บทที่ 110 เป็นเครื่องมือที่มหาวิทยาลัยเอาไว้ใช้งาน!
บทที่ 110 เป็นเครื่องมือที่มหาวิทยาลัยเอาไว้ใช้งาน!
เหล่านักศึกษาเอกกีฬากับอาจารย์หม่าวิ่งตรงเข้าไปหาฟางชิวหลังจากทุกคนหายตกใจแล้ว ทุกคนไม่ได้สนใจว่าฟางชิวจะวิ่งมานานแค่ไหน พวกเขารู้เพียงแค่ว่าฟางชิวชนะแล้ว
เมื่อเห็นภาพนั้น เกาเฟยก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ฟางชิว”
ขณะที่ฟางชิวกำลังเดินไปหาเกาเฟย จู่ ๆ อาจารย์หม่าที่วิ่งเหยาะ ๆ มาตลอดทางก็คว้าไหล่ของฟางชิวไว้พร้อมกับสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นก็พูดชื่นชมขึ้นมาว่า
“ยอดเยี่ยมมาก เธอเก่งมาก! ในฐานะหัวหน้าโค้ช ฉันขอเชิญเธอเข้าร่วมทีม ฉันหวังว่าเธอจะเข้าร่วมทีมกรีฑาของพวกเราและเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปเข้าร่วมการประชุมกีฬาประจำจังหวัดในอีกหนึ่งเดือนที่จะถึงนี้ จะได้เป็นเกียรติของมหาวิทยาลัยพวกเรา!”
“ฉันไม่รู้ว่าเธออยากจะเข้าร่วมทีมของพวกเราไหม?”
เชิญเข้าร่วมทีมหรือ?
นักศึกษาเอกกีฬาที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจออกมา
ถ้าฟางชิวเข้าร่วมทีมด้วยทักษะที่ดีขนาดนี้ เขาจะต้องได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน
“เข้าร่วมทีมกับพวกเราเถอะ!”
“ใช่แล้ว นายยอดเยี่ยมมาก มันจะน่าเสียดายนะถ้านายไม่เข้าร่วมทีมกรีฑาของพวกเรา”
“ใช่ ๆ ทีมกรีฑาของพวกเรายินดีต้อนรับนายนะ!” ทุกคนต่างพากันเอ่ยชักชวนฟางชิว
ฟางชิวได้เอาชนะพวกเขาด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองไปแล้ว
แต่ทว่าไม่มีใครสนใจเกาเฟยที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ เลย มีเพียงฟางชิวเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองเกาเฟยอย่างไม่ละสายตา
ชายหนุ่มไม่ได้มีความสุขที่ได้รับชัยชนะเลย มีแต่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเท่านั้น ยิ่งเมื่ออาจารย์หม่าเชิญเขาเข้าร่วมทีมกรีฑาเพื่อสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับมหาวิทยาลัยแล้ว ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
อนิจจา
ฟางชิวถอนหายใจออกมาด้วยความปลงตก
เขามองไปที่อาจารย์หม่า และเอ่ยถามอย่างเย็นชา “อาจารย์หม่าครับ ผมอยากจะถามคำถามคุณสักสองสามข้อ ถ้าเกิดว่านักศึกษาเอกกีฬาเหล่านี้ได้รับเกียรติจากทางมหาวิทยาลัยให้เป็นตัวแทนไปเข้าร่วมการประชุมกีฬา แล้วทางมหาวิทยาลัยจะหางานให้พวกเขาหลังจากสำเร็จการศึกษาไปแล้วไหมครับ”
อาจารย์หม่าที่กำลังรอคอยคำตอบของฟางชิวอย่างตื่นเต้นชะงักเมื่อได้ยิน
“ไม่” อาจารย์หม่าตอบด้วยความงุนงง
นี่เป็นคำตอบที่กลั่นมาจากสามัญสำนึกของอาจารย์หม่าแล้ว!
“แล้วพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรหลังพวกเขาได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัย” ฟางชิวยังคงถามต่อไป
อาจารย์หม่าถึงกับอึ้ง นักศึกษาเอกกีฬาทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ก็อยู่ในอารมณ์เดียวกับเขาเช่นกัน
ประโยชน์?
ใช่แล้ว ในฐานะนักศึกษาเอกกีฬา ไม่ว่าจะต้องฝึกจะหนักมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อเกียรติยศของมหาวิทยาลัยในการประชุมกีฬาแล้ว พวกเขาก็สู้ไม่มีถอย
แต่การที่พวกเขาฝึกซ้อมกันมาอย่างหนัก จะมีรางวัลอะไรให้พวกเขาไหม?
คงจะมีล่ะมั้ง
พวกเขาสามารถอวดผลการแข่งของตัวเองได้ แต่ไม่มีรางวัลอะไรเลย!
“พวกเขาได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัย ไม่ว่ามันจะเป็นผลดีต่อมหาวิทยาลัยหรือต่ออาจารย์ก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวพวกเขาเลย พวกเขาต้องเสียเวลาเรียนไปมากในการฝึกฝนกีฬาต่าง ๆ เพียงเพื่อต้องการสร้างเกียรติยศให้มหาวิทยาลัย แต่พวกเขากลับไม่ได้อะไรเลยนอกจากสูญเสียช่วงเวลาของการเป็นวัยรุ่นไป อีกอย่าง อาจารย์เองก็หาลู่ทางในอนาคตดี ๆ ให้พวกเขาไม่ได้ ทั้งที่เรื่องนี้สำคัญกับพวกเขามากที่สุด”
ฟางชิวพูดพลางแค่นหัวเราะ เสียงหัวเราะของชายหนุ่มเต็มไปด้วยโทสะ จากนั้นเขาก็พูดเสริมอีกว่า “พวกเขาฝึกซ้อมกันหนักมาก ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเพื่อเกียรติยศของมหาวิทยาลัย! วิ่งชนะแล้ว หลังจากนั้นล่ะ? หลังจากนั้นมันก็ไม่มีค่าอะไรอีกเลย!”
อาจารย์หม่าถึงกับอึ้ง นักศึกษาเอกกีฬาทุกคนเช่นกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้… พวกเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย
“ก็เหมือนอย่างตอนนี้ไง” ฟางชิวเอื้อมมือไปชี้ไปที่เกาเฟยที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น แล้วพูดว่า “ก่อนที่ผมจะชนะเขา เขาก็เป็นคนโปรดของอาจารย์ แต่ตอนนี้ผมชนะเขาแล้ว เขาก็ต้องรู้สึกหดหู่อยู่คนเดียว แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ แต่อาจารย์กลับตรงเข้ามาเชิญผมให้เข้าร่วมทีมแทน เกียรติยศมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ สำคัญจนถึงขั้นที่ทำให้อาจารย์ไร้มนุษยธรรมเลยเหรอครับ”
ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของอาจารย์หม่าก็หม่นหมองลงทันที
ไร้มนุษยธรรม?
คำนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการดูถูกคนเป็นอาจารย์อย่างเขา!
นักศึกษาเอกการกีฬาทุกคนรู้สึกตกใจมาก เมื่อพวกเขามองไปที่เกาเฟย รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นก็พากันคิดตามคำพูดของฟางชิว
ใช่แล้ว!
เกียรติสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?
มันคุ้มค่าจริง ๆ หรือที่จะเสียช่วงเวลาของการเป็นวัยรุ่นไปเพื่อสร้างเกียรติยศที่สุดท้ายเป็นของมหาวิทยาลัย
“เกาเฟย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงมั่นใจและภูมิใจเพียงเพราะนายวิ่งเร็ว” ฟางชิวมองไปที่เกาเฟยที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นแล้วพูดต่อว่า “นายสามารถหางานเพราะวิ่งเร็วได้ไหม? แล้วนายสามารถจัดตั้งบริษัทหรือเป็นครูพละเพราะมีความสมารถที่วิ่งเร็วกว่าคนอื่นได้ไหม?”
“นายทำทั้งหมดนี้ไม่ได้ และแม้แต่จะเป็นครูพละก็ยังไม่ได้เลย!”
“พวกนายเป็นเพียงเครื่องมือที่คอยมหาวิทยาลัยเอาไว้ใช้งาน” ฟางชิวเอ่ยพลางมองไปที่นักศึกษาเอกการกีฬาทุกคน
“ฉันหวังว่าพวกนายจะเข้าใจว่าทำไปทำไม มันคุ้มค่าที่จะทำหรือเปล่า? ช่วงเวลาวัยรุ่นของพวกนายมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!” หลังจากนั้นฟางชิวก็หันไปมองอาจารย์หม่า “ขออภัยด้วยครับ แต่ผมจะไม่เสียเวลาให้กับการวิ่ง”
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผมเข้าร่วมทีมไปแล้ว แล้วคนที่ฝึกซ้อมกันมาอย่างหนักจะทำยังไง! ชื่อเสียงและเกียรติยศควรจะเป็นของพวกเขา ไม่ใช่ผม!” พูดจบ ฟางชิวก็เดินกลับไปที่จุดสตาร์ตเพื่อไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่มีเงินอยู่ในนั้น
ทำให้ที่สนามกีฬาเหลือแต่เหล่านักศึกษาเอกกีฬาที่กำลังมึนงงสับสนและอาจารย์หม่าที่หน้าซีดไปแล้ว
ฟางชิวสงสารและเสียใจแทนนักศึกษาเอกกีฬา ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับนักศึกษาเอกกีฬาที่ไม่สามารถหางานทำหลังเรียนจบได้
แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการหรือความรู้ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแก่พวกเขา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยหากพวกเขาไม่มีความสามารถ
ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะถูกสังคมกลืนกินไป นักศึกษาเอกกีฬาเกือบทั้งหมดจะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับกีฬา ส่วนคนที่สามารถมีงานทำดี ๆ ก็มักจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว
นักศึกษาเอกกีฬาเข้ามาด้วยคะแนนสอบเข้าที่น้อยกว่าคนอื่นก็จริง แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียสละเวลาในการเรียนทั้งหมดไป เพียงเพื่อไปคว้าชัยชนะให้ผู้อื่นอย่างนี้!
มีสติได้แล้ว!
เอาเวลาไปพัฒนาทักษะตนเองเถอะ!
นี่คือสิ่งที่ฟางชิวหวังอย่างแท้จริง
ที่สนามกีฬา เมื่อฟางชิวจากไปแล้ว นักศึกษาเอกการกีฬาทุกคนก็ครุ่นคิดกันอย่างหนัก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย พวกเขารู้แค่ว่าพวกเขามีความสุขและอิ่มเอมใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะฟางชิวได้พูดถึงชีวิตหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าช่วงเวลาอันมีค่าของวัยรุ่นอย่างพวกเขาได้หายไปแล้ว
การฝึกสำคัญจริงหรือ?
การวิ่งเร็วกว่าคนอื่นมันสำคัญจริง ๆ หรือ
พวกเขารู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดี ๆ
ส่วนเกาเฟยตอนนี้เอาแต่นั่งบนพื้นอย่างเหม่อลอย
อาจารย์หม่าทำได้เพียงแสดงสีหน้าหม่นหมองโดยไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากของเขาเลย เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ฟางชิวพูดเป็นความจริง
แต่เขาก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี!
เพราะเขาต้องการผลงานที่ดีเพื่อให้ได้เกียรติยศและตำแหน่งอาวุโส!
ทางมหาวิทยาลัยได้ให้ความรู้ที่ดีแก่นักศึกษาเอกกีฬาแล้ว จะไปโทษใครได้ถ้าพวกเขาไม่ตั้งใจเรียนเอง!
อย่างไรเขาก็ไม่อยากปล่อยฟางชิวไป
น่าเสียดายคนเก่งขนาดนี้จะไม่ได้รับเกียรติจากทางมหาวิทยาลัย!
แม้ว่าอาจารย์หม่าจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมฟางชิวได้ แต่เขาก็สามารถไปหาคณบดีได้ ถ้าคณบดีรู้ว่าฟางชิวยอดเยี่ยมมาก เขาจะสนใจฟางชิวอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เขาจะดูสิว่าฟางชิวจะปฏิเสธอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากออกจากสนามกีฬาแล้ว ฟางชิวก็กลับไปที่หอพัก เขาไม่ได้ตื่นเต้นเลยหลังจากที่ชนะเกาเฟยได้ ตรงกันข้ามเขาดูสงบผิดปกติ สำหรับชายหนุ่มแล้ว การแข่งขันระหว่างเขากับเกาเฟยเป็นเพียงแค่เหตุการณ์เล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น
เวลานี้ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย เพราะโจวเสี่ยวเทียนส่งข้อความมาบอกฟางชิวแล้วว่า เขาจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้หลังจากที่เที่ยวจนหนำใจแล้ว
ฟางชิวปิดประตู เอากระเป๋าเดินทางที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านไปใส่ในตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ
การตกแต่งภายในห้องนี้ธรรมดามาก มีเตียงสูงสองเตียง และมีเพียงชั้นบนเท่านั้นที่มีบันไดไม้ เตียงสองชั้นนี้ลักษณะเหมือนกล่องซ้อน ทุกคนในห้องพักจะได้ตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเขียนหนังสือที่รวมเข้ากับตู้หนังสือคนละหนึ่ง
พอเก็บเงินเสร็จแล้ว ฟางชิวก็หยิบหนังสือออกมาจากตู้หนังสือแล้วค่อย ๆ กระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง เนื่องจากไม่มีใครอยู่ในห้อง ฟางชิวจึงสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้
“ต้องอ่านอีกร้อยครั้ง” ขณะที่กำลังนอนราบ ฟางชิวก็เปิด ‘คัมภีร์เน่ยจิง’ ในมือของเขา แล้วเริ่มอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกมหาวิทยาลัย
รถออฟโรดสีดำที่ส่งเสียงคำรามต่ำราวกับสัตว์ร้ายคำรามได้แล่นเข้ามาในมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดที่ประตูของมหาวิทยาลัย
หลี่จีกับลั่วชูก้าวขาลงจากรถไปเปิดที่ประตูด้านหลัง ภายในรถมีสุนัขตำรวจขนสีดำแซมสีเหลืองตัวหนึ่ง แล้วก็ยังมีเชือกสีเขียวของทหารพันรอบคอของมันเอาไว้ด้วย
“พวกเราจูงสุนัขตำรวจเข้าไปข้างในเลยได้ไหม” หลี่จีเอ่ยถามขึ้นมา
ลั่วชูจูงสุนัขตำรวจลงจากรถ และตอบไปว่า “ไม่ค่อยดีมั้ง? ถ้ามีคนเห็นพวกเรา แล้วพวกเขาคิดว่าพวกเรามาที่มหาวิทยาลัยเพื่อจับกุมและสอบสวนผู้ต้องสงสัย ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยก็จะเสียหาย ทีนี้พวกเรามีปัญหาแน่”
“หรือว่า พวกเราควรจะขับรถเข้าไปดี?” หลี่จี่เสนอ
ลั่วชูพูดถูก ใครจะพาสุนัขตำรวจไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัยกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาที่นี่โดยมีจุดประสงค์บางอย่าง ถ้าผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเจอพวกเขา จะอธิบายให้เข้าใจก็คงยาก
“นายควรจะพูดแบบนั้นแต่เนิ่น ๆ ไม่งั้นฉันคงจะไม่จอดรถที่นี่หรอก” ลั่วชูกลอกตาใส่หลี่จี
“เมื่อกี้ฉันลืมไป” หลี่จียิ้มอย่างอับอายนิดหน่อยที่ไม่ไตร่ตรองให้ดี
ไม่นานหลี่จีก็จูงสุนัขตำรวจให้เข้าไปนั่งในรถ ลั่วชูจึงขับรถตรงไปยังภูเขาเหยาหวังทันที
ไม่นานพวกเขาก็มาถึง หลี่จีลงจากรถแล้วจูงสุนัขตำรวจลงมาด้วย เขาจูงสุนัขตำรวจไปที่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ฟางชิวยืนอยู่ในเช้าวันนั้น จากนั้นหลี่จีก็ปล่อยให้สุนัขตำรวจเริ่มดมกลิ่นของฟางชิว
หลังจากที่สุนัขตำรวจดมกลิ่นเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
“แน่ใจนะว่าเป็นตรงนี้?” ลั่วชูมองหน้าหลี่จีแล้วถามออกมา
“แน่ใจ” หลี่จีพยักหน้าด้วยความมั่นใจและกล่าวว่า “ฉันจำได้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ตอนที่ฉันซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น เขามองฉันอย่างเย็นชาทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา”
“แล้วทำไมสุนัขตำรวจถึงไม่ได้กลิ่นล่ะ? หรือหลังจากผ่านไปแล้วหลายวัน กลิ่นของชายลึกลับก็เลยจางหายไป” ลั่วชูบ่นพึมพำออกมา
“ดูเหมือนว่าสองวันนี้จะมีฝนตกปรอย ๆ นะ…” หลี่จีตรวจสอบพยากรณ์อากาศบนโทรศัพท์ของเขา
ได้ยินดังนั้น หลัวซู่ก็กลอกตาทันที
เวลาผานไปนานแล้วและยังมีฝนตกปรอย ๆ อีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่สุนัขตำรวจจะไม่ได้กลิ่นอะไร ถ้ามันได้กลิ่นสิเป็นเรื่องแปลก
“ถ้างั้นตอนนี้พวกเราควรทำยังไงกันดี” หลัวซู่เอ่ยถาม สีหน้าดูผิดหวังเสียใจ
“ไม่ต้องรีบ” หลี่จีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พวกเราขอลาหยุดห้าวันไปแล้ว ยังไงซะพวกเราก็อยู่ที่นี่ได้ห้าวัน เรามารอให้ชายลึกลับออกมาแล้วจับเขาดีกว่า!”
“พวกเราคงทำได้แค่นี้แหละ” หลัวซู่พยักหน้าแล้วจากไปพร้อมกับสุนัขตำรวจ
ในคืนนั้น เวลา 02:30 น.
หลี่จีกับหลัวซู่พาสุนัขตำรวจไปที่ภูเขาเหยาหวังอีกครั้ง พวกเขาหาพุ่มหญ้าเพื่อนอนหมอบ ในมือของพวกเขาแต่ละคนมีกล้องส่องตอนกลางคืนของทหาร จากนั้น พวกเขาก็เริ่มสำรวจไปรอบ ๆ
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น