บทที่ 166 คุณอดีตเพื่อนร่วมชั้น ช่วยอ่อนข้อให้ฉันได้ไหม?
บทที่ 166 คุณอดีตเพื่อนร่วมชั้น ช่วยอ่อนข้อให้ฉันได้ไหม?
“เยี่ยม!”
ณ นั่งของเหล่าผู้บริหาร เฉินอินเซิงก็กล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มแล้วแอบพูดในใจว่า ‘ฟางชิวที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงของพวกเขาถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ!’
“นึกไม่ถึงเลยว่าฟางชิวจะทำอย่างนั้นได้” ฉีไคเหวินก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน
เขารู้เพียงแค่ว่าฟางชิวเรียนเก่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่านอกจากผลการเรียนแล้ว ฟางชิวยังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ด้วย ถือว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ความเร็วของมือกับความเร็วในการตอบสนองของฟางชิวนั้นน่าทึ่งมาก!
ไม่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อแค่ไหนก็ตาม แต่การแข่งขันก็ต้องดำเนินต่อไป
ในตอนแรกพวกเขาคิดจะชิงตอบก่อน แต่ต่อมาก็ต้องยอมแพ้ เพราะพวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าฟางชิวตอบไม่ผิดเลย!
คำถามที่ 22 ฟางชิวจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงยกมือตอบก่อน
คำถามที่ 23 ฟางชิวจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงยกมือตอบก่อนอีกเช่นกัน
…
จนกระทั่งมาถึงคำถามข้อสุดท้าย
แม้ว่าคำถามสี่ข้อแรกที่คนอื่น ๆ ได้จะมีคะแนนเยอะกว่าก็จริง แต่หลังจากนั้นฟางชิวก็ไม่ยอมแบ่งคะแนนให้ใครอีก เพราะเขาตอบได้ทุกข้อเลย
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดสำหรับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็คือ ฟางชิวไม่ได้ตอบคำถามผิดแม้แต่ข้อเดียว
ในความเป็นจริง ฟางชิวก็ไม่คิดว่าตัวเองจะตอบคำถามได้ดีขนาดนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวแทนนักศึกษาทั้งเก้าคนจากมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งก็มาที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงเพื่อการแข่งขัน ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ฟางชิวก็ต้องรักษาหน้าพวกเขาเอาไว้บ้าง
ทว่า เมื่อถูกซักถามในที่สาธารณะ ฟางชิวก็ได้ปัดเป่าความคิดต่าง ๆ ในหัวของเขาจนหมดสิ้น
การมาที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง แต่กลับกล้าซักถามนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงในที่สาธารณะอย่างนี้ ถือว่าเป็นการตบหน้าอย่างชัดเจน
ในเมื่อพวกเขากล้าตั้งคำถาม ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงให้พวกเขาดูว่าความไวของมือระดับเทพมันเป็นอย่างไร!
หลังจากที่ฟางชิวตอบคำถามครบสามสิบข้อแล้ว ทุกคนในห้องโถงก็พากันเงียบทันที เพราะพวกเขาไม่สามารถหาข้อบกพร่องในการตอบคำถามของฟางชิวได้เลย
นี่มันปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ?
แม้จะเป็นปาฏิหาริย์ แต่ฟางชิวก็ไม่น่าจะตอบคำถาม 26 ข้อติดต่อกันได้อย่างนี้!
“แม่งเอ๊ย ค้นพบทักษะอื่นของเจ้าห้าอีกแล้ว!” ซุนฮ่าวพูดกับโจวเสี่ยวเทียนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“จริงด้วย” โจวเสี่ยวเทียนเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่ดูเหมือนว่าทักษะนี้จะใช้ได้เฉพาะในการแข่งขันตอบเท่านั้นนะ?”
แต่แล้วดวงตาโจวเสี่ยวเทียนพลันวาบประกาย และเขาก็อุทานขึ้นว่า “ไม่สิ! ทักษะนี้ใช้แย่งข้าวเพื่อนได้นี่หว่า!”
“ตอนกินข้าวพวกเราต้องระวังเจ้าห้าแล้วล่ะ ความเร็วของมือเจ้าห้าเร็วเกินไปแล้ว!” โจวเสี่ยวเทียนกับซุนฮ่าวมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าอย่างระแวดระวัง
เวลานี้ สถิติคะแนนของรอบสองก็ได้สิ้นสุดลง
สำหรับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง ในรอบแรกได้ 17 คะแนน บวกกับรอบที่สองอีก 26 คะแนน รวมเป็น 43 คะแนน ทำให้พวกเขาครองตำแหน่งอันดับหนึ่งอย่างเหนียวแน่น
ผู้เข้าร่วมแข่งขันจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่างก็พูดไม่ออก
พวกเขารู้คำตอบของคำถามทั้งสามสิบข้อ แต่พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามได้เลย แม้ว่าพวกเขาอยากจะตอบมากแค่ไหนก็ตาม เป็นเหตุให้ตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกหมดแรง!
ทำไมต้องมาเจอกับคนมือไวด้วย!
สีหน้าเหล่าผู้บริหารของแต่มหาวิทยาลัยที่อยู่ท่ามกลางผู้ชมก็ดูเคร่งขรึมทันที
ในสถานการณ์ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้ทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไปไกลมาก พวกเขามีแต่ต้องรีบไต่อันดับขึ้นไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นคนที่ขายหน้าก็จะเป็นพวกเขาเอง
“หลังจากที่รวมคะแนนสะสมของรอบแรกกับรอบที่สองแล้ว อันดับที่หนึ่งก็คือ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง” ในเวลานี้ พิธีกรก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ทีมอื่นก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ ต่อจากนี้พวกเราจะแข่งขันรอบที่สามกันแล้ว ตราบใดที่พวกเธอตั้งใจ พวกเธอก็จะมีโอกาสอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ พิธีกรก็ก้มมองกระดาษในมือและพูดต่อว่า “รอบที่สามเป็นคำถามแบบปรนัย”
“คำถามแบ่งออกเป็นสามระดับ A B และ C คำถามในระดับ A นั้นยากที่สุด และคำถามในระดับ C นั้นง่ายที่สุด”
“แต่ละระดับมีคำถามอยู่หกชุด คำถามมีทั้งหมด 18 ชุด ชุดละ 10 คำถาม”
“กฎการแข่งขันคือ ให้แต่ละทีมรีบกดปุ่มตอบรับเพื่อแย่งสิทธิ์ในการเลือกคำถาม ผู้ที่กดปุ่มเป็นคนแรกก็จะสามารถเลือกระดับความยากของคำถามได้ โดยแต่ละทีมมีโอกาสเพียงสองครั้งในการเลือกคำถาม และสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งชุดต่อหนึ่งระดับคำถามเท่านั้น”
“ทีมสุดท้ายจะได้เลือกหนึ่งชุดจากคำถามสองชุดที่เหลือ”
“เมื่อเลือกคำถามแล้ว ทุกทีมจะต้องตอบคำถาม และไม่สามารถเลือกที่จะไม่ตอบได้ หลังจากเสร็จสิ้นการคว้าคำถามในแต่ละรอบแล้ว จำนวนชุดคำถามจะลดลงตามลำดับ”
“ทุกคนจะได้ 5 คะแนนสำหรับคำถามระดับ A 3 คะแนนสำหรับคำถามระดับ B และ 2 คะแนนสำหรับคำถามระดับ C”
“นอกจากนี้ แต่ละทีมก็ไม่สามารถเลือกชุดคำถามเดียวกันกับอีกทีมได้ เวลาสำหรับคำถามแต่ละชุดคือหนึ่งร้อยวินาที จะมีการให้คะแนนถ้าตอบถูก และจะหักถ้าตอบผิด ถ้าตอบผิดเกินหนึ่งในสามจะถือว่าตอบผิดทุกข้อ”
หลังจากประกาศกฎแล้ว พิธีกรก็ถามว่า “มีใครยังไม่เข้าใจกฎอีกไหมคะ”
ก่อนที่คนอื่นจะตอบ จู่ ๆ หวังจื้อซิ่งก็ลุกยืนขึ้นอีกครั้งและตะโกนเสียงดังว่า “นี่มันไม่ยุติธรรม!”
“หา?” พิธีกรไม่นึกว่าจะมีคนลุกขึ้นยืนและต่อต้านกฎอย่างนี้ เธอจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ยุติธรรมตรงไหนเหรอคะ?”
“เอ่อ คือ… ความเร็วของมือฟางชิวมันเร็วเกินไป การแข่งขันคำตอบจึงไม่ยุติธรรม” หวังจื้อซิ่งตอบด้วยความลำบากใจ เพราะตอนนี้เขาอายมาก
แม้ว่าเขาจะยอมรับว่า เขาเคยเข้าใจฟางชิวผิดจริง ๆ และความเร็วของมือฟางชิวนั้นก็แข็งแกร่งอย่างไร้ที่ติ แต่นี่เป็นการแข่งขันความรู้ ไม่ใช่การแข่งขันความเร็วมือ แล้วเขาจะมาพ่ายแพ้ฟางชิวด้วยเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าเขาแพ้ให้กับฟางชิวในการแข่งขันความรู้ละก็ เขาก็พอจะยอมรับได้อยู่หรอก แล้วหากยังแข่งตอบต่อไป มันก็จะไม่ยุติธรรมกับมหาวิทยาลัยอื่นด้วย!
อะไรนะ?
ความเร็วของมือฟางชิวเร็วเกินไปเนี่ยนะ?
ผู้ชมพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ตั้งแต่เมื่อครู่ หวังจื้อซิ่งก็เอาแต่ตำหนิฟางชิว แต่ตอนนี้เขาก็ยังตำหนิพฤติกรรมของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
หลังจากถูกตบหน้าไปแล้ว หวังจื้อซิ่งก็ยังกล้าออกมาตำหนิความเร็วของมือฟางชิวว่าเร็วเกินไปอีก แทนที่จะเอาแต่โทษคนอื่น ทำไมเขาถึงไม่โทษตัวเองบ้างเลย
พิธีกรไม่คาดคิดว่าหวังจื้อซิ่งจะพูดแบบนั้นออกมา เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “การแข่งขันแย่งกันตอบคำถามก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน มีใครมีคำถามอีกไหมคะ?”
สิ้นเสียงของพิธีกร ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่างก็ใช้โอกาสนี้โต้แย้งขึ้นมา
“ฉันเห็นด้วยกับนักศึกษาคนนี้ มันไม่ยุติธรรมจริง ๆ”
“พวกเราไม่สามารถตอบคำถามได้เลย”
“ฉันขอให้มหาลัยเปลี่ยนกฎ!”
พวกเขาต่างรู้สึกตกใจกับความเร็วของมือฟางชิว เพราะถ้ายังคงกดดันให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกดปุ่มตอบรับต่อไป พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันแล้ว และปล่อยให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงแข่งไปคนเดียวเถอะ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้ชมที่ด้านล่างเวทีก็หัวเราะออกมา
นี่คงจะโดนความสามารถของฟางชิวข่มเลยพากันกลัวจนหัวหดเลยสินะ!
รู้แล้วใช่ไหมว่ามหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงของพวกเรามันสุดยอดแค่ไหน!
เห็นได้ชัดว่าพิธีกรก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยมากขนาดนี้ เธอจึงรีบมองไปที่เฉินอินเซิงทันที
เมื่อเห็นเฉินอินเซิงพยักหน้าแล้ว พิธีกรก็หันหน้าไปมองหวังจื้อซิ่งและถามว่า “ถ้าเธอคิดว่ามันไม่ยุติธรรม แล้วเธอมีข้อเสนอแนะยังไงบ้าง”
หวังจื้อซิ่งเป็นคนแย้งย่อมมีข้อเสนอ พิธีกรจึงสามารถถามเขาได้ตรง ๆ
“เป่ายิ้งฉุบ” หวังจื้อซิ่งตอบด้วยความอาย
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ผู้ชมทั้งหมดก็ระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง แม้แต่ผู้นำของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ยังอดหัวเราะไม่ได้
ในการแข่งขันใหญ่เช่นนี้ หวังจื้อซิ่งกลับแนะนำให้ใช้การเป่ายิ้งฉุบ ซึ่งมันก็แปลกมากถ้าใช้วิธีนี้จริง ๆ ในการแข่ง
พิธีกรหันหน้าไปมองฟางชิว เพื่อถามอีกฝ่ายทางสายตา
“ผมยังไงก็ได้ครับ” ฟางชิวกล่าว
พิธีกรพยักหน้าแล้วหันกลับมา ก่อนจะเอ่ยถามกับเฉินอินเซิงซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างเวที “รองอธิการบดีเฉินคะ?”
“ฟางชิวบอกว่าไม่เป็นไร ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา ผู้มาเยือนคือแขก พวกเราก็ทำตามคำขอของแขกเถอะ” เฉินอินเซิงกล่าว
“เข้าใจแล้วค่ะ” พิธีกรพยักหน้า จากนั้นเธอก็มองไปเหล่าผู้เข้าแข่งขันแล้วพูดว่า “ทุกทีมต้องส่งตัวแทนมาหนึ่งคน เพื่อมาเป่ายิ้งฉุบ”
เมื่อพิธีกรพูดจบ เหล่าตัวแทนอีกแปดคนจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็หันไปมองฟางชิวทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมรับให้ฟางชิวเป็นหัวหน้าทีม
“ก็ได้ ฉันจะไปเอง” เมื่อรู้ว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ฟางชิวจึงก้าวออกไปทันที
มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้เลือกตัวแทนแล้ว มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ยก็เลือกตัวแทนได้แล้วเช่นกัน นั่นคือ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
ส่วนมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจวเลือกเถาอี้หรานแทนที่จะเป็นหวังจื้อซิ่ง
ภายใต้การจัดระเบียบของพิธีกร ตัวแทนจากเก้ามหาวิทยาลัยก็มาถึงที่กลางเวที และเตรียมที่จะเป่ายิ้งฉุบกัน
เมื่อผู้ชมด้านล่างเวทีเห็นภาพนี้ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนไม่ได้ดูการแข่งขันความรู้ แต่กำลังดูรายการวาไรตี้โชว์มากกว่า พวกเขาจึงรู้สึกสนุกสนานมาก
“พร้อมไหมคะ?” พิธีกรถาม
ทั้งเก้าคนพยักหน้า
“เอาล่ะ ฉันจะนับสามสองหนึ่ง พวกเธอก็ออกท่าพร้อมกันนะ” พิธีกรนับทันที “สาม สอง หนึ่ง!”
ทั้งเก้าคนจึงสะบัดมือออกท่าพร้อมกัน
ผลที่ได้คือ มีคนออกค้อนสามคน ออกกระดาษสามคน และกรรไกรสามคน ครั้งแรกนี้ถือได้ว่าพวกเขาเสมอกัน
“สาม สอง หนึ่ง!” พิธีกรตะโกนอีกครั้ง
ครั้งนี้มีคนออกค้อนสี่คน กระดาษสี่คน และกรรไกรหนึ่งคน ถือว่าพวกเขาเสมอกันอีกครั้ง
ทุกคนรู้สึกหดหู่มาก เพราะพวกเขาลุ้นไปสองรอบโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อเทียบกับความกังวลใจของพวกเขาแล้ว ฟางชิวกลับสงบกว่าใครเพื่อน เพราะเขารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ในขณะที่คนเหล่านี้กำลังจะออกท่า ฟางชิวก็รู้ว่าทุกคนกำลังจะออกท่าอะไร โดยการมองจากกล้ามเนื้อและกระดูกท่าทางของพวกเขา ดังนั้นฟางชิวจึงไม่รู้สึกกดดันเลย
ในสองรอบแรก ทุกคนต่างออกท่ากันอย่างสุ่ม ๆ ทำให้ฟางชิวไม่มีโอกาสได้ชนะ ชายหนุ่มจึงต้องออกท่าไปแบบสุ่ม ๆ ตามพวกเขาไปก่อน
ตราบใดที่มีโอกาส ฟางชิวก็จะคว้ามันมาให้ได้
เมื่อมาถึงครั้งที่สาม
“สาม สอง หนึ่ง!” เมื่อพิธีกรพูดจบ ทั้งเก้าคนก็ออกท่าพร้อมกัน ฟางชิวจึงสังเกตเห็นทันทีว่า พวกเขาทั้งหกคนจะออกค้อนในครั้งนี้และอีกสองคนจะออกกระดาษ
โอกาสมาถึงแล้ว!
ฟางชิวเงยหน้าขึ้น เพราะตราบใดที่เขาออกกระดาษ เขาก็จะสามารถชนะได้ แต่เมื่อกำลังจะออกกระดาษ ฟางชิวก็ตระหนักได้ว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาหกคนที่ออกค้อน
เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว ฟางชิวจึงออกกรรไกรแทน ทำให้ครั้งนี้ก็ยังไม่มีผู้ชนะ และครั้งนี้ก็เสร็จอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ
เมื่อเห็นเสมอกันอีกแล้ว คนอื่น ๆ ก็พากันเสียดาย มีแต่ฟางชิวเพียงที่กำลังยกยิ้มที่มุมปาก
ครั้งที่สี่ยังคงดำเนินต่อไป
มีคนออกกรรไกรสามคนกับกระดาษห้าคน และท่าที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยออกก็คือกระดาษ ฟางชิวก็แอบช่วยเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยอีกครั้งด้วยท่าค้อน
ทันใดนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็เหมือนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอจึงมองไปที่ฟางชิวด้วยความสงสัยทันที
‘ทำไมฟางชิวถึงออกท่าไม่เหมือนคนอื่น’ เธอไม่รู้ว่าฟางชิวได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้หลายครั้งแล้ว เธอคิดเพียงแค่ว่า ความคิดของฟางชิวน่าจะต่างจากคนอื่นเท่านั้นเอง
หลังจากเสมอกันสี่ครั้ง ผู้คนด้านล่างเวทีที่กำลังลุ้นผลก็หดหู่ใจเช่นกัน
ทำไมมันถึงยังไม่จบสักที?
ในที่สุดครั้งที่ห้าก็มาถึง
ตอนนั้น ฟางชิวสังเกตเห็นว่ามีสี่คนกำลังจะออกกระดาษ
‘กรรไกร?’ มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของฟางชิว จากนั้นเขาก็สังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับอีกสามคนกำลังจะออกกรรไกร ดังนั้นเขาจึงออกกรรไกรทันที
ทั้งห้าคนรวมถึงฟางชิวด้วยเป็นผู้ชนะในครั้งนี้ อีกสี่คนถูกคัดออก และพวกเขาจะไปเดาลำดับในการตอบคำถามกันเอาเอง
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสี่คนที่ถูกคัดออกจึงต้องเดินไปด้านข้าง เพื่อดูการเป่ายิ้งฉุบต่อด้วยความหม่นหมอง
ในเวลานี้เหลือเพียงคนห้าคนอยู่บนเวที เหล่าผู้ชมรีบนั่งตัวตรงทันที เพราะในที่สุดก็มีคนชนะและคนแพ้แล้ว แต่ว่าใครล่ะจะเป็นผู้ชนะในตอนท้าย?
“ยังต้องเป่ายิ้งฉุบกันต่อนะคะ” พิธีกรตะโกนว่า “สาม สอง หนึ่ง!”
ครั้งนี้มีคนออกกรรไกรสามคน ออกกระดาษหนึ่งคนและค้อนหนึ่งคน เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพ่ายแพ้อีกครั้ง แต่เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากฟางชิวอยู่ดี
เป็นเหตุให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันอีกสามคนพูดไม่ออก
ทุกครั้งที่ผลกำลังจะออกมาว่ามีคนกำลังจะชนะ แต่ฟางชิวกลับชอบออกท่าที่ต่างจากพวกเขาอยู่เรื่อย ทำให้พวกเขาต้องเสมอกันอีกครั้ง
นี่มันจงใจหรือเปล่าเนี่ย
ฟางชิวก็หมดหนทางเช่นกัน เพราะเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจะแพ้อยู่หลายครั้ง เขาก็ทำได้เพียงแอบช่วยเธอจนถึงเกมสุดท้าย และด้วยความช่วยเหลือของฟางชิว หลังจากนั้นสิบครั้งติดต่อกัน บนเวทีจึงเหลือเพียงเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับฟางชิวแค่สองคน
“ช่วงเวลาแห่งการชี้ชะตามาถึงแล้ว คนแรกที่ได้สิทธิ์ในการเลือกคำถามจะเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ยหรือ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงกันนะ? แล้วฟางชิวจะสามารถคว้าสิทธิ์ได้อีกครั้งหรือไม่?”
พิธีกรกล่าวด้วยรอยยิ้ม สร้างบรรยากาศให้ไปถึงจุดไคลแมกซ์ นักศึกษาทุกคนที่กำลังชมการแข่งขันอยู่ต่างรู้สึกตื่นเต้นในทันที
เพราะไม่มีใครคิดว่าฟางชิวจะเอาชนะคนอื่นและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างนี้
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการเป่ายิ้งฉุบที่ใช้มากที่สุด แต่มันก็ต้องอาศัยโชคล้วน ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับทักษะอะไรเลย
ฟางชิวไม่เพียงแต่มีมือที่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังโชคดีมากอีกด้วย เขาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยการเป่ายิ้งฉุบได้จริง ๆ
โชคดีเกินไปแล้ว!
เวลานี้ทุกคนก็มุ่งความสนใจไปที่ฟางชิวกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย หญิงสาวจึงยิ้มออกมาและพูดว่า
“คุณอดีตเพื่อนร่วมชั้น ในฐานะผู้ชาย นายก็ควรจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษและยอมอ่อนข้อให้ฉันสิ ได้ไหม?”