บทที่ 191 คุณถูกไล่ออก!
บทที่ 191 คุณถูกไล่ออก!
หลังจากกล่าวจบ
พวกผู้บริหารก็ลุกขึ้น ก่อนจะจากไปทีละคน
ฉีไคเหวินตบโต๊ะอย่างแรงและลุกขึ้นเดินออกไปท่ามกลางสายสายตาไม่พอใจของเฉินอินเซิง
รุ่นน้อง …รุ่นพี่ขอโทษ ที่ไม่ดูแลนักศึกษาของนายให้ดี!
ไม่นานนัก
เมื่อคนออกไปจนเกือบหมด
ซูมู่ตงรีบกล่าวกับเฉินอินเซิงด้วยความลำบากใจ “รองอธิการฯ เฉิน เรื่องฟางชิวที่โรงพยาบาล คุณช่วยพิจารณาอีกครั้งได้ไหม หากต้องการลงโทษเขาสถานหนักก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรส่งผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตคนไข้ในโรงพยาบาล!”
“ไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไรแล้ว คุณทำตามที่บอกเถอะ”
เฉินอินเซิงปฏิเสธโดยไม่พิจารณาอีกครั้ง
อีกฝ่ายมองไปยังผู้พูดด้วยความเหลือเชื่อ
ใครกันคาดคิดว่านี่คือคำพูดจากรองอธิการบดี
เขาอ้าปากคล้ายกับต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำเพียงถอนหายใจออกมาและเดินออกจากห้องประชุม
ซูมู่ตงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายตรงหาเสิ่นชุนทันที
“[สวัสดีครับ ท่านผู้อำนวยการ?]”
ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เสียงของเสิ่นชุนก็เอ่ยออกมา
“ไปรอที่ห้องทำงานผมสักครู่ ผมต้องการพบคุณ”
ซูมู่ตงเอ่ยตอบ
“[ครับ]”
เสิ่นชุนตอบรับ
…
หลังกลับมาที่ห้องทำงานของโรงพยาบาล
ทันทีที่ซูมู่ตงเห็นเสิ่นชุน เขาพลันนึกถึงวันที่เสิ่นชุนพาฟางชิวมาที่โรงพยาบาล ก่อนจะส่ายหัวพร้อมทอดถอนใจ
น่าเสียดายเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถ
“ท่านเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?”
เมื่อเห็นท่าทางของซูมู่ตง เสิ่นชุนก็ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยถามด้วยความฉงน
ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดี…
“ฟางชิวที่นายเป็นคนพามาที่โรงพยาบาลน่ะ”
ซูมู่ตงนั่งลงที่โต๊ะทำงานและเอ่ยต่อ “ให้คุณแจ้งเขาว่าเขาไม่ต้องมาทำงานที่โรงพยาบาลอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ?”
เสิ่นชุนยืนขึ้นพลางมองไปยังซูมู่ตงด้วยความตกใจพร้อมเอ่ยถามทันที “ฟางชิวทำอะไรผิด ทำไมเขาถึงถูกไล่ออก? แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแพทย์ชั่วคราวแต่ผลงานตั้งแต่เริ่มทำงานที่โรงพยาบาลก็เป็นที่ประจักษ์ หมอดี ๆ เช่นนี้จะถูกไล่ออกได้ยังไงกันครับ?”
“เฮ้อ…”
ซูมู่ตงถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง
เขาเองก็ได้เห็นสิ่งที่ฟางชิวทำเช่นกัน
แต่นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของเขา และเขาก็ไม่ต้องการแบบนี้เช่นกัน!
“ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำอย่างนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เราเป็นโรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง ผู้บริหารเบื้องบนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเก็บไว้หรือไล่ออก”
“ใครเป็นคนตัดสินใจ? เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เสิ่นชุนเอ่ยถามด้วยความโกรธ
ผู้บริหารเบื้องบนมีสิทธิ์อะไรมาปฏิบัติต่อฟางชิวเช่นนี้!
“เรื่องคราวนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ”
ซูมู่ตงส่ายหน้า ก่อนจะเล่าข่าวทั้งหมดที่ได้รู้มาจากในที่ประชุม
“ไร้ยางอาย!!!”
เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมด เสิ่นชุนพลันทุบโต๊ะ ก่อนกัดฟันพลางเอ่ยด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว “ช่างไร้ยางอาย! มหาวิทยาลัยก็คือมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลคือโรงพยาบาล จะมีปัญหามากมายในสถานที่ช่วยชีวิตคนได้อย่างไร? ทำไมเฉินอินเซิงถึงทำเช่นนี้”
“ผมรู้สึกเสียใจกับฟางชิวเช่นกัน แต่ไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยได้เลย”
ซูมู่ตงเอ่ยอย่างหมดหนทาง “คุณพูดถูก มหาวิทยาลัยคือมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลคือโรงพยาบาล ในสายตาของคนภายนอก มหาวิทยาลัยกับโรงพยาบาลเป็นสองสิ่งที่เป็นอิสระต่อกัน แต่อย่าลืมว่าคำว่า ‘สังกัด’ ในชื่อโรงพยาบาลของเรา ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดยังคงเป็นผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย ตอนนี้อธิการบดีไม่อยู่ที่นี่ เฉินอินเซิงในฐานะรองอธิการบดีจึงเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด และเขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว ผลลัพธ์นี้ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ถึงอย่างนั้นก็ทำเช่นนี้ไม่ได้!”
เสิ่นชุนกล่าวด้วยความโกรธ
ความผิดหวังแฝงอยู่ในคำพูด
ในสายตาของเขา ฟางชิวเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากอย่างแท้จริง เป็นหมอที่ดีที่ได้รับการยอมรับจากคนไข้นับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นคนดีที่รับรักษาคนป่วยและช่วยชีวิตผู้คนโดยไม่ปรารถนาชื่อเสียงหรือความมั่งคั่งใด
กระนั้น เด็กดีคนนี้กลับต้องทนทุกข์มากกว่าเพราะเขาเป็นเพียงแค่เหยื่อตัวน้อย ๆ ไม่สลักสำคัญอะไร
เขายังเด็กอยู่เลย!
เรื่องนี้มันบ้าบอสิ้นดี!
เขาไม่เคยผิดหวังมากขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษานักศึกษาปริญญาเอกก็ยังไม่ผิดหวังเท่านี้!
ความผิดหวังเกินจะบรรยายนี้เกิดจากความชั่วร้ายของผู้บริหารมหาวิทยาลัยและความอ่อนแอของผู้บริหารโรงพยาบาล!
“เปลี่ยนแปลงไม่ได้จริง ๆ เหรอครับ?”
เขามองไปยังซูมู่ตงด้วยแววตาอ้อนวอน
ซูมู่ตงเพียงส่ายหน้าเบา ๆ
“เอาเถอะครับ ผมเข้าใจแล้ว”
เสิ่นชุนมองไปยังซูมู่ตงอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
ซูมู่ตงมองแผ่นหลังของเสิ่นชุนแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่มันอะไรกัน! คราวนี้เฉินอินเซิงทำเกินไปแล้ว!”
ในขณะที่เดินออกจากห้องทำงานผู้อำนวยการ เสิ่นชุนลังเลอยู่นาน ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกดเบอร์โทรศัพท์ของฟางชิว
อีกฝ่ายรับสาย
“[อาจารย์เสิ่น?]”
ชายหนุ่มเอ่ย
“ฟางชิว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เป็นอีกครั้งที่เสิ่นชุนลังเล เขากลัวจริง ๆ ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกแย่หลังจากได้ฟัง
“[อาจารย์บอกมาได้เลยครับ]” ฟางชิวเอ่ยตอบ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธออาจจะไม่สามารถ… ไปทำงานที่โรงพยาบาลได้อีก” เสิ่นชุนกระอึกกระอัก
“[ครับ?]” ฟางชิวพลันขมวดคิ้วเอ่ยถามย้ำ
“เธอถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล” ท้ายที่สุดแล้ว เสิ่นชุนจำต้องเอ่ยคำที่ไม่ต้องการเอ่ยออกไป
“[ครับ? ทำไมถึงไล่ผมออกล่ะครับ?]” ครั้งนี้ ฟางชิวรู้สึกตกใจไม่น้อย
“รองอธิการบดีเฉินเป็นคนสั่งมาน่ะ” เสิ่นชุนเอ่ยคำ “วันนี้มีการประชุมผู้บริหารมหาวิทยาลัยและแจ้งว่าจางซินหมิงจะมอบตัว”
“[…ผมเข้าใจแล้วครับ]” ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ฟางชิวก็เข้าใจได้ว่าต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับคำสารภาพผิดของจางซินหมิง
การแก้แค้นของเฉินอินเซิงมาถึงแล้ว…
“เธอ…” เสิ่นชุนเอ่ยปาก
“[ผมไม่เป็นไรครับ]” ฟางชิวยิ้มจาง ๆ พลางเอ่ยต่อ “[ไม่ต้องกังวลครับอาจารย์เสิ่น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก แม้ว่าผมจะไปทำงานในโรงพยาบาลไม่ได้ แต่ก็ยังคงยึดมั่นในแนวทางของการแพทย์แผนจีน และผมอยากจะขอบคุณอาจารย์ที่คอยดูแลมาตลอด ขอบคุณนะครับ]”
“เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เสิ่นชุนกล่าวพร้อมพยักหน้า
“[จริงสิ…]” ทันใดนั้นเมื่อนึกถึงเงินเดือนล่วงหน้าก่อนหน้านี้ ฟางชิวจึงเอ่ยขึ้นทันที “[ผมได้เงินเดือนล่วงหน้าจากโรงพยาบาลมาหนึ่งพันหยวนนี่ครับ ผมจะเอาไปคืนให้โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้]”
“จะคืนอะไรอีก!” เสิ่นชุนเอ่ยด้วยใบหน้าโกรธจัด “พวกเขาทำกับเธอขนาดนี้แล้ว ยังจะคืนอะไรอีก เก็บไว้เถอะ!”
“[แต่…]” ฟางชิวยิ้มเจื่อนและทำเหมือนจะกล่าวคัดค้าน
“แต่อะไร เธอทำงานที่โรงพยาบาลตั้งหลายวัน ทั้งยังรักษาคนไปไม่น้อย เงินเดือนแค่พันหยวนนี่ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ขอเพิ่มจากโรงพยาบาล!”
เสิ่นชุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาล ฉันจะช่วยหาวิธีอื่นให้ มันน่าเสียดายถ้าเธอไม่ได้ใช้ทักษะทางการแพทย์ที่ดีให้เป็นประโยชน์”
“[ขอบคุณครับอาจารย์]”
ฟางชิวเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“ตอนนี้ก็เอาตามนี้ไปก่อนแล้วกัน อย่างเพิ่งไปที่โรงพยาบาลในช่วงนี้ ปล่อยให้เรื่องสงบสักพักแล้วค่อยว่ากัน”
เสิ่นชุนอธิบาย ก่อนจะวางสายไป
หลังจากที่ฟางชิววางสายโทรศัพท์ เขากลับอดยิ้มไม่ได้
ใครกันคาดคิดว่าการแก้แค้นของเฉินอินเซิงจะมาเร็วถึงเพียงนี้!
แต่ถึงอย่างนั้น…
ชักตื่นเต้นแล้วสิ ฮ่า ๆ!! เป็นแบบนี้ก็ดี ไม่ต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลจะได้เรียนได้อย่างสบายใจ
หากแต่เขาไม่คาดคิดว่าเฉินอินเซิงจะโทรหาสวีเมี่ยวหลินในตอนนี้
“สวัสดีครับ?”
สวีเมี่ยวหลินรับสายโทรศัพท์ ก่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“[สวีเมี่ยวหลินใช่ไหม?]”
เฉินอินเซิงเอ่ยถาม
“ครับ คุณคือใครครับ?”
สวีเมี่ยวหลินเอ่ยถามกลับไป
“[ผมเฉินอินเซิง]”
เฉินอินเซิงกล่าวพร้อมหัวเราะเล็ก ๆ
“รองอธิการบดีเฉินหรือครับ?”
สวีเมี่ยวหลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“[ฟางชิวเป็นนักเรียนที่คุณรับเข้ามาใช่ไหม?]”
เฉินอินเซิงไม่อ้อมค้อม ทั้งยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “[ผมต้องการให้คุณไล่ฟางชิวออกทันที และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้คุณสอนอะไรเขาอีก]”
หลังจากกล่าวจบปลายสายก็เงียบลงโดยพลัน
ในห้องทำงาน เฉินอินเซิงยกยิ้มอย่างผู้มีชัย เขาเป็นรองอธิการบดีและอยู่ภายใต้คนเพียงคนเดียว แต่เหนือกว่าคนนับหมื่น สวีเมี่ยวหลินเป็นเพียงบรรณารักษ์ตัวเล็ก ๆ จะกล้าขัดคำสั่งของเขาเชียวหรือ
แต่ใครกันคาดคิด…
ในขณะที่เฉินอินเซิงแอบเยาะเย้ยฟางชิวในใจ พร้อมคิดว่าสภาพของฟางชิวจะเป็นอย่างไรหลังจากถูกลงโทษสถานหนัก ในใจพลันรู้สึกเบิกบาน แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามออกมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์
“[คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?]”
สวีเมี่ยวหลินเอ่ยอย่างกระแทกกระทั้น “[คุณควบคุมทุกอย่าง แล้วยังจะมาสอนนักเรียนของผมอีกเหรอ! คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กล้าที่จะมาควบคุมเสรีภาพส่วนตัวของผม คุณอยากขึ้นสวรรค์ไหม?]”
“คุณ!”
ใบหน้าของเฉินอินเซิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ ใครจะคาดคิดว่าสวีเมี่ยวหลินจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
ช่างหยาบคาย! นี่กล้าดีอย่างไรมาออกปากว่าฉัน!
ด้วยความโกรธ เขาจึงตะโกนใส่โทรศัพท์กลับไป “ถ้าคุณยังกล้าสอนฟางชิวอีก เชื่อไหมว่าผมจะไล่คุณออก!”
“[โอ้ ยินดี ยินดีมากครับ!]”
สวีเมี่ยวหลินเอ่ยออกมาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เขาวางสายโดยไม่รอให้เฉินอินเซิงตอบ
“ประสาท!”
สวีเมี่ยวหลินวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะอ่านเอกสารทางการแพทย์ต่อ
ส่วนเฉินอินเซิงที่อยู่ในห้องทำงานแทบจะโกรธจนเผาทั้งอาคารได้อยู่แล้ว!!
ด้วยตำแหน่งอันยิ่งใหญ่และอำนาจที่มีล้นมือ จึงไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเลย!!!
แต่วันนี้เขากลับถูกบรรณารักษ์ตัวเล็ก ๆ พ่นคำพวกนั้นใส่!
นี่มันหักหน้ากันชัด ๆ!!
น่าขายหน้าเสียจริง!
ในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความโกรธพร้อมกับคิดว่าจะสั่งให้ไล่สวีเมี่ยวหลินออกทันที เฉินอินเซิงพลันหยุดสิ่งที่คิดกะทันหัน
เมื่อย้อนคิดสักนิด เขาก็พบว่าตนเองไม่สามารถไล่สวีเมี่ยวหลินออกได้
นี่คือหมอที่ยอดเยี่ยม!
ชื่อเสียงของสวีเมี่ยวหลินมีอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพียงแค่ในมหาวิทยาลัย หากแต่เป็นในวงการแพทย์แผนจีนทั้งหมด อีกทั้งเขายังมองอีกฝ่ายไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
ถ้าไล่หมอที่เก่งกาจออกไปจริง ๆ เขาจะอธิบายกับคนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยอย่างไร
บอกว่าเพราะเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สอนฟางชิว แต่ยืนยันว่าจะสอนจึงถูกไล่ออกอย่างนั้นหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนี้ หากข่าวคราวแพร่ไปถึงวงการแพทย์แผนจีนแล้ว ในอนาคต มหาวิทยาลัยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
ช่างเถอะ
เฉินอินเซิงจำต้องกัดฟันและกล้ำกลืนโทสะ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธ
“ตอนนี้ควรรีบคิดหาวิธีระงับสถานการณ์ของจางซินหมินจนกว่าเขาจะถูกจัดการเรียบร้อย”
แม้ว่าเฉินอินเซิงจะออกคำสั่งกับซูมู่ตง แต่เขาก็ยังไล่ฟางชิวออกผ่านทางเสิ่นชุน
ถึงอย่างนั้น ข่าวการถูกไล่ออกของฟางชิวก็ไม่ได้แพร่กระจายในโรงพยาบาล จึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้และโรงพยาบาลเองก็ไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน
เมื่อถึงวันถัดมาที่เป็นวันอาทิตย์ เรื่องราวมากมายก็จบลงในที่สุด
เวลาบ่ายโมงสี่สิบนาที
คนขับรถแท็กซี่กลุ่มใหญ่เข้าไปในโรงพยาบาลและรีบตรงไปที่แผนกกระดูกและข้อที่ชั้นเจ็ด เพื่อรอให้ฟางชิวมาเข้าเวร
แต่ผลคือ…
รอจนกระทั่งบ่ายสองโมงสิบนาที ฟางชิวก็ยังไม่ปรากฏตัว
ทุกคนล้วนนั่งไม่ติดทั้งยังเต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไมคุณหมอฟางชิวยังไม่มาอีก?”
“ไม่ใช่วันหยุดหรอกใช่ไหม?”
“ไม่สิ คุณหมอฟางชิวทำงานแค่อาทิตย์ละวัน ทั้งยังมาตรงเวลาทุกครั้ง ทำไมวันนี้ถึงมาสายล่ะ?”
บริเวณที่นั่งรอของแผนกกระดูกและข้อมีผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และพร้อมพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายสองโมงครึ่ง
การพูดคุยกันในบริเวณที่นั่งรอยิ่งรุนแรงขึ้น
“แปลก ทำไมยังไม่มาอีก?”
คนขับรถแท็กซี่มองไปห้องทำงานของฟางชิวที่ปิดแน่น จากนั้นมองไปยังลิฟต์และบันไดซึ่งไร้การเคลื่อนไหว ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อเห็นพยาบาลตัวเล็กเดินผ่านไปจึงเดินเข้าไปถามทันที “คุณพยาบาล ทำไมคุณหมอฟางชิวยังไม่มาอีกครับ เรารอมาเกือบชั่วโมงแล้ว”
“พวกคุณไม่ต้องรอแล้วค่ะ”
พยาบาลส่ายหน้าพร้อมเอ่ยด้วยความเสียใจ “วันนี้คุณหมอมาไม่ได้แล้ว…”