บทที่ 178 คนหลอกลวงที่ไม่มีจรรยาบรรณทางการแพทย์!
บทที่ 178 คนหลอกลวงที่ไม่มีจรรยาบรรณทางการแพทย์!
“อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ กระดูกหักไหม?” ชายหนุ่มเดินเข้าไปในลิฟต์ขณะสอบถามอาการของคนไข้จากพยาบาลสาว
“หน้าแข้งซ้ายได้รับบาดเจ็บ ไม่มีร่องรอยการแตกหักที่ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ากระดูกจะผิดรูปค่ะ” พยาบาลกล่าวตอบฉะฉาน
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยกำลังครุ่นคิด
กระดูกหน้าแข้งผิดรูปถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงมาก โดยปกติแล้วการที่กระดูกหักจะไม่ทำให้แขนขาผิดรูป… เว้นแต่จะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง!
ส่วนเหล่านักศึกษาที่มาก็เดินตามหลังชายหนุ่มไม่ห่าง
หานอวี่เซวียน เจียงเหมี่ยวอวี๋ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย และซูจือโม่ต่างรู้สึกประหลาดใจ ดูจากคำพูดของพยาบาลที่มีต่อเขาแล้ว
ไม่คาดคิดว่าฟางชิวจะได้รับความเคารพนับถือในโรงพยาบาล
แถมคนเจ็บยังอนุญาตให้ชายหนุ่มรักษาให้คนเดียวเท่านั้น
พวกเขาจึงสงสัยว่า ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเปิดเทอม ฟางชิวมาทำอะไรในโรงพยาบาลกันแน่ ทำไมถึงได้รับเกียรติเช่นนี้
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงชั้นเจ็ด เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฟางชิวกับนางพยาบาลเดินออกไปก่อนด้วยความเร่งรีบ ตามมาด้วยคนอื่น ๆ
ขณะนั้นชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทางเดินของแผนกกระดูกและข้อเต็มไปด้วยแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยมากมายที่มาออกันแน่น
“เขามาแล้ว!”
“ดูนั่น คุณหมอฟางชิวมาแล้ว!”
“หลีกทางให้หมอฟางชิวเดินหน่อย!”
เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัว ฝูงชนที่อยู่บนทางเดินก็เริ่มส่งเสียงตะโกน ขณะเดียวกันก็รีบหลีกทางให้เขาเดินผ่านไป
หลังจากเงยหน้าขึ้นมองไปที่กลางทางเดิน ฟางชิวก็เห็นคนเจ็บวัยกลางคนนอนร้องโอดครวญอยู่บนเตียง
“คุณหมอฟางชิว ช่วยฉันด้วย!” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของฝูงชน ชายวัยกลางคนก็เงยหน้าพร้อมกับพยุงร่างกายส่วนบนขึ้นด้วยความเจ็บปวด
“อย่าขยับครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด” ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของคนเจ็บ และใช้มือสัมผัสกระดูกที่หัก
ชั่วครู่ ฟางชิวก็พบว่าหน้าแข้งซ้ายมีรอยหักเล็กน้อยตามที่คาดไว้ และยังมีเศษกระดูกเล็ก ๆ ที่เกิดจากแรงกระแทกทะลุเข้าไปในเนื้อด้วย
“ส่งเข้าไปในห้องตรวจเดี๋ยวนี้ และห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด” หลังจากรับรู้อาการของคนเจ็บแล้ว ฟางชิวก็พูดกับนางพยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ
“รับทราบค่ะ!” เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนช่วยกันเข็นเตียงโดยไม่รีรอ
ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปในห้องตรวจ ในขณะที่กำลังล้างมือฆ่าเชื้อ หานอวี่เซวียนก็แอบเข้ามาในห้องตรวจ และตรวจดูอาการของคนเจ็บ
เมื่อรู้ว่าอาการของคนเจ็บนั้นร้ายแรงเพียงใด หานอวี่เซวียนก็ขมวดคิ้วทันที
เวลานี้ฟางชิวล้างมือเสร็จแล้วหันมาพอดี
“กรณีนี้ นายคิดจะรักษาเขาด้วยการจัดกระดูกหรือเปล่า” หานอวี่เซวียนหันไปถาม
“อืม” ฟางชิวพยักหน้ายืนยัน
“เหอะ ๆ” หานอวี่เซวียนแค้นเสียง “นายไม่มีคุณสมบัติเป็นแพทย์เลยจริง ๆ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการของเขาร้ายแรงแค่ไหน หรือรู้แต่ไม่มีทางรักษากันฮะ?!”
หลังจากนั้นกล่าวจบ เขาก็หันไปทางคนไข้ที่ทรมานอยู่บนเตียง “คุณมีอาการกระดูกหัก ในสถานการณ์แบบนี้ ชิ้นส่วนกระดูกที่หักน่าจะกระจายไปทั่วแล้ว และอาจจะติดอยู่ในเนื้อ ดังนั้นการจัดกระดูกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ผมแนะนำให้คุณเข้ารับการผ่าตัด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนที่อยู่บนเตียงก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา
เขาเชื่อใจฟางชิว แต่อาการบาดเจ็บที่ลำแข้งทำให้รู้สึกกังวล ด้วยความที่กลัวว่าจะกลายเป็นคนพิการ
และการที่เขายืนยันจะรอฟางชิวก็เป็นเพราะเชื่อว่าฟางชิวจะไม่ทำให้ผิดหวัง
แต่คำพูดของชายคนนี้ก็น่าจะไม่เกินจริง
ในเวลาเดียวกัน บรรดานักศึกษาที่ตามมาก็เข้ามาในห้องตรวจ รวมถึงฝูงชนที่มารอชมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“คุณหมอฟางชิว นี่…” ชายวัยกลางคนกระอึกกระอัก
“ผมรักษาแผลคุณได้ และผมจะไม่คัดค้านหากคุณเลือกที่จะทำการผ่าตัด” ฟางชิวกล่าวเสียงเรียบทว่าหนักแน่น
ชายหนุ่มเคารพการตัดสินใจของคนไข้ ไม่ใช่ว่าละเลยหน้าที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วย
เขาไม่ได้ตำหนิหานอวี่เซวียน เพราะสิ่งที่หานอวี่เซวียนพูดนั้นเป็นความจริง เทคนิคการจัดกระดูกนั้นยากต่อการรักษากระดูกที่หักแบบละเอียดได้ แต่เขาคือฟางชิว และเขาก็มีพลังจิต
“ฉันเชื่อใจคุณหมอฟางชิว” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนไข้ก็กัดฟันเค้นเสียงเอ่ย “ที่ผ่านมาคุณหมอหลายท่านพยายามจะเข้ามาช่วยแล้ว แต่คนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดก็คือคุณหมอฟางชิว ตราบใดที่หมอบอกว่าจะรักษาฉันให้หายได้ ถ้างั้นก็อย่าลังเลเลยครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มก็พยักหน้าและสั่งทันที “ทุกคน กรุณาไปรอข้างนอกด้วยครับ”
เหล่านางพยาบาลที่ได้ฟังจึงเข้ามากันฝูงชนให้ออกจากห้อง
“ลองคิดใหม่อีกครั้งเถอะ ผมจัดกระดูกเป็นและผมไม่โกหกคุณแน่นอน” หานอวี่เซวียนพูดกับชายวัยกลางคนอย่างกังวลใจ “โปรดคิดใหม่อีกครั้ง”
แต่ชายวัยกลางคนกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างหนักแน่น
หานอวี่เซวียนเลยจ้องมองฟางชิวด้วยโทสะ “ฟางชิว ฉันหวังว่าจะนายไม่ใช่คนหลอกลวงที่ไม่มีจรรยาบรรณ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ฉันฟ้องนายแน่!” พูดจบ เขาก็ออกจากห้องไป
ฟางชิวไม่ได้สนใจหานอวี่เซวียนแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็หันไปถามคนไข้
“ต้องการดมยาสลบไหมครับ”
“เพราะกระบวนการการจัดกระดูกมันจะเจ็บปวดมาก แต่ถ้าทนไหวละก็ ผมไม่แนะนำให้ใช้ยาสลบ”
“มันเจ็บแค่ไหนกันครับ” ชายวัยกลางคนลำล่ำละลักถาม
“ก็พอควรน่ะครับ แค่กัดฟันทนเอาน่าจะไหว” ฟางชิวไม่อ้อมค้อม
“ถ้างั้นจะใช้ยาสลบทำไมล่ะ? หมอเริ่มรักษาเถอะ” ชายวัยกลางคนกัดฟันแน่น แต่จู่ ๆ ก็ชี้นิ้วไปที่ผ้าก๊อซบนโต๊ะ “ขอผ้าก๊อซนั่นมากัดได้ไหม”
“ได้ครับ” ชาสยหนุ่มเอื้อมหยิบผ้าก๊อซออกมา แล้วยื่นให้อีกฝ่าย
ผ่านไปชั่วครู่ ฟางชิวก็เริ่มกระบวนการรักษา
เขาตรึงขาซ้ายให้แน่นด้วยเครื่องตรึงทางการแพทย์ และค่อย ๆ ดึงเท้าเบา ๆ ด้วยอุปกรณ์ยืด กระบวนเหล่านี้คล้ายกับตอนที่เขารักษาเด็กคนนั้นในสลัม
ชายหนุ่มเริ่มจัดกระดูกให้เข้าที่ ในขณะที่ทำให้มันกลับเข้าที่แล้ว เขาก็ดึงขาซ้ายที่ผิดรูปให้ตรงด้วยอุปกรณ์ยืด
ชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียงกัดผ้าก๊อซแน่น เขาข่มตาหลับด้วยความเจ็บปวด
กระดูกหักก็ว่าเจ็บแล้ว แต่การจัดกระดูกเจ็บกว่าหลายเท่า!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้!!
โอ้สวรรค์ ฉันทำกรรมใดไว้…
อาการบาดเจ็บปกติสามารถรักษาได้ง่ายด้วยการจัดกระดูก แต่ฟางชิวก็ต้องใช้ความรอบคอบ อีกทั้งกระบวนการรักษานี้ยังกินเวลามาก ความเจ็บปวดก็ยืดเยื้อออกไปเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของชายวัยกลางคนเริ่มดีขึ้น ฟางชิวก็มุ่งความสนใจไปที่การรักษาทันที
ขณะนี้มือของเขาได้เคลื่อนพลิ้วไหวไม่หยุด
หลังจากที่จัดกระดูกหลักให้กลับเข้าที่เรียบร้อย เขาก็แตะไปที่ขาจากบนลงล่างอีกครั้งอย่างระมัดระวัง เพื่อยืนยันว่ากระบวนการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว
จากนั้นเขาก็เริ่มสัมผัสหาเศษกระดูกในเนื้อ
ปรากฏว่ามีเศษกระดูกหักออกมามากถึงเจ็ดชิ้น!
หลังจากยืนยันตำแหน่งของเศษกระดูกที่หักแล้ว ฟางชิวก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้มือทั้งสองวางมือทาบลงไป จากนั้นเริ่มใช้พลังจิตเพื่อควบคุมและจัดกระดูกที่หักให้กลับเข้าที่ทันที
ชิ้นที่หนึ่ง
ชิ้นที่สอง
…
กระดูกขามีความแตกต่างจากกระดูกแขน เนื่องจากมีเนื้อกับเลือดที่เยอะกว่า ทำให้เศษกระดูกที่ติดอยู่ในเนื้อจะกลับเข้าที่ได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ฟางชิวยังคงมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ไปง่าย ๆ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับกัดฟันแน่น เขายังคงใช้พลังจิตต่อไป จนทำให้มีเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก
ในช่วงเวลานี้ ชายวัยกลางคนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดบรรเทาลงมาก
“คุณหมอฟางชิวครับ อาการผมดีขึ้นหรือยัง” ชายวัยกลางคนถาม
“เกือบจะหายแล้วล่ะ” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายจึงหยุดพูดทันที แล้วพยายามไม่รบกวนอีก
สิบนาทีต่อมา
ในที่สุด ฟางชิวก็จัดกระดูกทั้งหมดที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ได้
หลังจากจัดกระดูกแล้ว ฟางชิวก็สแกนขาของชายวัยกลางคนด้วยพลังปราณภายใน เพื่อปิดผนึกรอยต่อของกระดูกให้สมบูรณ์
“ฟู่…” ฟางชิวถอนหายใจออกมาและปาดเหงื่อออกจากหน้าผากไป
“เรียบร้อยแล้วครับ” ชายหนุ่มพูดกับคนเจ็บด้วยรอยยิ้ม
“กระดูกภายในหักค่อนข้างรุนแรง โดยปกติต้องได้รับการผ่าตัด เนื่องจากกระดูกจำเป็นต้องยึดด้วยแท่งเหล็กเพื่อให้แน่ใจว่ากระดูกจะประสานกันได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม การใช้แท่งเหล็กจะทำให้เกิดรูที่หัวเข่าหรือส้นเท้า ส่งผลต่อชีวิตในอนาคตแน่ ๆ”
“ตอนนี้ผมจัดกระดูกให้กลับเข้าที่หมดแล้ว มันจะรักษาตัวเองได้ดีโดยไม่ต้องใช้แท่งเหล็ก หลังจากนั้นต้องใส่เฝือกสองเดือน พยายามอย่าเหยียบพื้น แต่ทางที่ดีควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เข้าใจไหมครับ?”
“เข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินว่าการรักษาเสร็จสิ้น ชายวัยกลางคนก็มีความสุขทันที
ชายหนุ่มพยักหน้าและก้าวไปที่ประตู เขาพูดกับพยาบาลข้างนอกว่า “การรักษาเรียบร้อยแล้ว พาคนเจ็บไปเข้าเฝือกด้วยครับ แล้วกำชับว่าอย่าให้เท้าของเขาแตะพื้นนะครับ”
“ได้ค่ะ” นางพยาบาลรับคำและเดินเข้ามาพาคนเจ็บออกไป
แต่ทันทีที่เข็นคนเจ็บออกจากห้อง หานอวี่เซวียนที่รออยู่ข้างนอกตลอดเวลาก็เอื้อมมือไปที่ขาของคนเจ็บทันที
“อย่าแตะ” ฟางชิวกล่าวเสียงเย็นเยียบพร้อมกับคว้าแขนของหานอวี่เซวียนเอาไว้ “ฉันเพิ่งจัดกระดูกของคนเจ็บใหม่ทั้งหมด ฉะนั้น อย่ามือบอน”
“จัดกระดูกใหม่ทั้งหมด อย่ามือบอน?” หานอวี่เซวียนหัวเราะด้วยความโกรธและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันคิดว่านายจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีซะอีก”
ฟางชิวไม่สนใจเขา แต่หานอวี่เซวียนกลับไม่ยอมหยุดแค่นั้น
หานอวี่เซวียนขวางคนเจ็บเอาไว้ และหันไปพูดกับครอบครัวผู้ป่วยว่า “อาการสาหัสมากขนาดนี้ พวกคุณยังจะฟังเขาอีกเหรอ? แค่เขาบอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร? ถ้างั้นทำไมเดี๋ยวนี้คนเราถึงต้องพึ่งเทคโนโลยีระดับสูงล่ะ? คุณต้องทำการเอกซเรย์เพื่อหาตำแหน่งกระดูกที่หัก แล้วยังต้องรู้จักดูแลร่างกายของคุณเองให้ดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างชายวัยกลางคนก็แข็งทื่อ บรรดาญาติข้าง ๆ ก็เกิดความลังเล
“ได้ ผมจะออกค่าใช้จ่ายให้ ถ้างั้นไปเอกซเรย์กัน” หานอวี่เซวียนผลักพยาบาลออกไปด้านข้าง ก่อนจะเข็นคนเจ็บไปที่แผนกรังสีวิทยา
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นทำได้เพียงเฝ้ามองดูอย่างห่าง ๆ ส่วนเฉินอินเซิงกับเหล่าผู้บริหารก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล
พวกเขาไม่สามารถห้ามการกระทำของหานอวี่เซวียนได้ เพราะเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของคนเจ็บ ทุกคนจึงทำได้แค่รอดูผลการเอกซเรย์
ฟางชิวก็ยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ โดยที่ไม่ได้เข้าไปห้าม
ถ้าหานอวี่เซวียนอยากใช้เงินก็ลุยเลย เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว
ทุกคนรอผลการเอกซเรย์ด้วยความสงบ
ส่วนฟางชิวก็จิบน้ำและฟื้นฟูพละกำลังอย่างเงียบ ๆ
ฝูงชนมองไปที่ฟางชิว ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้วยความรู้สึกกังวล
พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าหานอวี่เซวียนทำสิ่งนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนเจ็บ มากกว่าการเล็งเป้าไปที่ฟางชิว
และไม่จำเป็นต้องเดาจุดประสงค์ของการกระทำของหานอวี่เซวียนเลย เพราะเขาอธิบายทุกอย่างจนกระจ่างแล้ว!
เพราะท้ายที่สุด หานอวี่เซวียนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของหานอวี่เซวียนที่เกี่ยวกับอาการของคนเจ็บแล้ว พวกเขาทุกคนก็รู้สึกตกใจที่ฟางชิว กล้าใช้ทักษะการจัดกระดูกเพื่อรักษาอาการกระดูกหักโดยไม่ต้องผ่าตัด
เป็นไปได้ไหมว่าชายหนุ่มจะเป็นคนหลอกลวงที่มีชื่อเสียงจอมปลอม และไม่มีจรรยาบรรณทางการแพทย์ เหมือนที่หานอวี่เซวียนกล่าวหา?
เจียงเหมี่ยวอวี๋ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย และจูเปิ่นเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างฟางชิวก็ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขามีคำถามมากมาย แต่ไม่มีใครกล้าถาม
เพราะฟางชิวนิ่งเฉยเกินไป จนดูเหมือนว่าไม่มีความกังวลใจเลย
“แล้วนายเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือเปล่า?” ขณะนั้นเองที่เจียงเหมี่ยวอวี๋กระซิบถามด้วยความเป็นห่วง