บทที่ 124 ช่องว่างเริ่มใหญ่ขึ้น…
บทที่ 124 ช่องว่างเริ่มใหญ่ขึ้น…
เหล่านักศึกษาตกใจมากตอนรู้ว่าใครเป็นคนเสนอเรื่องเกณฑ์ในการฝึกงาน พวกเขาจึงอยากรู้ว่าฟางชิวที่เป็นผู้เสนอจะผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่
ถ้าคนเสนอไม่ผ่านการคัดเลือกก็คงเป็นเรื่องน่าขันไม่น้อย!
หลายคนตอบกลับทันที
[เขาผ่านการคัดเลือกไหม?]
[ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในฐานะที่เป็นคนยื่นข้อเสนอ ถ้าไม่ผ่านก็คงอายน่าดู]
[ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน เขาจำเป็นต้องผ่านการสัมภาษณ์ด้วยเหรอ? จะผ่านหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความรู้และความสามารถที่มี อย่างฉันที่ไม่ถูกเลือกเพราะไม่มีความสามารถพอไง]
[ไปตายเหอะคอมเมนต์บน! แต่ถึงยังไงฟางชิวก็เป็นแค่นักศึกษาน้องใหม่ มีน้องใหม่แค่ไม่กี่คนที่ผ่านการสัมภาษณ์ไม่ใช่เหรอ?]
[ดูเหมือนว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะผ่านการสัมภาษณ์ แต่ฉันไม่เห็นฟางชิวเลยนะ]
[ผมอยู่ชั้นปีเดียวกับฟางชิว ผมเห็นเขาเดินอยู่ที่สนามกีฬา แต่เขาไม่ได้ต่อคิวเข้ารับการสัมภาษณ์]
[ไม่ได้ต่อคิว? ไม่สัมภาษณ์ เป็นไปได้ไหมว่าฟางชิวไม่ต้องการอาจารย์ที่ปรึกษา?]
[เป็นไปไม่ได้หรอก]
[ฉันก็ไม่เห็นฟางชิวเหมือนกัน]
หลายคนไม่พบเห็นฟางชิวในสนามสอบสัมภาษณ์ แต่หลายคนที่พบเขายืนยันว่าฟางชิวไม่ได้ต่อคิวเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์กับอาจารย์คนไหนเลย
เมื่อทราบดังนั้น ผู้คนก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
ฟางชิวไม่ต้องการเรียนรู้จากอาจารย์เหล่านี้หรือ?
ขณะเดียวกัน หลี่ชิงสือก็กำลังอ่านข้อความในห้องแชต
ในฐานะประธานนักศึกษา แน่นอนว่าเขาผ่านการสัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อย เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมชั้นปีคร่ำครวญ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
ความสามารถที่โดดเด่นท่ามกลางนักศึกษาจำนวนมากเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าเขายอดเยี่ยมมากเพียงใด!
ยิ่งเมื่อได้เห็นถึงความล้มเหลวของอีกฝ่าย หลี่ชิงสือก็ยิ่งมีความสุข
ฟางชิวไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าเขาเลย
แม้เขาจะเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ แต่นั่นก็ไม่ต่างจากการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น*[1] จริงไหม?
พอนึกภาพฟางชิวกำลังร้องห่มร้องด้วยความผิดหวังเพราะไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาและไม่ผ่านการคัดเลือก หลี่ชิงสือก็รู้สึกสบายใจสุดจะพรรณนา
ส่วนฟางชิวที่กำลังถูกพูดถึงอย่างเผ็ดร้อนยังคงอ่านหนังสือโดยไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อยามราตรีมาเยือน ห้องพักก็เงียบสงบจนน่าประหลาดใจ ทั้งสี่คนกำลังขะมักเขม้นในการอ่านหนังสือ ไร้ซึ่งการสนทนาใด ๆ เล็ดลอดออกมา
“อะไรกัน ตีหนึ่งแล้วเหรอนี่?”
หลังจากอ่าน ‘คัมภีร์เน่ยจิง’ มาสักพัก ฟางชิวก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เจียงเหมี่ยวอวี๋วนเวียนเข้ามาในหัวเขาตลอดเวลา
เขาอยากรู้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่
คำถามนี้ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยจนไม่สามารถอ่านหนังสือต่อไปได้
ฟางชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกดโทรหาเจียงเหมี่ยวอวี๋
ตู๊ด…
เสียงรอสายดังคลอ ผ่านไปไม่นาน เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็รับโทรศัพท์
“[ฮัลโหล?]”
“เหมี่ยวอวี๋ ฉันเอง ฟางชิว” ฟางชิวกล่าว
“[อืม ฉันรู้]”
เสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋คราวนี้สุขุมและสงบอย่างยิ่ง
ฟางชิวผุดรอยยิ้มบนใบหน้า “เท้าของเธอเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?”
“[ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เขาไม่คุ้นเคยนัก
“ดีแล้ว”
ฟางชิวพยักหน้าแผ่วเบาพลางเอ่ยถาม “การสัมภาษณ์วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“[ก็ไม่ได้แย่]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับ
“ได้อาจารย์แล้วใช่ไหม?”
เขาถามด้วยความรู้สึกสุขใจอย่างไม่อาจพรรณนา ทว่าน้ำเสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋กลับยังคงไร้ซึ่งความผันผวนทางอารมณ์
แม้ในความเป็นจริงเธอจะนอนกัดริมฝีปากแน่นอยู่บนเตียงก็ตาม คิ้วหญิงสาวขมวดเล็กน้อย อารมณ์ปริศนาที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามนั้น
“[อืม ได้แล้ว]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ปล่อยริมฝีปากพลางกล่าว “[ฉันได้รับคัดเลือกจากอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มน่ะ เขาเป็นอาจารย์ที่รักษาเพื่อนร่วมชั้นของฉันที่ป่วยเป็นโรคลมแดด ชื่ออาจารย์เจิ้งกั๋วชิ่ง]”
“เขานั่นเอง” ฟางชิวพยักหน้าพลางกล่าวต่อ “ฉันได้ยินมาว่าเขาเก่งมาก ฝีมือทัดเทียมอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนที่เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มเหมือนกัน เขาได้รางวัลเกียรติยศมากมาย ได้ยินมาว่าเขาใจดีและก็สอนเก่ง”
“[อืม]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้า
“ทำไมเธอถึงไม่เลือกอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนล่ะ?”
ฟางชิวถามด้วยความสงสัย “สาว ๆ ส่วนใหญ่ชอบเรียนกับอาจารย์ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”
“[แล้วทำไมฉันต้องเลือกอาจารย์ผู้หญิงเหมือนสาว ๆ คนอื่นล่ะ?]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “[ผู้หญิงแต่ละคนมีบุคลิกต่างกัน นายคงไม่เข้าใจถึงบุคลิกของฉันสินะ ทำไมนายถึงคิดว่าฉันควรเลือกอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยน? ฉันเลือกอาจารย์คนอื่นไม่ได้เหรอ?]”
ฟางชิวแทบจะสำลักเมื่อได้ยิน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พูดถึงเรื่องฝึกงาน แต่เป็นเรื่องอื่นซะมากกว่า
“ฉันแค่เดาว่าเธออาจอยากได้อาจารย์ผู้หญิงเฉย ๆ” ฟางชิวกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็กัดริมฝีปากหมายจะพูดบางสิ่ง แต่ทันทีที่เปิดปาก เธอกลับเปลี่ยนหัวข้อ “[แล้วนายล่ะ เลือกอาจารย์คนไหน?]”
“ไม่มี”
ฟางชิวตอบ
“[ทำไมล่ะ?]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามด้วยความสงสัย เพราะในความคิดเห็นของเธอ ฟางชิวจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าอาจารย์อย่างแน่นอน
ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ฟางชิวสามารถจัดกระดูกเธอ ทั้งยังได้รับคัดเลือกให้ประจำการในโรงพยาบาลในฐานะแพทย์ ด้วยความสามารถของเขา ฟางชิวไม่ควรถูกปฏิเสธสิ
“ฉันขอสังเกตการณ์ก่อน ปีหน้าไว้ว่ากันใหม่” ฟางชิวกล่าวคำโกหก
“[ทำไมถึงคิดแบบนั้น?]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามอีกครั้ง
“ฉันมีเหตุผลที่คิดแบบนั้น วันหนึ่งเธอจะเข้าเบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้เอง…” ฟางชิวตอบกลับ
“[ไม่หรอก]”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับ
ความเงียบงันระหว่างทั้งสองพลันบังเกิด
ดูเหมือนมีเรื่องราวมากมายในใจที่ทั้งสองปรารถนาจะกล่าว แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา
เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดไม่ออก เธอเพียงเอนกายลงบนเตียงพลางกัดริมฝีปาก โดยปกติแล้วเมื่อไม่มีอะไรจะพูด เธอมักจะคิดหาเหตุผลที่จะวางสาย แต่คราวนี้หญิงสาวยังคงแนบโทรศัพท์ไว้กับหู ลังเลที่จะวางสายราวกับกำลังรอบางสิ่ง
ฟางชิวเองก็นิ่งเงียบไป เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะตนได้ทราบในสิ่งที่อยากรู้ไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มรู้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋สัมภาษณ์ผ่านก็มีความสุขแล้ว
เวลาบนโทรศัพท์มือถือยังคงเดินต่อไป ทั้งคู่ต่างเงียบงัน ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด แต่ก็ไม่มีใครวางสาย
หลังผ่านไปนาน ฟางชิวก็สูดลมหายใจพลางกล่าว “ยังไงก็ยินดีด้วยนะ ฉันแค่โทรมาถาม ไม่มีอะไรแล้ว”
“[ขอบคุณนะ]”
เจียวเหมี่ยวอวี๋กระซิบด้วยความผิดหวังเล็กน้อยในใจ
ทั้งสองดึงโทรศัพท์ที่แนบกับหูมาเป็นเวลานานออกพลางเหลือบมองก่อนจะวางสายไปพร้อมกัน
หลังวางสาย ทั้งคู่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ชั่วครู่ พวกเขาต่างก็มีความรู้สึกเดียวกัน แต่กลับรู้สึกราวกับว่ามีช่องว่างปรากฏขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ความรู้สึกเหมือนตอนที่ร้องเพลงร่วมกันในพิธีเปิดงาน แต่ความรู้สึกครั้งนี้ลึกซึ้งยิ่งกว่า ความรู้สึกนี้ทำให้ทั้งสองคุ้นเคยได้ยาก
พวกเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ช่องว่างระหว่างพวกเขาปรากฏขึ้นนับตั้งแต่คืนนั้น
ในคืนวันนั้นฟางชิวไม่ได้เดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในโรงแรมกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
ถึงกระนั้น ฟางชิวก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ได้ เขาไม่อาจหาเหตุผลมาแก้ต่างได้เลยสักข้อ
ยิ่งไปกว่านั้น คำอธิบายของเขาอาจไม่ต่างจากการแก้ตัว ดูอย่างไรเขาก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจึงทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้
หลังวางสาย ฟางชิวก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจ้องมองเพดานด้วยความงุนงง
ทันใดนั้น
กริ๊ง!
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฟางชิวหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
“ฮัลโหล?”
“[ฟางชิว ยินดีด้วยนะที่ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่น ตอนนี้นายกลายเป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเราแล้ว เพื่อนรอบตัวฉันพูดถึงนายกันทั้งนั้น!]”
ฟางชิวตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน ความสับสนพลันบังเกิดในดวงตา
“[ทำไมเงียบไปล่ะ?]”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวต่อด้วยเสียงเริงร่า “[ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นคนเสนอโครงการฝึกงาน ที่แท้ก็เพื่อนเก่าของฉันเอง ประทับใจจริง ๆ นะเนี่ย!]”
ฟางชิวระบายยิ้ม ตอบกลับไปว่า “ก็แค่ข้อเสนอน่ะ”
“[ถ่อมตัวจริงเชียว!]”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพึมพำก่อนจะกล่าวต่อ “[ทำไมนายเอาแต่ถ่อมตัวอยู่ตลอดเวลาล่ะ? บางครั้งฉันก็รู้สึกนะว่านายน่ะถ่อมตัวเกินไป!]”
ฟางชิวหัวเราะเสียงแผ่วเบา
“[เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะ]”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“อืม”
ฟางชิวไม่รู้จะตอบอะไรจึงทำได้เพียงส่งเสียงตอบรับ
“[บาย]”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะวางสายไป ฟางชิวได้แต่จ้องมอง โทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
หลังวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ เขาก็หยิบหนังสือคัมภีร์เน่ยจิงขึ้นก่อนจะเริ่มอ่านอย่างขะมักเขม้น
เวลาดำเนินไปวันแล้ววันเล่า ฟางชิวใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์เพื่ออ่านหนังสือด้วยความรวดเร็ว รวดเร็วราวกับไม่ใช่การอ่านหนังสือ แต่เป็นการพลิกหน้ากระดาษไปมาโดยไม่ได้ใจความ
ยิ่งนานเท่าไร ความรวดเร็วในการเปิดหน้าหนังสือของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
หลังอ่าน ‘คัมภีร์เน่ยจิง’ จบครบหนึ่งร้อยครั้ง เขาก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกหกเล่มจากทั้งหมดสิบเก้าเล่มเป็นจำนวนยี่สิบครั้ง
สำหรับฟางชิวแล้ว นี่เป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยม ทุกครั้งที่อ่านหนังสือ เขาจะได้รับสิ่งใหม่มาเสมอ
หลังอ่านหนังสือติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ในที่สุดฟางชิวก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมสวีเมี่ยวหลินจึงขอให้เขาอ่านหนังสือเหล่านี้
เพราะต้องเข้าใจหนังสือทีละเล่มอย่างถ่องแท้เท่านั้นถึงจะสามารถช่วยให้เขาเชี่ยวชาญในความรู้แขนงนั้นได้
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อาจารย์ทั้งห้าสิบคนที่เข้าร่วมการฝึกงานครั้งนี้ก็เริ่มฝึกฝนลูกศิษย์
เสิ่นชุนนำลูกศิษย์ของเขามายังโรงพยาบาลเพื่อศึกษาวิธีการรักษาพร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมทุกวัน อีกทั้งยังให้โอกาสนักศึกษาเหล่านั้นได้ลงมือทำเป็นครั้งคราว
อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงบางคนถึงกับตั้งเป้าหมายโดยตรงกับลูกศิษย์ของพวกเขา แน่นอนว่าเป้าหมายนั้นไม่ใช่การได้รับคะแนนสูงสุด แต่เป็นการได้ศึกษาและเข้าใจในความรู้ที่จำเป็นของการแพทย์แผนจีนอย่างถ่องแท้
สำหรับอาจารย์ประจำการและอาจารย์เก่าที่เกษียณอายุไปแล้ว พวกเขาเริ่มบรรยายในที่สาธารณะ นักเรียนจำนวนมากที่ไม่ได้ฝึกงานต่างไปที่นั่นเพื่อรับฟัง
ภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ บรรยากาศการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยก็เข้มข้นขึ้นอย่างมาก
เพราะมหาวิทยาลัยได้ประชาสัมพันธ์เรื่องการฝึกงานผ่านสื่อมากมาย มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแห่งอื่นจึงเดินทางมาเพื่อสังเกตการณ์ อีกทั้งผู้มีตำแหน่งสูงจากกระทรวงศึกษาธิการก็เดินทางมาตรวจสอบด้วย
เมื่อเห็นบรรยากาศการเรียนการสอนที่เข้มข้นในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแห่งนี้ ผู้มีตำแหน่งสูงจากกระทรวงศึกษาธิการก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
พวกผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแห่งนี้จึงรู้สึกปลาบปลื้มใจเช่นเดียวกัน
อีกแปดมหาวิทยาลัยก็กำลังดำเนินการสัมภาษณ์เช่นหัน
วันอาทิตย์ต่อมา
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง
มหาวิทยาลัยที่อยู่ในละแวกเดียวกับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็ได้ยินถึงรูปแบบการฝึกงานและรูปแบบการสัมภาษณ์โดยทั่วกัน
เหล่านักศึกษาต่างรอคอยที่จะได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นบ้าง ยิ่งเมื่อได้ใกล้ชิดกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกริษยา
เมื่อมีการนำการฝึกงานมาใช้อย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยของพวกเขา พวกนักศึกษาเลยให้ความสนใจกันอย่างคึกคัก
การดำเนินการของมหาวิทยาลัยอื่นก็เป็นเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง มีการสัมภาษณ์ที่สนามกีฬา และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่าสี่สิบคนก็ได้เข้าร่วมในการสัมภาษณ์ครั้งนี้
นักศึกษามากมายเข้าแถวเพื่อรอรับการสัมภาษณ์อย่างใจจดใจจ่อ
[1] ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น หมายถึง เหน็ดเหนื่อยเพื่อกระทำบางสิ่ง โดยที่ตนเองไม่ได้รับผลประโยชน์หรือผลดีใดเลย และบางทีผลประโยชน์ที่คาดหวังจะได้กลับกลายเป็นของผู้อื่น