บทที่ 199 เจ้าของบัญชีสำรองคือ ฟางชิว!
บทที่ 199 เจ้าของบัญชีสำรองคือ ฟางชิว!
“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้…” ฟางชิวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ฉันชอบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด หลังจากนั้นไม่นานก็คุ้นเคยกับอาจารย์สวี พอรู้จักเขามาระยะหนึ่งแล้ว ฉันก็พบว่าเขาดูแปลก ๆ นิดหน่อย”
“ต่อมา โม่อี้ฉีก็ป่วยหนัก และพวกเราทุกคนก็ได้บริจาคเงินให้เธอใช่ไหมล่ะ”
“ในตอนนั้น ตอนที่ไปยืมหนังสือเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ฉันก็ได้คุยกับบรรณารักษ์คนหนึ่ง จากนั้นบรรณารักษ์คนนั้นก็บอกว่าอาจารย์สวีขอลาหยุด พออาจารย์สวีกลับมาทำหน้าที่บรรณารักษ์เหมือนเดิม โม่อี้ฉีก็หายป่วย แล้วกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็เลยถามเขาว่า เขาคือสวีเมี่ยวหลินจริง ๆ ใช่ไหม เขาก็ตอบกลับมาว่าใช่”
“เรื่องมันก็แค่นั้นแหละ” ฟางชิวเล่าถึงแค่ตอนนี้
“เจ้าห้าอ่า เจ้าห้าของฉัน!” เมื่อได้ยินคำพูดของฟางชิวแล้ว โจวเสี่ยวเทียนก็จ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจทันที และบ่นออกมาว่า “ในเมื่อนายรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว แล้วทำไมไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักเขาในฐานะลูกศิษย์ล่ะ นายกลัวว่าพวกเราจะเก่งเหนือกว่านายใช่ไหม? ใช่ไหม?”
ซุนฮ่าวกับจูเปิ่นเจิ้งก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฟางชิวไม่สนใจที่จะอธิบาย เขาเลือกที่จะเอื้อมมือไปหยิบรายการหนังสือจากชั้นวางของ ก่อนจะยื่นให้ทั้งสามคน “ต้องอ่านหลักธรรมของคัมภีร์เน่ยจิงร้อยครั้ง และเล่มอื่น ๆ ยี่สิบครั้ง”
“นี่คือข้อกำหนดในการเข้าเป็นศิษย์”
รูมเมตทั้งสามคนหยิบรายชื่อหนังสือมาดู ทันใดนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ตกตะลึงทันที จากนั้นพวกเขาก็พากันเข้านอน
ให้อ่านหนังสือมากมายขนาดนั้น พวกเขาไม่น่าจะอ่านจบภายในสี่ปีแน่ ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าห้ามักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือโดยที่ไม่หยุดหย่อน
เห็นแบบนั้นแล้ว ฟางชิวก็หมดคำจะพูด เขาจึงถามไปว่า “การฝึกงานของพวกนายเป็นยังไงบ้าง”
“จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?” ซุนฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น
“เฮ้อ พวกเราเกิดมาเพื่อความทุกข์ยาก!” โจวเสี่ยวเทียนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเอง ราวกับว่าไม่มีหน้าที่จะพบปะผู้คนอีก
“แม้ว่าทัศนคติของผู้ดูแลภูเขาเย่าหวังที่มีต่อพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่พวกเราก็ยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ เลยต้องทำงานให้เขาต่อไป” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“เอาน่า ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า” ฟางชิวยิ้มและเดินไปที่เตียง
ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง และกำลังเตรียมจะฝึกพลังจิตอยู่พักหนึ่ง ฟางชิวก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งจะมีการชุมนุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ศิลปะการต่อสู้ในค่ำคืนนี้
“จะไปหรือไม่ไปดี?” ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าและตัดสินใจว่า “ช่างมันเถอะ ฉันจะไม่ไปร่วมงานชุมนุม”
เนื่องจากช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และเขายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผู้บริหารของมหาวิทยาลัย
สำหรับการฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาสามารถศึกษามันต่อได้หลังจากที่ทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว
…
มาถึงวันพฤหัสบดีอีกครั้ง
ณ คฤหาสน์ชานเมืองในเมืองเจียงจิง
ผู้คนหลายพันคนมารวมตัวกันที่นี่ เมื่อมองแวบเดียวก็จะพบว่าจำนวนคนในครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้ว
ในหมู่พวกเขา หลายคนมาที่นี่เพราะถูกดึงดูดจากชื่อเสียงของชายสวมหน้ากากนิรนาม พวกเขาต้องการดูว่าชายลึกลับคนนั้นแข็งแกร่งดั่งคำเล่าขานจริง ๆ หรือไม่
เวลา 20.00 น.
เวลานี้รอบ ๆ เวทีทุกคนได้จับจองกันเอาไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่บนเวทีเลย ทุกคนได้แต่เฝ้ารอ
“ทำไมชายลึกลับถึงยังไม่มาอีก”
“นี่ก็ถึงเวลานัดแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดีก็เลยไม่มา”
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันจอแจ
หลายคนจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฟางชิวจากไปได้กล่าวไว้ว่า ‘การที่เขาจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา’
ตอนนี้ทุกคนกำลังอธิษฐานขอให้ชายลึกลับคนนั้นอารมณ์ดี มิฉะนั้น การรอคอยของพวกเขาจะสูญเปล่าน่ะสิ!!
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ชายสวมหน้ากากนิรนามก็ยังไม่ปรากฏตัว สองชั่วโมงผ่านไปเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวอีก
เวลา 22:30 น.
ทุกคนในคฤหาสน์ต่างผิดหวังมาก พวกเขานั่งอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงโดยไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย แต่สุดท้าย ชายลึกลับก็ยังคงไม่มา
“อนิจจา ดูเหมือนว่าชายลึกลับจะไม่มาแล้วนะ”
“เฮ้~ พวกคุณคิดว่าห้าคนที่ชายลึกลับช่วยแนะนำเทคนิคให้ ในการชุมนุมครั้งล่าสุดจะได้รับการเลื่อนระดับหรือไม่”
“ฉันได้ยินมาว่า คนอ้วนคนหนึ่งน้ำหนักลดไปแล้ว 20 กิโล และลดเหลือ 180 กิโล ภายในเวลาไม่นาน”
“ฉันอยากรู้ว่าคนอ้วนคนนั้นจะเลื่อนระดับขั้นได้ไหม และชายลึกลับจะแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”
“เนื่องจากเขายังไม่มา พวกเราก็ต้องรอต่อไป”
ท่ามกลางการสนทนา ผู้ชมก็ทยอยออกจากสถานที่แห่งนั้นทีละคน พวกเขารู้สึกว่าคืนนี้มาเสียเที่ยวแล้ว
โชคดีที่การประลองยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขาจึงไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว และมีโอกาสได้ทานของว่างฟรีจากผู้อาวุโสอี้
ลึกเข้าไปในคฤหาสน์
“ยังไม่มาเหรอ?” ผู้อาวุโสอี้เอ่ยถามลูกน้องข้างกาย
“ยังไม่มาครับ” อีกฝ่ายก้มศีรษะตอบกลับ
ผู้อาวุโสอี้เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา และถอนหายใจ “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าชายลึกลับจะใจกว้าง และยอมบริจาคเงินมากขนาดนี้ ฉันยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร แล้วมีอายุเท่าไหร่กันแน่”
สำหรับตัวตนที่แท้จริงของชายสวมหน้ากากนิรนาม ผู้อาวุโสอี้ก็อยากรู้เช่นกัน
“ไม่รู้ว่าในสัปดาห์หน้า ชายลึกลับจะมาหรือเปล่า เพราะเพื่อนเก่าของฉันจะมาถึงในสัปดาห์หน้านี้แล้ว และเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเทียบเคียงหรือเอาชนะชายลึกลับได้หรือไม่?”
…
วันศุกร์หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย ฟางชิวก็ไม่รีบไปทานอาหารเย็นในโรงอาหาร แต่มาที่ห้องสมุดตามที่นัดกับสวีเมี่ยวหลินไว้
ในห้องยืมหนังสือ สวีเมี่ยวหลินนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อนับจำนวนหนังสือที่ถูกยืมออกไปตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้
“อาจารย์สวี” ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องยืมหนังสือ แล้วเอ่ยทักทันที
“มาแล้วเหรอ?” สวีเมี่ยวหลินเหลือบมองฟางชิว และตอบกลับไปว่า “รอสักครู่ ฉันใกล้จะทำเสร็จแล้ว”
ผ่านไปหลายนาที…
สวีเมี่ยวหลินก็ลุกยืนขึ้น หลังจากที่เขาทำงานเสร็จแล้ว จากนั้นเขาก็มองไปที่ฟางชิวด้วยรอยยิ้ม
“เธอกังวลเกี่ยวกับการท้าทายใช่ไหมล่ะ?” รอยยิ้มของสวีเมี่ยวหลินดูมีเลศนัยเล็กน้อย
ฟางชิวตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ผมแค่สงสัยว่าการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ด้วยการจับชีพจรมันเป็นเรื่องยากจริงไหม? เพราะผมไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ผมเลยอยากรู้”
“จะว่ายาก มันก็ยาก” สวีเมี่ยวหลินตอบกลับ “แต่มันก็ไม่ยากขนาดนั้น”
“หมายความว่ายังไงครับ?” ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจ
“ในฐานะนักศึกษาแพทย์แผนจีน เธอควรเข้าใจว่าการรักษาแบบแพทย์แผนจีนมีวิธีการวินิจฉัยที่เป็นไปได้อยู่สี่วิธี นั่นคือการตรวจดู การดมกลิ่น การซักถาม และการจับชีพจร แต่ในทางปฏิบัติการแพทย์แผนจีนจะเน้นย้ำถึงวิธีการวินิจฉัยกับวิธีทั้งสี่ข้อดังกล่าว”
“ร่างกายของผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเมื่อตั้งครรภ์ และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นได้จากชีพจร”
“ฉันเคยเจอกรณีของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอบอกว่ามักจะอ่อนเพลียและง่วงนอนในช่วงไม่กี่วันมานี้ และในบางครั้งก็มีไข้ต่ำ ๆ เมื่อตรวจดูชีพจรของเธอ ฉันก็พบว่าเธอมี ‘ชีพจรลื่น’ ฉันจึงคิดว่าเธอท้อง และผลก็คือเธอท้องจริง ๆ”
“ชีพจรลื่นเป็นตัวบ่งชี้ถึงพลังปราณกับเลือดที่อุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งนี้ก็ไม่แน่นอน เพราะเวลาที่ภูมิต้านทานกับพลังชี่ที่ก่อให้เกิดโรคได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีเสมหะมาก รวมถึงผู้ป่วยที่มีไข้สูง พวกเขาเหล่านี้ก็อาจจะมีชีพจรลื่นด้วยเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวก็พยักหน้าเบา ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและความพิถีพิถันของแพทย์แผนจีน เพราะมันต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการวินิจฉัยชีพจร
ดังนั้น สวีเมี่ยวหลินจึงกล่าวว่าการวินิจฉัยการตั้งครรภ์โดยการจับชีพจรเป็นเรื่องยาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น
“ใช่แล้ว” พูดจบ สวีเมี่ยวหลินก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “ฮ่าฮ่า ที่จริงวันนี้ที่ฉันเรียกให้เธอมาที่นี่ ก็เพื่อบอกข่าวดีให้เธอรู้”
“ข่าวดีอะไรเหรอครับ?” ฟางชิวเอ่ยถาม
ข่าวดี?
ตอนนี้เขาตกเป็นจำเลยของมหาวิทยาลัยแล้ว จะมีข่าวดีอะไรอีกล่ะ? หรือว่าได้รับอนุญาตให้กลับไปทำงานในโรงพยาบาลแล้ว?
เฉินอินเซิงยอมประนีประนอมแล้วหรือ?
สวีเมี่ยวหลินคลี่ยิ้มออกมา “ฉันนัดการท้าดวลให้เธอแล้ว”
“อะไรนะ?” ฟางชิวตกใจทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
นัดการท้าดวล?
สวีเมี่ยวหลินรู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วเหรอ?
ไม่มีทาง!
นอกจากนี้ การที่ต้องไปดวลกับคนอื่นมันยังถือว่าเป็นข่าวดีได้อีกหรือ?
และการที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพูดคำนี้ออกมา มันก็ดูไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่นะ
“ท้าดวลกับใครเหรอครับ?” ฟางชิวเอ่ยถามออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้สึกหมดคำจะพูดแล้ว
“ฮ่าฮ่า…” ได้ยินแบบนั้น สวีเมี่ยวหลินก็หัวเราะออกมาอย่างน่าขนลุก
ทันใดนั้น
“ดูเหมือนเราจะเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง…” จู่ ๆ โทรศัพท์ของฟางชิวก็ดังขึ้น
“เธอรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ” สวีเมี่ยวหลินพูดขึ้น
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา และพบว่าเป็นสายของโจวเสี่ยวเทียนที่โทรมา ดังนั้นเขาจึงรับสายในทันที
“เสี่ยวเทียน…” ในขณะที่ฟางชิวเพิ่งจะเปิดปากเอ่ยทักทาย
แต่ว่ามีเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เสียก่อน
“ใช้ได้นี่หว่า! เจ้าห้า!” เป็นโจวเสี่ยวเทียนที่ตะโกนว่า “นายคือไอดอลของฉัน!!! ฉันดูไม่ออกเลยว่านายจะเจ๋งขนาดนี้! นายจะนัดหมายท้าดวลก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมถึงไม่บอกพวกเราด้วยล่ะ เจ้าห้าของฉันนี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ !”
“นัดท้าดวลอะไร” ฟางชิวถามด้วยความสับสน
สวีเมี่ยวหลินที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่หัวเราะอย่างเดียว
“ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกเหรอ!” โจวเสี่ยวเทียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ข้อมูลได้รับการเผยแพร่แล้ว ดังนั้นอย่าเสแสร้งอีกเลย! ไม่ต้องกังวลนะ ในฐานะเพื่อนรัก พวกเราทุกคนจะสนับสนุนนายอย่างเต็มที่แน่นอน! ฉะนั้น ไปจัดการไอ้งี่เง่านั่นและทุบมันให้ตายซะ!”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฟางชิวรู้สึกงงงวย
เพราะสิ่งที่โจวเสี่ยวเทียนพูดในตอนนี้เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย รวมถึงคำพูดของสวีเมี่ยวหลินด้วย
ท้าดวล?
กับใคร?
ทันใดนั้น หัวใจของฟางชิวก็แล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ฟางชิวรีบหันขวับไปมองสวีเมี่ยวหลินทันที และเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของสวีเมี่ยวหลินแล้ว จู่ ๆ ฟางชิวก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ และเกิดสังหรณ์ใจไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ? ตอนนี้ทางเวยป๋อได้ประกาศข้อมูลการรับรองความถูกต้องแล้ว เจ้าของบัญชีสำรองที่ยอมรับคำท้าของหลี่เหวินป๋อ ที่ชื่อว่า ‘แกมันก็งั้น ๆ แหละ’ ไม่ใช่นายหรือไง? นายนี่ยังเสแสร้งกับฉันไม่เลิกอีกเหรอ เรื่องแบบนี้ นายก็ปิดซะมิดเชียว!” เสียงของโจวเสี่ยวเทียนดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์
“เป็นฉันงั้นเหรอ!!!” ฟางชิวตกตะลึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
เขาไม่ได้ยอมรับคำท้าสักหน่อย! เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีพจรของการตั้งครรภ์มันเป็นอย่างไร เขายังไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้เลย แล้วจะเป็นเขาได้อย่างไรกัน?
“ฉันขอวางสายก่อน!” ฟางชิววางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และรีบลงชื่อเข้าใช้เวยป๋อด้วยโทรศัพท์มือถือ
ปรากฏว่าบัญชีสำรองที่ชื่อว่า ‘แกมันก็งั้น ๆ แหละ’ ได้รับการยืนยันแล้ว โดยมีตัวอักษร V ห้อยท้าย ID อยู่
หลังจากที่เห็นข้อมูลระบุตัวตนแล้ว ฟางชิวก็ตะลึงงัน
ในคอลัมน์ของข้อมูลระบุตัวตน ถูกเขียนไว้อย่างน่าประทับใจว่า : ฟางชิว นักศึกษาปี 1 จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง ผู้ชนะอันดับหนึ่งในการแข่งขันประกวดความรู้สำหรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนทั้งเก้าแห่ง!
แม่งเอ๊ย!!!
เป็นความจริงเหรอเนี่ย!
ชายหนุ่มคลิกอ่านความคิดเห็นด้านล่างโดยไม่รู้ตัว หลังจากอ่านความคิดเห็นเหล่านั้นแล้ว เขาก็อึ้งไปทันที เพราะทุกความคิดเห็นต่างก็ด่าทอสาปแช่งเขาทั้งนั้น
[อะไรนะ? เด็กปีหนึ่งเหรอ?]
[ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย]
[ฉันนึกว่ามันจะเป็นช็อตเด็ด แต่ฉันก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าของไอดีจะเป็นแค่เด็กเหลือขอปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้]
[นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว! ขนาดหมอแก่ ๆ ยังไม่กล้าออกมาเลย แล้วนายเป็นแค่นักศึกษา นายจะแสวงหาความอัปยศทำไม?]
[ฉันจำได้ว่าการแพทย์แผนจีนมีสอนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ในฐานะนักศึกษาปีหนึ่ง นายกล้าที่จะลุกขึ้นยืน เพื่อยอมรับคำท้าโดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยเหรอ]
[เด็กคนนี้มีความกระตือรือร้นก็จริง แต่เขาดูเหมือนคนโง่มากกว่า!]
[นายคิดว่าการได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันความรู้ยอดเยี่ยมมากเลยเหรอ? นายกล้ารับคำท้านั้นได้ยังไง]
[มันจบแล้ว! เขาเป็นแค่นักศึกษา! แถมยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่งอีก! คราวนี้วงการแพทย์แผนจีนคงได้เสียหน้ากันหมดแน่]
ผู้คนนับไม่ถ้วนได้แสดงความคิดเห็นบนเวยป๋อ ส่วนใหญ่รู้สึกตกใจมาก เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าของบัญชีสำรองลึกลับจะเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่ง!
ทุกคนรู้ดีว่า หลี่เหวินป๋อ เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงในการแพทย์แผนตะวันตก
อีกทั้งตั้งแต่วันที่เขาเผยแพร่ประกาศคำท้าทายก็ไม่มีใครกล้าออกมายอมรับเลยสักคนเดียว เมื่อพิจารณาถึงความนิยมแล้ว แพทย์แผนจีนทุกคนก็น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ
ทว่าในวงการแพทย์แผนจีน ผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนก็ยังไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาเลย แต่นักศึกษาปีหนึ่งกล้าออกมาวิ่งอวดดีได้ยังไงกัน
ไม่ต้องพูดถึงเหล่าปรมาจารย์ที่เร้นกายจากสังคมเลย ขนาดแพทย์ชั้นนำของโรงพยาบาลการแพทย์แผนจีนรายใหญ่ในเมืองหลวงที่อยู่ใกล้กับหลี่เหวินป๋อมากที่สุดก็ยังนิ่งเฉย แล้วฟางชิวกล้ารับคำท้าได้อย่างไรกัน?
ไม่ใช่แค่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้น แม้แต่ผู้ที่เชื่อมั่นในการแพทย์แผนจีนมาโดยตลอด รวมถึงผู้คนในวงการแพทย์แผนจีนเอง ต่างก็ผิดหวังและโกรธเคืองเป็นอย่างมาก