ มีอะไรอยากให้ฉันช่วยเหรอ?”
“ร้านของคุณสามารถวินิจฉัยผู้ป่วยได้ไหมครับ” ฟางชิวเหลือบมองไปทางแพทย์แผนจีนอาวุโสที่นั่งอยู่ที่โต๊ะให้คำปรึกษาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
“เธอหมายถึงเขาเหรอ” เจ้าของร้านส่ายหน้าปฏิเสธแล้วพูดต่อว่า “เขาตรวจคนไข้ไม่ได้ แต่เขาดูแลใบสั่งยาได้ คนมาที่นี่พร้อมกับใบสั่งยากันเยอะน่ะเลยพอจะทำได้ ถ้าเป็นใบสั่งยาจากโรงพยาบาลใหญ่เขาก็ไม่ต้องดู แต่ถ้าเป็นใบสั่งยาจากพวกหมอจีนเขาต้องตั้งใจดูเป็นพิเศษ ยังไงลูกค้าก็มาซื้อยากับร้านของพวกเรา พวกเราเลยต้องรับผิดชอบ”
ฟางชิวพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เขารู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยร้านนี้ก็มีระบบการจัดการดี
“เธอมีใบสั่งยาไหม” เจ้าของร้านเอ่ยถามฟางชิว
“เอ่อ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อยาครับ” ฟางชิวส่ายหัวและอธิบายต่อไปว่า “ผมมีสมุนไพรมาขาย”
“ขายสมุนไพร?” เจ้าของร้านรู้สึกสับสน
ที่โต๊ะให้คำปรึกษา แพทย์แผนจีนอาวุโสก็วางหนังสือทางการแพทย์ลงแล้วมองขึ้นไปที่ฟางชิว
“เธออยากจะขายอะไร” เจ้าของร้านถามด้วยความอยากรู้
“พวกนี้ครับ” สิ้นคำ ฟางชิวก็นำเห็ดหลินจือป่าสามต้นกับโสมป่าหนึ่งต้นออกจากกระเป๋าเป้
“หืม?” เมื่อเห็นสมุนไพร เจ้าของร้านก็รีบหยิบมันมาจากมือของฟางชิวแล้วเรียกแพทย์แผนจีนข้าง ๆ ทันที “เหล่าหลี่ รีบมาดูนี่สิ”
แพทย์แผนจีนอาวุโสจึงเดินเข้าไปดูสมุนไพร
ทั้งสองคนวางสมุนไพรของฟางชิวลงบนเคาน์เตอร์แล้วมองดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปพลิกดูสมุนไพร
“สมุนไพรพวกนี้ดีมาก” หลังจากดูอยู่นาน เจ้าของร้านก็พยักหน้า หลังเงยหน้าขึ้นมองฟางชิว เขาก็ถามว่า “เธอไปเอาสมุนไพรดี ๆ แบบนี้มาจากไหน?”
“เก็บมาจากภูเขาครับ” ฟางชิวตอบ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เจ้าของร้านก็ส่ายหัว “จากประสบการณ์ของฉัน เห็ดหลินจือป่ากับโสมป่าพวกนี้จะหาไม่ได้ในภูเขาทั่วไป แล้วด้วยวัยของเธอ ฉันไม่คิดว่าเธอจะเข้าไปในภูเขาได้ลึกขนาดนั้นนะ”
ฟางชิวรู้สึกงงงวย
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการขายสมุนไพรเหรอครับ”
“หนุ่มน้อย” แพทย์แผนจีนผู้เฒ่ากล่าวว่า “สมุนไพรของเธอมันดีมาก แต่ร้านของเราไม่สามารถรับซื้อสมุนไพรที่ระบุแหล่งที่มาไม่ได้”
ฟางชิวรู้สึกหมดหนทาง เขาจึงต้องเก็บสมุนไพรกลับไปเหมือนเดิม
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับฟางชิว แต่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของร้านกับแพทย์แผนจีนอาวุโสจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้
ท้ายที่สุดแล้ว สมุนไพรป่าที่มีคุณภาพดีเช่นนี้ก็หาได้ยาก
มันสมเหตุสมผลแล้วที่ฟางชิวจะถูกสงสัย เพราะว่าเขาอายุยังน้อย
สมุนไพรพวกนี้อาจจะถูกขโมยมาขายก็ได้ หลังจากซื้อสมุนไพรพวกเขาอาจจะเจอปัญหา
ร้านขายยาใหญ่ ๆ แบบนี้ ไม่ได้เกลียดอะไรมากไปกว่าปัญหาเลย
ถ้าเกิดปัญหา ชื่อเสียงของร้านจะเสียหายและไม่มีอะไรสามารถชดเชยได้
แม้ว่าสมุนไพรจะมีต้นกำเนิดที่ชัดเจน แต่มันจะเป็นพิษไหม? นี่ก็ยากที่จะบอกได้หากไม่มีรายงานการตรวจสอบที่ชัดเจน
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” ฟางชิวกล่าวพลางพยักหน้า และเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไป
ในระหว่างนั้นก็มีเสียงคนเดินเข้ามาในร้าน
“โอ๊ย… เถ้าแก่ คุณยังมีพลาสเตอร์ยาแก้ปวดแบบเดียวกับที่ฉันซื้อครั้งล่าสุดไหม”
เมื่อฟางชิวเงยหน้า เขาก็เห็นชายอายุสี่สิบปีเดินเอามือกุมเอวเข้ามา สีหน้าของชายคนนั้นก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“อะไรกัน? ปวดเอวอีกแล้วเหรอ?” เจ้าของร้านเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
“ใช่ ๆ” ชายวัยกลางคนพูดต่อ “เร็วเข้า เอาพลาสเตอร์ยาแก้ปวดมาให้ฉันหน่อย ความปวดมันจะได้ลดลง ฉันคงเดินได้ไม่นานถ้ายังปวดอยู่อย่างนี้” ชายวัยกลางคนค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าหาพวกเขาในขณะที่พูด
ฟางชิวหยุดเดิน และจ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนแทน
อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เอวอย่างรุนแรง ชายวัยกลางคนเลยไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีสายตาของฟางชิวกำลังจ้องมองตนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อชายวัยกลางคนกำลังเอื้อมมือไปที่เคาน์เตอร์ ฟางชิวก็ได้เคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่ทำให้ทุกคนในร้านตกตะลึง
ฟางชิวยกขาขวาของเขาขึ้นและเตะไปที่เอวของชายวัยกลางคนอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าคนที่โดนเตะร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
ปึ่ก!
“โอ๊ย!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาทันทีหลังจากการเตะ
แล้วชายวัยกลางคนก็ล้มไปนอนกับพื้นด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวของฟางชิว
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว สีหน้าเจ้าของร้านก็เปลี่ยนไปทันที แพทย์แผนจีนอาวุโสที่ยืนข้างเจ้าของร้านก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ลงมือแบบนั้นล่ะ?
ส่วนที่พื้นนั้นชายวัยกลางคนที่ล้มลงบนพื้นก็มองฟางชิวด้วยความโกรธและสับสนงงงวย
“ทำอะไรของเธอ?!”