บทที่ 155 ติดต่ออีกครั้ง
บทที่ 155 ติดต่ออีกครั้ง
ทุกคนต่างรู้ว่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิงเป่ยร้องเพลงได้ดีไม่น้อย
แต่เฉินอินเซิงกลับกล่าวว่านักศึกษาเหล่านั้นอาจด้อยกว่านักศึกษาของเขา หมายความว่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงสามารถร้องเพลงได้ดีกว่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
ใครจะไปเชื่อกัน
ไม่ใช่แค่พวกผู้บริหาร แม้แต่นักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยเองก็ยังไม่เชื่อ
ยกเว้นเจี่ยงหมิ่งเจี๋ย
เพราะเธอเคยได้ยินฟางชิวร้องเพลง จึงรู้ดีว่าฟางชิวร้องเพลงได้ดีเพียงใด
“ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญนักศึกษามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงมาร้องเพลงสักหน่อยดีไหม?”
เจียงไห่เอ่ยคำพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินอินเซิงก็เหลือบมองไปยังฟางชิว
ฟางชิวยิ้มตอบ เขาเข้าใจสถานการณ์ดีจึงลุกขึ้นยืนทันทีตั้งแต่วินาทีแรกที่เฉินอินเซิงมองมา
ในฐานะนักศึกษาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง เขาย่อมไร้ลังเล
“ในเมื่อทุกท่านอยากรับชม ผมก็จะแสดงให้ดู”
ฟางชิวค้อมศีรษะอย่างสุภาพให้กับผู้บริหารและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยโดยรอบก่อนเอ่ยคำ “เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ผมจะร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยของเราแทนก็แล้วกัน”
ในใจของผู้คนพลันสับสน
ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน?
เฉินอินเซิงกล้าโอ้อวดเช่นนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า? เขาไม่กลัวโดนตบหน้าหรือ?
สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดก็คือภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฟางชิวกลับกล้าลุกขึ้นยืนร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัย ถ้าเขาร้องเพลงได้ดี นั่นย่อมเป็นสิ่งดี แต่หากเขาร้องได้ไม่ดี มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็จะเสียหน้า
ชั่วขณะหนึ่ง ความสนใจของทุกคนมุ่งไปยังฟางชิว
ทุกคนตั้งตารอดูการร้องเพลงของเขา
แต่ในตอนนั้นเอง เจียงเหมี่ยวอวี๋ซึ่งนั่งถัดจากฟางชิวก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“ฉันจะร้องเพลงร่วมกับฟางชิว” เจียงเหมี่ยวอวี๋เอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง
ทำไมยืนขึ้นอีกคนแล้ว?
ทั้งยังเป็นสาวสวยด้วย?
นักศึกษาอีกเจ็ดคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงพลันตื่นเต้นขึ้นไม่น้อย
นักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดสองคนกำลังจะร้องเพลงประสานเสียงกันอีกแล้ว!
นักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันยังตกใจ แล้วมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ยจะไม่ตกใจได้อย่างไร
หลังจากปรับลมหายใจเล็กน้อย ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันเบา ๆ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลง
“ความจริงใจทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่จะทำให้โลกนี้ปลอดภัย
ดั่งขาตั้งที่มีสามขา แก่นแท้ พลังชี่ และจิตวิญญาณ”
เสียงที่ประสานกัน ทำให้ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนในทันที ตอนนี้ราวกับว่าพวกเขาได้ยินเสียงเรียกจากอดีตอันไกลโพ้นก็มิปาน
ทุกคนตะลึงงัน ก่อนจะถูกดูดเข้าปสู่อ้างว้างของความทรงจำในอดีต
ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ยังคงร้องเพลงต่อไป
“หนึ่งพันแสวงหาหนึ่งใจ
ตำรายาจีนอยู่รายล้อมโลกนี้ ประชาชนจีนย่อมมีสุขภาพดี
จากทิศตะวันตกจรดแม่น้ำทางทิศตะวันออก สู่เมืองเจียงจิงของเรา”
เมื่อแต่ละประโยคถูกร้องออกมา ผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคนต่างดื่มด่ำไปกับบทเพลงและบรรยากาศ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ฟังเพลงใดเพลงหนึ่ง แต่กำลังฟังดนตรีอันไพเราะและอ่อนโยน
“ยามท้องฟ้าเปิด แม่น้ำสดใส เส้นทางของฉันก็ไร้ที่สิ้นสุด
ความปรารถนาของฉันไร้ที่สิ้นสุดดั่งดวงอาทิตย์”
และแล้วเพลงจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
เสียงของคนทั้งสองเป็นเหมือนเครื่องดนตรี ฟางชิวร้องเพลงด้วยเสียงที่มั่นคงและไพเราะ เสียงร้องของเจียงเหมี่ยวอวี๋เป็นดั่งดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เสียงนกร้องที่ไพเราะดั่งในอดีต
ทำให้ผู้คนดื่มด่ำและความรู้สึกเอ่อล้น แม้เพลงจะจบลง แต่ทุกคนยังคงดำดิ่งสู่ห้วงความคิดของตนเอง
เหมือนพวกเขาได้ยินเสียงของแพทย์แผนจีนและสิ่งที่แพทย์แผนจีนควรทำ นั่นคือเพื่อครอบครัว ประเทศ แผ่นดิน
นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวของแพทย์แผนจีน
นั่นคือความดีอันใหญ่หลวงของโลก มันเอ่อล้นเสียจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
เพราะพะวงกับทั้งสองคน เฉินอินเซิงจึงไม่ได้รู้สึกเท่ากับคนอื่น แม้ว่าเขาจะตกตะลึงเช่นกัน
พอเห็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย รวมถึงนักศึกษาทุกคนดูจะเคลิบเคลิ้ม เฉินอินเซิงก็ยกยิ้มอย่างปีติ
“ไม่ใช่ว่าอยากแข่งขันความสามารถพิเศษหรอกเหรอ?”
“ฮ่า ๆ ใครที่คิดจะแข่งขันกับมหาวิทยาลัยเรา ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวแล้ว”
“เมื่อกี้คิดว่าผมพูดเกินจริงใช่ไหม แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่ายังมีใครจะว่าผมพูดเกินจริงอีกไหม?”
หัวใจเฉินอินเซิงพลันเบิกบาน
จากนั้นเขาก็มองไปยังผู้บริหารของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
และแล้วทุกคนก็หายจากภวังค์
“เพราะมาก!”
“ใช่ นี่เป็นครั้งที่สองเลยที่ฉันฟังอะไรแล้วรู้สึกทึ่งแบบนี้!”
“ครั้งแรกเมื่อไหร่?”
“ก่อนหน้านี้เคยดูทางทีวี เวลาที่ศิลปินเก่า ๆ ร้องเพลงในสงครามโบราณ ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบ ล้อมรอบด้วยไอสังหาร ฉากทหารม้านับพันวิ่งเข้าเข่นฆ่า มีรัศมีแห่งความกล้าหาญที่ไม่มีความย่อท้อใด”
“แล้ววันนี้ล่ะ?”
“อธิบายความรู้สึกไม่ถูก ฟังแล้วเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยที่แพทย์แผนจีนถือกำเนิดเลย ได้เห็นภาพพวกเขาเดินทางไปรักษาและช่วยชีวิตผู้คนทั่วประเทศเพียงลำพัง และยังได้เห็นชีวิตของแพทย์แผนจีน รู้สึกถึงความรักและความยิ่งใหญ่ของการแพทย์แผนจีน พลังและความมหัศจรรย์ของการแพทย์แผนจีน”
“ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน!”
“ฉันด้วย!”
“น่าทึ่งมาก แถมทั้งคู่ยังร้องเพลงได้เพราะมาก โดยไม่มีดนตรีประกอบเลย!”
“สุดยอดเกินไปแล้วไหม?”
“นั่นสิ สองคนนี้เดบิวต์เป็นศิลปินจัดคอนเสิร์ตได้เลยนะเนี่ย ใครจะเอาชนะได้?”
“คนที่ชื่อฟางชิวน่ะ เสียงเข้ากับอารมณ์เพลงมากเลย”
“เจียงเหมี่ยวอวี๋ร้องดีกว่า ถึงฟางชิวจะร้องตามอารมณ์ของเพลง แต่ถ้าไม่มีเสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋ เพลงนี้ก็คงไม่สมบูรณ์”
“เก่งทั้งคู่เลย”
หลังจากดึงสติกลับมา ทุกสายตาพลันจับจ้องไปยังฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋อีกครั้ง
ที่สำคัญคือสองคนนี้ได้คะแนนเต็มในการทดสอบ!
หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียง อีกคนหนึ่งไม่เพียงเสนอโครงการฝึก แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ทั้งที่ยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง ทั้งยังได้รับป้ายเกียรติยศจากผู้ป่วยด้วย
เรียกได้ว่ารัศมีที่เปล่งออกมาจากทั้งสองคนสะท้อนเข้าตาทุกคน
ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋เรียนเก่งแล้วยังร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก
ทุกคนไม่รู้ว่าควรใช้คำนิยามใดเพื่อนิยามพวกเขา
ถ้าจะหาคำใดคำหนึ่งมาอธิบาย ก็คงเป็นคำว่าสมบูรณ์แบบ
“ใครกันจะคาดคิดว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะร้องเพลงได้ดีขนาดนี้”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยมองไปยังฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยแววตาสับสน ราวกับว่าเธอรู้สึกเสียใจว่าทำไมไม่ใช่เธอ แต่เป็นเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่ร้องเพลงร่วมกับฟางชิว
“ขอบคุณทุกคน”
ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันอีกครั้ง ก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับทุกคนเพื่อขอบคุณพวกเขา
ทุกคนใช้เวลาสักครู่กว่าจะนึกได้ว่าพวกเขาลืมปรบมือก่อนหน้านี้
วินาทีต่อมา
แปะ! แปะ! แปะ!
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มให้กัน ก่อนจะนั่งลง
ส่วนนักศึกษาและผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิงเป่ยต่างเงียบกริบ
พวกเขารู้ดี
พวกเขาพ่ายแพ้ในครั้งนี้แล้ว
ตอนแรกแค่จะข่มนิดหน่อยให้ได้ชื่นใจไปก่อน แต่กลับไม่คิดว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงจะมีนักศึกษาที่ร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้
“ดี!”
เฉินอินเซิงยิ้มพลางพยักหน้าให้ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋
ซ่งเหวินหัว รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจงโจวลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนเตรียมการแสดงความสามารถมาแล้ว งั้นมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจงโจวขอร่วมด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินอิงเซิงก็ตัวแข็งค้าง
เขาไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาดอีกจึงรีบพูดว่า “ท่านรองฯ ซ่ง มันก็แค่เพื่อความบันเทิง อย่าซีเรียสเกินไปเลย เรามาพูดถึงกฎการแข่งขันกันก่อน อย่างไรเสีย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการแข่งขัน ส่วนการแสดงค่อยเริ่มตอนมื้อค่ำก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”
คำพูดของเฉินอินเซิงล้วนถูกต้อง
เป็นอย่างที่เขากล่าว
ทั้งแปดมหาวิทยาลัยรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงเพื่อจุดประสงค์ในการแข่งขันประชันความรู้สำหรับนักศึกษาใหม่ ไม่ใช่เพื่อแสดงความสามารถพิเศษ
ถ้ายังคงแสดงอยู่แบบนี้ นั่นคือการเสียเวลาโดยเปล่ามิใช่หรือ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งเหวินหัวผู้ซึ่งพร้อมที่จะนำนักศึกษาแสดงความสามารถก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีก เขาทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างหัวเสีย พร้อมกับล้มเลิกความคิดที่จะแสดงความสามารถ
เพราะมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงนั้นแสดงออกมาได้ดีจนยากที่จะเอาชนะได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่แสดง
“มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันประลองความรู้นักศึกษาใหม่ในครั้งนี้ ขอเชิญท่านรองฯ เฉินบอกกล่าวเกี่ยวกับกฎของการแข่งขันประลองความรู้สำหรับนักศึกษาใหม่นี้แล้วกันครับ”
เจียงไห่เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดในห้องประชุม
“ครับ”
เฉินอินเซิงพยักหน้าด้วยร้อยยิ้ม ก่อนจะหันมองนักศึกษาทุกคนในห้องประชุม แล้วเอ่ยคำ “วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี การแข่งขันประลองความรู้มีกำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ ดังนั้นนักศึกษาและผู้บริหารทุกท่านมีเวลาพักผ่อนและเตรียมตัวอีกหนึ่งวัน”
“การแข่งขันความรู้จะเริ่มเวลาเก้าโมงเช้าของวันเสาร์”
กล่าวถึงตรงนี้ เฉินอินเซิงก็ยกยิ้มเล็ก ๆ พร้อมเอ่ยว่า “ทุกคนรู้กฎพื้นฐานอยู่แล้ว งั้นผมจะไม่เน้นย้ำแล้วกัน”
“แต่ผมอยากย้ำเรื่องหนึ่ง การแข่งขันแบ่งออกเป็นสามรอบ”
“รอบแรกจะเป็นการทดสอบขั้นพื้นฐาน คะแนนเต็มร้อยคะแนน ข้อสอบจะออกโดยมหาวิทยาลัยที่เราเลือกร่วมกันและจะถูกจัดส่งในวันพรุ่งนี้”
ได้ยินดังนั้น เหล่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็พยักหน้ารับ
การแข่งขันได้เตรียมการไว้แล้ว มหาวิทยาลัยที่ออกข้อสอบเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนที่ไม่ใช่เก้ามหาวิทยาลัยที่ร่วมการแข่งขัน โดยทุกมหาวิทยาลัยได้ผ่านการปรึกษาหารือร่วมกัน และการเห็นชอบจากทุกฝ่ายมาแล้ว
เพราะรูปแบบข้อสอบจะสามารถเก็บเป็นความลับได้ ทั้งแปดมหาวิทยาลัยไม่มีใครทราบว่าคำถามจะเอนเอียงไปทางด้านใด ทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าข้อสอบจะยากเพียงใด
นี่คือแข่งขันกันซึ่งหน้าและเป็นไปอย่างยุติธรรม
เช่นเดียวกับผู้บริหาร นักศึกษาต่างพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ท้ายที่แล้วมันคือการแข่งขัน
ทุกคนย่อมต้องการความเป็นธรรม
“ในบ่ายวันเสาร์จะเป็นการแข่งขันรอบที่สอง”
เฉินอินเซิงเอ่ยต่อ “รอบที่สองของการแข่งขันจะเป็นการทดสอบความรู้แบบทีม ในรอบที่สอง จะมีการแข่งขันสามแบบ”
“แบบแรก การแข่งขันแบบทีม”
“แบบที่สอง การถามตอบด้วยความรวดเร็ว”
“แบบที่สาม คำถามแบบรับความเสี่ยง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เฉินอินเซิงก็หยุดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องการทดสอบ ทุกคนเข้าใจชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นผมจะไม่อธิบายรายละเอียดแล้วกันนะครับ”
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักศึกษาพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน