บทที่ 152 แปดมหาวิทยาลัยมาเยือน!
บทที่ 152 แปดมหาวิทยาลัยมาเยือน!
การให้กำลังใจของเฉียวมู่สร้างความหวังให้กับเหล่านักศึกษา จูเปิ่นเจิ้งเริ่มอ่านหนังสือเรียนทันทีเมื่อถึงเวลาพัก เพราะเขาไม่อยากปล่อยเวลาไปเฉย ๆ
อีกด้านหนึ่ง ฟางชิวก็อ่านตำราโบราณของเขาต่อไป โดยไม่สนใจที่จะอ่านหนังสือเรียนแม้แต่น้อย
แต่ทุกตัวอักษรในหนังสือเรียนล้วนฝังแน่นอยู่ในหัวของเขา
หากเขาถูกขอให้ท่องหนังสือเรียนย้อนหลัง เขาก็สามารถท่องได้ทั้งหมดโดยไม่พลาดสักคำ
สำหรับเขา การอ่านหนังสือเรียนไร้ซึ่งประโยชน์ใด
ถึงจะเป็นเวลาพักแต่ก็ไม่มีใครกล้ารบกวนทั้งสองที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
มีเพียงรูมเมตอย่างโจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวเท่านั้นที่กล้าเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครกล้ารบกวนจูเปิ่นเจิ้งอยู่ดี คนเดียวที่พวกเขาสามารถเข้าไปรบกวนได้คือฟางชิว
“เจ้าห้า ทำไมไม่อ่านหนังสือเรียน”
โจวเสี่ยวเทียนโน้มตัวไปด้านหน้าของฟางชิวพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดูพี่ใหญ่สิ เขายังอ่านหนังสือ จดจำรายละเอียดสำคัญซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วนี่นายกำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันประลองความรู้นักศึกษาใหม่ สิ่งที่จะทดสอบอยู่ก็คงอยู่ในระดับความรู้ของนักศึกษาใหม่ อ่านหนังสือโบราณพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร?”
“นายโง่หรือเปล่า?”
ซุนฮ่าวที่อยู่อีกข้างเหลือบมองโจวเสี่ยวเทียนด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนเอ่ยคำ “รู้ไหมเจ้าห้าเป็นใครกัน?”
“เป็นใคร?”
โจวเสี่ยวเทียนงุนงง
“เป็นคนไม่ปกติไง!”
ซุนฮ่าวเหลือบมองโจวเสี่ยวเทียนพร้อมกลอกตาอีกครั้ง “เจ้าห้ามีแผนในใจอยู่แล้ว ทำไมจะต้องอ่านหนังสือเรียนอีก?”
“งั้นเหรอ?”
โจวเสี่ยวเทียนเลิกคิ้วพลางมองไปยังฟางชิวด้วยรอยยิ้มและเอ่ยต่อ “มา เจ้าห้า เปิดอกของนายให้ฉันดูหน่อย”
ซุนฮ่าวหัวเราะลั่น ส่วนฟางชิวหมดคำพูดใด ๆ
…
ชั้นเรียนแรกของบ่ายวันอังคารเป็นชั้นเรียนบาสเกตบอล
หลังจากพักเที่ยง ฟางชิวไปที่สนามพร้อมกับรูมเมตของเขา
ดังคาด ทันทีที่ชั้นเรียนเริ่มขึ้น อาจารย์ซุนลี่ก็ปล่อยให้ทุกคนออกกำลังกายตามอัธยาศัย ก่อนจะเรียกฟางชิวออกไปคนเดียวอีกครั้ง
“อาจารย์ซุน ที่เรียกผมมานี่ ไม่ใช่ว่าจะคุยเรื่องครั้งก่อนหรอกนะครับ?”
ฟางชิวมองไปยังซุนลี่พร้อมเอ่ยปากถาม
“ถูกต้อง”
ซุนลี่ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยความหวัง “นายลองพิจารณาแล้วว่ายังไง?”
“ผมไม่ได้พิจารณาอะไรทั้งนั้น”
ฟางชิวส่ายหน้าพร้อมเอ่ย “ผมปฏิเสธไปแล้ว”
“ทำไมถึงไม่ลองพิจารณาดูล่ะ?”
ซุนลี่เอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
“ผมได้ชี้แจงให้ทราบตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วครับ” ฟางชิวกล่าวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินบางเรื่องมา”
ซุนลี่ยิ้มและเอ่ยต่อ “ได้ยินมาว่าหลังจากที่นายชนะการแข่งขันกับเกาเฟย นายล้างสมองสมาชิกทีมกรีฑาโดยบอกว่านักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬาอะไรนั่นไม่มีประโยชน์ แม้ว่าจะสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยมากกว่านี้ มหาวิทยาลัยก็จะไม่ดูแลเป็นพิเศษ ทั้งยังไม่ช่วยอะไรในอนาคตด้วยใช่ไหม?”
“ครับ”
ฟางชิวพยักหน้ารับ
ความจริงแล้วเขาไม่ได้ล้างสมอง เพียงแค่ชี้ให้เห็นบางสิ่งเท่านั้น
“นายไม่คิดเหรอว่านายแค่อคติ?”
ซุนลี่มองไปยังฟางชิวพร้อมเอ่ยถาม
“อคติ?”
ฟางชิวส่ายหน้าพร้อมตอบรับ “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ”
“ถ้าฉันบอกนายว่าฉันเป็นนักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬาของมหาวิทยาลัยนี้ และฉันได้เป็นอาจารย์หลังเรียนจบล่ะ?”
ซุนลี่เอ่ยคำ “ไม่ใช่แค่ฉัน อาจารย์ภาควิชาพลศึกษาทุกคนล้วนเป็นนักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬาของมหาวิทยาลัย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวพลันส่ายหัว
“อาจารย์ซุนลี่ครับ มีนักศึกษากี่คนที่อยู่ในทีมกรีฑา? นอกจากกรีฑาแล้ว ยังมีนักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬาอีกกี่คนในกีฬาแต่ละประเภท?”
ฟางชิวเอ่ยถาม “นักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬารวมทั้งหมดแล้วมีกี่คน หนึ่งร้อยหรือหลายร้อยครับ?”
“บางทีสิ่งที่อาจารย์พูดอาจเป็นความจริง แต่คนหลายร้อยคนก็ต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งที่เดียว นี่มันใช่เรื่องเหรอครับ? ถ้าพวกเขาตั้งใจเรียนรู้จนได้รับประกาศนียบัตรที่ตรงกับความสามารถ แล้วหางานทันทีหลังเรียนจบนั่นไม่ง่ายกว่าหรือครับ ทำไมจะต้องเดิมพันอนาคตของตัวเองไว้กับโอกาสเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ด้วย?”
ซุนลี่พลันขมวดคิ้วกับคำกล่าวนั้น
“นอกจากนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ต้องช่วยอาจารย์หม่าเพื่อเกลี้ยกล่อมผม แต่ผมก็ยืนยันว่าผมจะไม่เข้าร่วม ขอโทษด้วยครับ”
เมื่อกล่าวจบ ฟางชิวก็จากไปอย่างไร้ความลังเล
ซุนลี่ทำได้เพียงมองไปยังแผ่นหลังของฟางชิวพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
ในอดีต นักกีฬาสามารถหางานได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้ทุกคนกลับเลือกงานอื่นแทน ช่างน่าสังเวชใจ
แต่ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง หากเป็นนักศึกษาที่เป็นเลิศด้านกีฬา ก็ต้องนำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัย
เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันมองไปยังนักศึกษาที่กำลังออกกำลังกายกันอย่างอิสระ
ตอนเย็น
ฟางชิวได้รับแจ้งให้เข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับการแข่งขันประลองความรู้ที่อาคารสำนักงานของมหาวิทยาลัย
หลังจากกินมื้อเย็น เขาก็ไปยังห้องประชุมที่อาคารสำนักงานพร้อมกับจูเปิ่นเจิ้ง
ไม่นานนัก รองอธิการบดีเฉินอินเซิงก็เข้ามายังที่ประชุม
ในห้องประชุม ตัวจริงที่จะลงแข่งขันทั้งเก้าคนนำโดยฟางชิว และตัวสำรองอีกสองคนก็เข้าร่วมการประชุมตามลำดับและคะแนนสอบ
ฟางชิวอยู่ในอันดับที่หนึ่ง จ้าวเยี่ยนเฉิงและเจียงเหมี่ยวอวี๋ได้คะแนนเท่ากัน โดยเรียงเป็นอันดับที่สองและสามตามลำดับ
การประชุมเริ่มขึ้นในที่สุด
“ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับพวกเธอทั้งสิบเอ็ดคนที่ได้คะแนนที่ดีในการทดสอบ”
เฉินอินเซิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น “อย่างที่ทุกคนทราบ การแข่งขันประลองความรู้นักศึกษาใหม่จะจัดขึ้นในวันเสาร์นี้ หมายความว่าพวกเธอมีเวลาเตรียมตัวสามวัน”
“พวกเธอคือความหวังของมหาวิทยาลัย การแข่งขันของเก้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเกียรติยศของแต่ละคนเท่านั้น หากแต่ยังเกี่ยวกับการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยทั้งเก้าแห่งด้วย ดังนั้นฉันหวังว่าพวกเธอจะพยายามอย่างเต็มที่ ใช้จุดแข็งให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งแสดงให้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เห็นถึงความแข็งแกร่งของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงของเรา!”
ทั้งสิบเอ็ดคนพยักหน้ารับ
“ในฐานะรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ฉันหวังว่านักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมจะมุมานะในการแข่งขันประลองความรู้นักศึกษาใหม่ และนำความภาคภูมิใจมาสู่มหาวิทยาลัย!”
เฉินอินเซิงกล่าวเสียงดัง
“ครับ/ค่ะ!”
ทั้งสิบเอ็ดคนพยักหน้าตอบพร้อมกัน
จ้าวเยี่ยนเฉิงซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งที่สองไม่ได้มุ่งความสนใจไปยังเฉินอินเซิง แต่กลับจ้องมองไปยังร่างของฟางชิว ใบหน้าของเขานิ่งเฉย ดวงตาเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและเย่อหยิ่ง
เฉินอินเซิงกล่าวจบ ทั้งสิบเอ็ดคนซึ่งนำโดยฟางชิวจึงออกไป ส่วนเฉินอินเซิงยังคงอยู่ในห้องประชุมเพื่อพูดคุยกับผู้บริหารหลายคนเกี่ยวกับการแข่งขันประลองความรู้
ฟางชิวและจูเปิ่นเจิ้งกำลังจะกลับไปยังหอพัก แต่พวกเขากลับพบกับหลิวเฟยเฟย อาจารย์ประจำชั้นที่โถงทางเดินของอาคารสำนักงานเสียก่อน
ทั้งสามสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ทราบว่าหลิวเฟยเฟยตั้งใจมาที่นี่เพื่อบอกฟางชิวและจูเปิ่นเจิ้งให้พยายามอย่างหนัก อย่าทำให้ห้องสามเสียหน้า
ทั้งสองตอบรับ ก่อนจะกลับไปยังหอพักเพื่อเริ่มเตรียมตัวในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ชั่วพริบตา ตอนบ่ายของวันพฤหัสบดีก็มาถึง
ท่ามกลางความคาดหวังของคนทั้งมหาวิทยาลัย ในที่สุดคณะอาจารย์และนักศึกษาจากทั้งแปดมหาวิทยาลัยก็มาถึงมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง โดยรถบัสจากโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า
นักศึกษาหลายคนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัย ทุกคนรู้ดีว่านับตั้งแต่วินาทีที่นักศึกษาจากทั้งแปดมหาวิทยาลัยก้าวผ่านประตูเข้ามา โหมโรงของสงครามก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
รสบัสทั้งแปดคันมาจอดที่หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
นอกจากนักศึกษาบางคนที่มาชมกิจกรรมแล้ว ยังมีผู้บริหารหลายคนของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนที่นำโดยเฉินอินเซิงมาให้การต้อนรับที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย
เพียงครู่เดียว มหาวิทยาลัยแปดแห่งซึ่งทั้งหมดนำโดยรองอธิการบดีก็หายวับไป
สถานการณ์กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เพียงแค่ลงจากรถบัส นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งก็เริ่มมองกันไปมา แต่ละคนมีใบหน้าที่เย่อหยิ่ง ทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ทั้งยังดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นดินฟืนอย่างบอกไม่ถูก
คนเหล่านี้ล้วนเป็นเยาวชนที่มีพรสวรรค์จากมหาวิทยาลัยของตน
ดังนั้นไม่มีใครด้อยไปกว่ากันอย่างแน่นอน!
การแข่งขันยังไม่ทันได้เริ่ม กลิ่นดินปืนก็พลุ่งพล่านเสียแล้ว
แต่แล้วบรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดนี้ก็ถูกทำลายด้วยการปรากฏตัวของคนคนหนึ่งที่กำลังลงจากรถ
เป็นเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
เมื่อได้เห็นเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย นักศึกษาผู้มีความสามารถจากทุกมหาวิทยาลัยพลันมีแสงเปล่งประกายในดวงตา
ทุกคนโยนความภาคภูมิใจและการแข่งขันทั้งหมดทิ้งไปในซอกหลืบ และมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้คือใคร? สวยขนาดนี้ได้ยังไง? หุ่นก็ดีด้วย”
“สวยมาก! จะดีแค่ไหนถ้ามาอยู่ที่มหาวิทยาลัยของเรา!”
“ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นผู้หญิงสวยขนาดนี้ เธอเป็นนักศึกษาของจิงเป่ยเหรอ? เด็กเรียนแพทย์ของจิงเป่ยโชคดีจัง!”
“การแข่งขันนี้น่าสนุก ได้ยินมาว่าสาวสวยคนนี้ชอบเด็กเทพ?”
“เธอเองก็เป็นเด็กเทพ ไม่งั้นจะแข่งขันประลองความรู้ทำไม?”
“สาวสวยเด็กเทพ ฉันชอบ!”
นักศึกษาทั้งหมดของมหาวิทยาลัยหลักทั้งเจ็ดแห่ง ยกเว้นมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ยต่างกระซิบกระซาบกัน
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยทำเป็นหูทวนลมกับบทสนทนาเหล่านั้น
ในทางกลับกัน นักศึกษาคนอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ยกลับถูกผู้คนที่อยู่ห่างออกไปมองมาด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
ไม่นานฝูงชนก็รวมตัวกัน
อาจารย์พร้อมกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งเดินลงจากรถบัส และก็เข้าไปหาเฉินอินเซิง
ทว่าหลังเห็นว่ามีผู้บริหารเพียงไม่กี่คนที่มาทักทายพวกเขา ผู้บริหารของทั้งแปดมหาวิทยาลัยก็ขมวดคิ้วโดยพลัน
นี่จะสื่ออะไรหรือเปล่า?
ผู้บริหารของทั้งแปดมหาวิทยาลัยต่างรู้สึกปั่นป่วนในใจ
พวกเขาเป็นรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่ง การแข่งขันประลองความรู้นักศึกษาใหม่นี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นแม้ว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงจะไม่ได้มาทักทายพวกเขาเป็นการส่วนตัว อย่างน้อยก็ควรทำให้ดูดีและควรมีงานเลี้ยงต้อนรับ
แต่พอมองไปโดยรอบก็เห็นเพียงนักศึกษาเฝ้าดูอยู่เพียงประปรายเท่านั้น
เห็นแบบนี้ผู้บริหารของทั้งแปดมหาวิทยาลัยจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ผู้บริหารเหล่านี้ก็ยังคงพูดคุยและหัวเราะต่อไป
“ยินดีต้อนรับครับ! ยินดีต้อนรับ”
เฉินอินเซิงเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมปรบมือ จากนั้นก็กวาดสายตามองนักเรียนทั้งแปดมหาวิทยาลัย ก่อนเอ่ยคำ “การแข่งขันในครั้งนี้ ทุกคนมีความสามารถไม่น้อยจริง ๆ!”
“นับถือ!”
ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งส่ายหัวทันทีพลางเอ่ย “ได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยของคุณก็เตรียมตัวอย่างหนักในครั้งนี้ คงสร้างความประหลาดใจไม่น้อย!”
“ใช่ รองอธิการบดีเฉิน ได้ยินมาว่าฟางชิวที่เสนอเรื่องโครงการฝึกงานก็เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย ทั้งยังได้อันดับหนึ่งอีก”
ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยอื่นพลันเอ่ย “นักศึกษาคนนี้มีพรสวรรค์ เราทุกคนเองต่างจับตามองเขา”
“ดูเหมือนว่ามหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงจะผงาดในครั้งนี้นะครับ!”
ผู้บริหารอีกคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ส่วนนักศึกษาจากทั้งแปดมหาวิทยาลัยก็กำลังเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่อีกด้านหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฟางชิวเป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดที่พวกเขาเคยได้ยินเมื่อในช่วงไม่นานมานี้
การที่เขาสามารถเสนอแนวคิดโครงการฝึกงานไปสู่การเป็นอันดับหนึ่งในการประลองความรู้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฟางชิวก็นับเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเป้าหมายที่พวกเขาต้องการเอาชนะอีกด้วย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชื่อเสียงของฟางชิวนั้นเลื่องลือเพียงใด? ตอนนี้ชื่อเขาแพร่กระจายไปทั่วแปดมหาวิทยาลัย แม้แต่ผู้บริหารของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ยังยกย่องเขา