บทที่ 179 ใครวางยาผม?
บทที่ 179 ใครวางยาผม?
“ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี” ฟางชิวพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน? เมื่อเช้านี้ยังปวดท้องจนเหงื่อแตกพลั่ก นายไม่มีทางสบายดีเร็วขนาดนั้นหรอก อย่าชะล่าใจเกินไปนักสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวด้วยความเป็นกังวล
“ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ ไม่ต้องกังวลหรอกน่า” ชายหนุ่มกล่าวสบาย ๆ “ดูสิ ฉันดูเหมือนคนป่วยหรือเปล่าล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาก็มองไปที่ฟางชิว และพบว่าเขาดูแข็งแรงอย่างที่พูดจริง ๆ
ทันใดนั้น
ครืน! ครืน! เสียงเข็นเตียงดังขึ้น
ฝูงชนจึงหันไปมอง และเห็นว่าญาติคนเจ็บเข็นเตียงออกจากแผนกรังสีวิทยา พร้อมกับถือแผ่นเอกซเรย์ไว้ในมือ
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่า สีหน้าของหานอวี่เซวียนที่กำลังเดินตามหลังญาติคนเจ็บมากำลังตระหนกตกใจ
“เป็นยังไงบ้าง” ขณะที่เตียงผู้ป่วยถูกเข็นเข้ามาใกล้ ๆ ฟางชิวจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามไถ่อาการ
“เขาหายแล้ว!” ญาติของคนเจ็บพูดตอบฟางชิว “คุณหมอฟางชิว ขอบคุณมากนะคะ หมอที่เอกซเรย์ให้บอกว่ากระดูหักแบบนี้จำเป็นต้องมีการผ่าตัดเท่านั้น แต่ก็น่าตกใจมากเมื่อผลเอกซเรย์ออกมาแล้วพบว่ากระดูกทั้งหมดได้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้แท่งเหล็กเลย”
“ครับ จำไว้ว่าเขาควรนอนพักสามเดือนและห้ามเดินเด็ดขาด” ฟางชิวกำชับหนักแน่น
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณหมอฟางชิว” สมาชิกในครอบครัวคนเจ็บได้ขอบคุณฟางชิวครั้งแล้วครั้งเล่า
คนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงก็จับมือชายหนุ่มและพูดอย่างซาบซึ้ง “คุณหมอฟางชิวครับ ขอบคุณจริง ๆ นะครับ ถ้าไม่มีคุณ… ผมคงต้องนอนเฝ้าโรงพยาบาลแน่ ๆ ขอบคุณ! ขอบคุณจริง ๆ ครับ!”
“ด้วยความยินดีครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว” เขายิ้มบาง ก่อนจะเรียกพยาบาลมารับคนเจ็บไปใส่เฝือก
ในเวลานี้ เหล่าผู้บริหารของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ก้าวไปข้างหน้าทีละคน พวกเขาขอดูแผ่นเอกซเรย์ด้วยความตกใจ เพราะพบว่ากระดูกหน้าแข้งได้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ และหลังจากที่ดูรอยร้าวของกระดูกอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าขอบเขตของการแตกหักกระดูกนั้นเกินความคาดหมายไปสิ้นเชิง
เป็นไปได้อย่างไร?
มีคนที่รักษาอาการกระดูกหักด้วยทักษะการจัดกระดูกได้ด้วยหรือ?
พวกเขามองไปที่ฟางชิวด้วยความอึ้ง
ผู้บริหารทุกคนตกอยู่ในภวังค์ อย่าว่าแต่พวกนักศึกษาเลย ขนาดพวกเขายังจ้องมองฟางชิวราวกับว่ากำลังดูสัตว์ประหลาด…
หลังจากคนเจ็บออกไปแล้ว
“นายทำได้ยังไงน่ะ?” หานอวี่เซวียนจ้องมองฟางชิวด้วยความไม่เชื่อ “มันคือการแตกหักแบบแยกส่วน การรักษาด้วยวิธีการนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ดูแผ่นเอกซเรย์แล้ว หานอวี่เซวียนก็ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเขาได้สัมผัสถึงขอบเขตการแตกหักของกระดูกด้วยมือของตัวเอง
แม้แต่อาจารย์เว่ยฉี แพทย์ผู้มีทักษะการจัดกระดูกขั้นสูงก็อาจจะไม่สามารถรักษากระดูกให้ได้ผลลัพธ์ในระดับเดียวกันกับฟางชิวได้
หานอวี่เซวียนรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำใจยอมรับได้ยากมาก
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ขณะที่มองหน้าของหานอวี่เซวียน ฟางชิวก็ส่ายหัวเล็กน้อย “หลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ แต่ทุกความเป็นไปไม่ได้ก็มีความเป็นไปได้เสมอ แล้วครั้งนี้ฉันก็แค่คว้ามันเอาไว้ก็เท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หานอวี่เซวียนก็แน่นิ่งไป แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่จะดูไร้สาระ กระนั้นก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ…ไม่มีโรคใดที่รักษาไม่ได้ มีแต่หมอที่ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้เท่านั้นแหละ
แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าฟางชิวทำได้อย่างไร
เจ้าหมอนี่จัดเศษกระดูกที่แตกหักและหลุดออกจากกันให้กลับเข้าที่ได้อย่างไร? เทคนิคจัดกระดูกได้ผลจริงหรือ?
ไม่!
เป็นไปไม่ได้!
ฉันไม่ยอม!!
อาจารย์เคยกล่าวไว้ในบทเรียนแรกแล้วว่า …เทคนิคการจัดกระดูกไม่สามารถจัดเศษกระดูกให้เข้าที่ได้
เวลานี้ ภายในใจของหานอวี่เซวียนจึงรู้สึกกระวนกระวายด้วยไม่อาจไขข้อข้องใจได้
เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างฟางชิวกับหานอวี่เซวียน และได้เห็นว่าฟางชิวรักษาคนเจ็บอย่างไร นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็รู้สึกชื่นชมจนพูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นทักษะความรู้กับความแข็งแกร่งของฟางชิวแล้ว ซึ่งกล่าวได้ว่าอยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาไปมากโข
แชมป์การแข่งขันความรู้ประเภทเดี่ยวเหมาะแล้วที่เขาจะคว้ามาครอง
ในเวลานั้น
จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา
ท่ามกลางนักศึกษาหลายคน ฟางชิวก็หันไปมองต้นตอของเสียง
และพบว่าเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยอื่นรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินอินเซิง และกระซิบข้างหูว่า “ผลออกมาแล้ว”
แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเสียงดังโหวกเหวก อีกทั้งเสียงของผู้พูดก็ยังเบามาก แต่ฟางชิวกลับได้ยินการสนทนาอย่างชัดเจน
“มันเป็นใคร?” เฉินอินเซิงถามกลับเบา ๆ
เมื่อได้ยินคำถาม คนคนนั้นก็ไม่ตอบ เขาดึงเฉินอินเซิงออกไป โดยที่หันหลังให้ฟางชิว จากนั้นก็เขียนอักษรสองสามตัวบนมือของเฉินอินเซิง
ท่าทางจะกลัวคนอื่นเห็น…
เนื่องจากถูกฝูงชนรายล้อม ทำให้ชายหนุ่มมองไม่เห็นตัวอักษรที่ว่านั่น
ส่วนทางด้านของเฉินอินเซิง
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไป “คุณกลับไปก่อน”
อีกฝ่ายพยักหน้าและเดินออกไป ทว่าเฉินอินเซิงรีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “อย่าบอกใครล่ะ”
ตัวแทนผู้นั้นจึงพยักหน้าก่อนจะลาจากไปทันที
เฉินอินเซิงหันกลับมาโดยไม่มองไปที่ฟางชิวเลย เขาพูดคุยกับผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะพาเหล่าผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ กลับไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีมอบรางวัลที่จะจัดขึ้นในบ่ายวันนี้
“พวกเขารู้แล้วเหรอว่าใครเป็นคนวางยาฉัน” ในขณะที่มองดูแผ่นหลังของเฉินอินเซิง ฟางชิวก็ขมวดคิ้ว
พิธีมอบรางวัลในช่วงบ่ายไม่สำคัญสำหรับเขาเลย สิ่งที่สำคัญก็คือผลลัพธ์ในการตรวจสอบต่างหาก!
ใครเป็นคนวางยาพิษเขากัน?
จะเป็นใครกัน?
เราได้เห็นดีกันแน่!!
แต่เมื่อเห็นท่าทีของเฉินอินเซิงแล้ว ฟางชิวก็เริ่มไม่มั่นใจว่า เฉินอินเซิงจะบอกชื่อของคนคนนั้นหรือไม่
ขณะที่เหล่าผู้บริหารจากไป นักศึกษาทุกคนก็กลับไปเช่นกัน
เนื่องจากฟางชิวได้ขอลาล่วงหน้าแล้ว เขาจึงไม่อยู่ในโรงพยาบาลต่อและกลับไปที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับนักศึกษาคนอื่น ๆ
หานอวี่เซวียนที่ออกจากโรงพยาบาลมาก็แอบไปโทรศัพท์ที่มุมหนึ่ง เขาเริ่มพูดด้วยความคับแค้นใจทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“อาจารย์ครับ ผมเพิ่งเห็นชายคนหนึ่งจัดกระดูกที่หักใหม่ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องรับการผ่าตัด…”
…
บ่ายสามโมง
เดิมทีพิธีมอบรางวัลกำหนดไว้ตอนบ่ายสองโมง แต่เพราะเหตุฉุกเฉินที่โรงพยาบาลก็เลยทำให้พิธีล่าช้าไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม
ในมหาวิทยาลัย
ณ ห้องประชุมอาคารสำนักงาน
นักศึกษาทั้ง 81 คนจากเก้ามหาวิทยาลัยและผู้บริหารทั้งหมดได้มารวมตัวกัน
ขณะนี้ พิธีมอบรางวัลได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!
คนที่มามอบรางวัลก็คือ สวี่เจิ้งหง อธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่เป็นผู้เตรียมคำถามสำหรับการแข่งขันความรู้ในครั้งนี้
ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคน สวี่เจิ้งหงก็เดินขึ้นมาบนเวที
“แม้ว่าผมจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันนี้ แต่รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ช่วยเตรียมคำถามสำหรับการแข่งขันและได้มามอบรางวัล ผมขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ” สวี่เจิ้งหงกล่าวสุนทรพจน์สั้น ๆ ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดต่อว่า “เราอย่าเสียเวลาอีกเลย ขอเริ่มพิธี ณ บัดนี้”
“ก่อนอื่น ผมจะมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการแข่งขันความรู้นี้ นั่นคือ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง”
ขณะที่สวี่เจิ้งหงกำลังพูด เฉินอินเซิงก็ลุกขึ้นยืนและขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับใบเกียรติบัตร
“ต่อด้วย ฟางชิว ผู้เป็นแชมป์ในการแข่งขันประลองความรู้ประเภทเดี่ยว” หลังสวี่เจิ้งหงประกาศเสร็จ
ฟางชิวก็ขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัล
ด้านล่างเวที
ผู้ชมต่างปรบมือด้วยความชื่นชม แม้แต่หานอวี่เซวียนที่สร้างปัญหาให้กับฟางชิวบ่อย ๆ ยังปรบมืออย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้แพ้ และคู่แข่งก็สมควรได้รับเกียรตินี้
จากนั้น สวี่เจิ้งหงก็มอบรางวัลให้อันดับสอง อันดับสาม และรางวัลผลงานดีเด่นตามลำดับ
เมื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ตอนนี้เหลือเพียงรางวัลที่สำคัญที่สุดเท่านั้น
สวี่เจิ้งหงที่อยู่บนเวทีกล่าวเสียงหนักแน่น “การแพทย์แผนจีนเป็นมรดกอันเก่าแก่ของประเทศจีน และเป็นแก่นแท้ของการสืบทอดมาถึงห้าพันปี อีกทั้งยังเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่พวกเราภาคภูมิใจด้วย…”
“ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของวงการแพทย์แผนจีน ฉันภูมิใจมากที่ได้มามอบรางวัลนี้ในนามของมหาวิทยาลัยทั้งเก้าแห่ง”
“รางวัลดาวรุ่งของวงการแพทย์แผนจีนคือ…!”
ด้านล่างเวที
ทุกคนได้หันไปทางฟางชิวอย่างพร้อมเพรียง
เพราะฟางชิวมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสำหรับรางวัลนี้แล้ว!
“ผู้ชนะคือ…” สวี่เจิ้งหงจงใจลากเสียงเพื่อกระตุ้นความตื่นเต้น แต่ก็เท่านั้นเพราะทุกคนทราบคำตอบกันดีอยู่แล้ว
สวี่เจิ้งหงจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากประกาศออกมา “ฟางชิว จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงงงงง”
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องประชุม
ชายหนุ่มยกยิ้มขณะก้าวเดินขึ้นไปบนเวที หลังจากได้รับรางวัลเจ้าตัวก็เดินลงจากเวที พร้อมกับแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว
เมื่อพิธีมอบรางวัลได้สิ้นสุดลง
เหล่าผู้บริหารของแต่ละมหาวิทยาลัยก็เตรียมพานักศึกษากลับไปที่มหาวิทยาลัยของตนเอง
ก่อนออกเดินทาง เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยมาบอกลาเจียงเหมี่ยวอวี๋ จากนั้นเธอก็ไปหาฟางชิว
“ยินดีด้วยนะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ชายหนุ่ม
ถึงเห็นรอยยิ้มหวานอย่างนั้น แต่ฟางชิวรู้ดีว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยลังเลที่จะจากไป
“จะกลับแล้วเหรอ?” ฟางชิวถามด้วยรอยยิ้ม
“อืม ฉันจะกลับแล้วล่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ น้ำเสียงของเธอแหบแห้ง “นายไม่ต้องมาส่งฉันแล้ว ถ้านายมีเวลา นายก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อ”
“อื้ม ตกลง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ
“ขะ… ขอกอดหน่อย …ได้ไหม” โดยไม่รอคำตอบ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยอ้าแขนออกกว้างสวมกอดเขาอย่างอ่อนโยน แล้วเธอก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ฟางชิวถอนหายใจเบา ๆ เขายืนดูจนกระทั่งเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหายลับสายตาไป จากนั้นก็เห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว
การแข่งขันความรู้ของน้องใหม่นี้จบลง มันก็ได้นำพาความคึกคักมลายหายไปเช่นกัน
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปที่ฟางชิวอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะเห็นตอนที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเขากอดกันกลม แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เอาล่ะ” เฉินอินเซิงปรบมือเพื่อดึงความสนใจของฟางชิวกับนักศึกษาอีกแปดคน “การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว ในนามของมหาวิทยาลัย ฉันขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดการแข่งขันในครั้งนี้ แน่นอนทางมหาวิทยาลัยจะให้รางวัลกับทุกคน รอไม่นาน เดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยจะส่งไปให้”
ฟังจบ นักศึกษาทั้งเก้าคนก็ตื่นเต้นเป็นลิงโลด
“ดังนั้น ขอให้ทุกคนกลับไปพักได้” รองอธิการบดีสั่งด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวเสริมทันที “ฟางชิว เธออยู่ก่อน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เจียงเหมี่ยวอวี๋กับคนอื่น ๆ ก็จากไป
มีเพียงฟางชิวกับเฉินอินเซิงสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องประชุม
“ฟางชิว…” เฉินอินเซิงรอให้ทุกคนออกไปแล้วถึงได้พูดกับเขา “ฉันได้ยินมาว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านกีฬาเหมือนกัน อาจารย์พละชักชวนเธอหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาประจำมลฑล ใช่ไหม?”
ฟางชิวตกตะลึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เพราะไม่นึกว่าข่าวนี้จะไปถึงหูของรองอธิการบดีด้วย
และก็คาดไม่ถึงว่าเขาถูกขอให้อยู่ต่อก็เพราะเรื่องเล็กน้อยนี้!
“เธอทำได้ดีมากในการแข่งขันความรู้ และฉันหวังว่าเธอจะเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปแข่งขันกีฬาประจำมลฑลที่กำลังจะจัดขึ้น และต่อสู้เพื่อเกียรติยศของมหาวิทยาลัย เธอคิดอย่างไร?” เฉินหยินเซิงถาม
“…ผมคิดว่าในฐานะรองอธิการมหาวิทยาลัย คุณควรกังวลเรื่องที่ผมโดนวางยามากกว่านะครับ…” ฟางชิวมองตาของเฉินอินเซิงแน่นิ่ง “ใครเป็นคนวางยาผมกันแน่”
คนฟังเบิกตากว้างด้วยไม่คาดคิดว่าจะถูกยิงคำถามใส่แบบนี้ “เอ่อคือ… พวกเรากำลังตรวจสอบอยู่น่ะ”